welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

นิกายในพุทธสาสนา




นิกาย แปลว่า หมวด, หมู่, พวก
นิกาย นิยมใช้ใน 2 ความหมาย คือความหมายหนึ่งเป็นชื่อเรียกคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกที่แยกออกเป็น 5 หมวด คือ ฑีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย
อีกความหมายหนึ่ง เป็นชื่อเรียกคณะนักบวชในศาสนาเดียวกัน แต่แยกไปเป็นพวกๆ ตามความเห็นที่ไม่ตรงกันซึ่งมีในทุกศาสนา ในพุทธศาสนาก็อย่างมหานิกาย กับธรรมยุตินิกาย ทักษิณนิกาย กับ อุตรนิกาย


ศาสนาสำคัญ ๆทุก ๆ ศาสนา เช่น คริสตศาสนา อิสลาม ศาสน (หรือจะเรียกเป็นลัทธิก็ตามใจชอบ) พราหมณ์ หรือฮินดู รวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย ต่างก็มีอยู่หลายนิกายด้วยกัน คริสตศาสนามีนิกายสำคัญคือ นิกายคาธอร์ลิก โปรเตสแตนท์ ซึ่งแต่ละนิกายก็แยกเป็นเป็นสาขาออกไปอีกนับเป็นหลาย ๆ สิบสาขา
ศาสนาอิสลามมีนิกายสำคัญคือ นิกายสุหนี่ นิกายซิเอต์ คือ เจ้าเซน ซึ่งต่างก็มีนิกายย่อยลงไปอีก
ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีลัทธิพิธีแตกต่างกันเป็นอันมาก และมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง คงเดิมบ้าง นับถือเฉพาะแม่เจ้ากาลีบ้าง เฉพาะพระศิวะบ้าง ฯลฯ
พระพุทธศาสนา ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็มีคติเหมือนกับผู้นับถือศาสนาอื่น คือมีความคิดเห็นแตกแยกกัน เห็นไม่ตรงกัน
ศาสนาสำคัญของโลกทุกศาสนาเกิดนิกายขึ้น เพราะความเห็นเกี่ยวกับวินัย หรือหลักธรรมในศาสนาของตน เห็นไม่ตรงกันแยกไปตั้งหมู่คณะของตนที่มีความคิดเห็นตรงกัน เช่น ท่านมาตินลูเธอร์ ผู้ให้กำเนิดนิกายโปรเตสแตนท์ในคริสตศาสนาเป็นต้น
พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เดิมทีเดียวไม่มีนิกาย เช่น พระพุทธศาสนา ก่อนทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ยังไม่มีนิกาย แต่เมื่อพูดถึงความเห็นแตกแยกกัน ก็เริ่มเกิดตั้งแต่ภายหลังที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗วัน ซึ่งเป็นเหตุให้พระมหากัสสปะชุมนุมสงฆ์ทำสังคายนาครั้งที่๑ ครั้นถึงสังคายนาครั้งที่ ๒ สงฆ์ได้แยกออกเป็นสองคณะอย่างชัดเจนคือ ฝ่ายเถรวาท และฝ่ายอาจาริยวาท ซึ่งเป็นนิกายขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อเรียกเป็นทางราชการทางประวัติศาสตร์ เช่น ทำการสังคายนาของพระเจ้าอโศกมหาราช และของพระเจ้ากนิษกะ เกิดเป็นนิกายฝ่ายใต้ นิกายฝ่ายเหนือ หรือเรียกหีนยานมหายานจนบัดนี้ ซึ่งแต่ละนิกายก็มีนิกายย่อยออกไปอีก
เหตุให้เกิดนิกาย
ได้กล่าวมาแล้วว่านิกายเกิดขึ้น เพราะความเห็นเกี่ยวกับวินัยหรือหลักธรรมในศาสนาของตนไม่ตรงกัน นี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น สาเหตุที่สำคัญอีกสองประการ คือ สภาพแวดล้อมของสังคมเกี่ยวกับดิน ฟ้า อากาศ และความนึกคิดเกี่ยวกับจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป
ความเข้าใจพระพุทธพจน์ต่างกัน การหันเข้าหาความสะดวกล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งการแตกแยกจนเกิดเป็นนิกายขึ้น สำหรับพระพุทธศาสนานอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีหลักฐานในพระไตรปิฏกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน จนเกิดเป็นนิกาย คือ
๑.  ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธพจน์ที่ว่า “อานนท์เมื่อหมดเราแล้ว ธรรมวินัยที่เราทรงสอนไว้
เป็นศาสดาแทนเรา และว่าสงฆ์ปรารถนา ก็เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้” ภิกษุที่เคร่งครัดในธรรมวินัย
ที่เรียกว่าอนุรักษ์นิยมเห็นว่าไม่สมควรเพิกถอนสิกขาบทใด ๆ ทั้งสิ้น คำสอนมีอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น
แต่ภิกษุบางรูปเห็นว่า สมควรจะมีการเพิกถอนสิกขาบทที่ไม่สำคัญได้บ้าง เพื่อความแผ่ไพศาลแห่งศาสนา
(เช่น คดีฝ่ายมหายาน) และเหมาะสมกับสังคมทันสมัย
๒.   ในมหาปรินิพพานสูตร เช่นเดียวกันกับในข้อ ๑ หลักตัดสินพระธรรมวินัยที่เรียกว่า มหาประเทศ ๔ คือ
๑.   สิ่งใดไม่ได้บัญญัติไว้ว่าควร แต่เข้ากันได้กับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
๒.   สิ่งใดไม่ได้บัญญัติไว้ว่าควร แต่เข้ากันได้กับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
๓.   สิ่งใดไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ว่าควร แต่เข้ากันได้กับสิ่งที่ไม่ควรขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
๔.   สิ่งใดไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร ขัดต่อสิ่งไม่ควร สิ่งนั้นควร
นี่เองที่ทำให้ตีความในหลักธรรมแตกต่างกันออกไป เพราะพระพุทธพจน์ คือพระบาลีนั้นเป็นคำสั้น ๆ  ซึ่งพระบาลีนั้นมีปัญหาว่า คำนั้น ๆ หมายความโดยละเอียดอย่างไร เช่น คำว่ากาลโภชน์ การฉันอาหารในกาลไม่มีปัญหาว่า ตั้งแต่เวลาไหนถึงไหน แต่มาภายหลังพุทธกาล ฝ่ายเถรวาทอธิบายว่า กาลโภชน์- กาล หมายถึง ตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงเที่ยงวัน แต่ฝ่ายอาจาริยวาทตีความว่าตั้งแต่อาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก เป็นกาลโภชน์ฉันอาหารได้พ้นจากนั้นเป็นเวลาวิกาล ฉันมิได้เป็นตัวอย่าง วินัยก็ดี ธรรมะก็ดี บางข้อในสมัยพุทธกาลไม่เป็นปัญหา แต่ตกมาหลังพุทธกาล ถ้าคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ก็ดี พระฏีกาจารย์ก็ดีหรือพระเกจิอาจารย์ก็ดี ไม่ปรากฏในคัมภีร์ ธรรมหรือวินัยข้อนั้นก็มีการตีความกัน เช่น เรื่อง กาล วิกาล เกี่ยวกับพระวินัยดังกล่าวแล้ว ยิ่งเกี่ยวกับธรรมะยิ่งเกิดเป็นปัญหามาก เช่น คำว่าสติ กับสัมปชัญญะ สติมาในธรรมหลายหมวด การตีความหมายหมวด มี ๒ ทาง คือ ตีตามที่มาในหมวดธรรมนั้น ๆ  อย่างหนึ่ง ตีตามที่ตนเข้าใจอย่างหนึ่ง  สัมปชัญญะมาในที่ต่าง ๆ น้อยแห่งกว่า สติ ความหมายก็สั้น เมื่อเกิดปัญหา สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว คือรู้อย่างไร ก็จำเป็นต้องอธิบายตามความเข้าใจของผู้อธิบาย ซึ่งนักธรรมด้วยกันก็อธิบายใกล้เคียงกันบ้างเหมือนกันบ้าง ต่างกันไปบ้าง จนบางทีผู้มีความสงสัยหัวข้อธรรมนั้น ๆ ไม่อาจปลงใจว่าของใครถูก เมื่อเกิดปัญหาวินัยหรือธรรมะในคัมภีร์ขึ้นผู้เป็นคณาจารย์หรือหัวหน้าอธิบายอย่างไร ลูกศิษย์ก็เชื่อตามถ้าผู้เป็นอาจารย์อีกคณะหนึ่งอธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ก็เชื่อตามอาจารย์ ความเห็นไม่ตรงกัน ปฏิบัติไม่ตรงกันก็เกิดขึ้น ยิ่งถ้าผู้มีอำนาจ เช่นพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ทรงสนับสนุนทำสังคายนา เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช และพระเจ้ากนิษกะเป็นตัวอย่าง นิกายหรือสาขาของนิกาย เหมือนกับพรรคการเมืองของชาวบ้าน
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับที่ป่าประดู่ลาย เมืองโกสัมพีพระพุทธเจ้าทรงประทับเป็นประธานท่ามกลางสงฆ์ ทรงกำใบประดู่ลายจำนวนหนึ่งแล้วรับสั่งถามภิกษุว่า ใบประดู่ที่พระองค์กำอยู่กับใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุทราบทูลว่าประดู่บนต้นมีมากกว่า พระพุทธเจ้ารับสั่งว่าคำสอนของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน ที่สอนมีน้อยกว่าที่ไม่สอน เพราะอะไร เพราะคำสอนที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ คือความประพฤติอย่างพรหม เป็นต้นว่าความเบื่อหน่าย ความสิ้นกำหนัด ความดับ ความสงบ ฯลฯ พระองค์ไม่ทรงสอน
ทั้ง ๓ ประเด็นที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่า การอธิบายวินัยบางสิกขาบทหัวข้อธรรมให้เข้ากัน กับชีวิตประจำวันได้นั้นยาก ที่จะให้ตรงกันได้ เพราะตัวอย่างตามคัมภีร์นั้นเป็นเรื่องราวในอดีต ซึ่งมีสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกับปัจจุบัน เรื่องราวในคัมภีร์เป็นเพียงส่วนประกอบในการอธิบาย ที่จะให้เข้าใจจริง ๆ ต้องเข้าใจวินัยหรือธรรมข้อนั้น ๆ โดยตลอด นี่พูดถึงผู้อธิบาย ผู้รับก็ต้องมีพื้นสภาพแวดล้อมพอที่จะรับฟังใฟ้เข้าใจได้ด้วย จึงจะสำเร็จประโยชน์การถกเถียงกัน มีความเห็นไม่ตรงกันในการตีความหมายหัวข้อธรรมะบางข้อ ย่อมมีขึ้นได้เสมอ ซึ่งเรียกอย่างภาษาวัดว่าทิฏฐิไม่เสมอกัน ตามภาวะของปุถุชน ก็เกิดเรื่องทำนองคนตาบอดคลำช้างขึ้น
สำหรับการอธิบายธรรม การสอนธรรมยกหัวข้อธรรมจากคัมภีร์มาสอนคนปัจจุบัน หากผู้รับฟังมีพื้น ศรัทธาจริตเป็นทุนเดิม ก็ไม่เป็นการลำบาก แต่คนที่เป็นพุทธิจริต  ความลำบากย่อมตามมา คือเชื่อยากเท่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้ มีนักธรรม- นักสอนธรรมอยู่ ๓ จำพวกคือ พวกสอนตามคัมภีร์ พวกสอนนอกคัมภีร์และพวกสอนทั้งในคัมภีร์และนอกคัมภีร์
พวกที่หนึ่ง  สอนธรรมตามตำรา นำหัวข้อธรรมขึ้นตั้งเป็นกระทู้ แล้วนำเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์มาประกอบ
การตีความหมายหัวข้อธรรมตามที่พระอรรถกถาจารย์ ฯลฯ แก้ไว้แล้วก็สรุปจบลงง่าย ๆ
พวกที่สอง   สอนธรรมนอกคัมภีร์ (ตำรา) ยกหัวข้อธรรมขึ้นแล้วอธิบาย นำเรื่องมาประกอบ ซึ่งคำอธิบาย
กับเรื่องไม่ตรงกับหัวข้อธรรม
พวกที่สาม   เป็นนักสอนธรรมที่หายาก ยกธรรมมาอธิบายกับชีวิตปัจจุบันอย่างกลมกลืนสนิท
แตกฉานทั้งหลักธรรมและเข้าใจปัญหาชีวิตเป็นอย่างดี ผู้ฟังเข้าใจได้ความรู้
คนพวกที่สามมีน้อยกว่าสองข้างต้น หาได้ยาก
ข้อแตกต่างที่นับว่าสำคัญของนิกายใหญ่ทั้งสองก็คือ
๑.  ทิฎฐิ หรือแนวความคิดต่างกัน รากฐานอันสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของมหายาน คือ ศรัทธา
ถ้าถามว่า ศรัทธาอย่างไร ตอบว่ามหายานถือว่า ศรัทธาเป็นหลักสำคัญ ที่จะให้ผู้นับถือพระพุทธศาสนา
บรรลุธรรม คือ ศรัทธาในพระพุทธะ หรือในพระพุทธเจ้า ด้วยแรงของศรัทธาจะทำให้เชื่อและปฏิบัติตาม
คำสอนอย่างมีชิวิตจิตใจแล้วจะได้บรรลุธรรม ความเชื่อนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ลังเล ปฏิบัติอย่างถวายชีวิต
แต่ฝ่ายหีนยานไม่ปฏิเสธศรัทธาว่ามีค่าน้อย แต่ว่าหมวดธรรมใดมีศรัทธาอยู่ด้วย หมวดธรรมนั้นก็จะมี
ปัญญากำกับอยู่ เชื่อในกรรมว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน กรรมจำแนกให้สัตว์ต่างกัน เชื่อว่าทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว และเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้กระนั้นคัมภีร์ ในนิกายฝ่ายใต้ก็เห็นว่าปัญญา
สูงกว่าศรัทธา การเลือกเฟ้นหลักธรรมว่าถูกต้องเพียงไรก็ดี หลักสัปปุริธรรมต่างมีปัญญาเป็นพื้นฐาน
รวมความก็คือ รากฐานในนิกายมหายานยึดหลักว่า สทฺธาย ตรติ โอฆํ คนข้าม โอฆะ ได้เพราะศรัทธา
หีนยานยึดหลักว่า ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ คนจะบริสุทธิ์ได้เพราะปัญญา
๒.  สังคมหรือสภาพแวดล้อมที่รักษาคัมภีร์ ของแต่ละฝ่ายแตกต่างกันทางนิกายฝ่ายใต้นับตั้งแต่สังคายนา
ครั้งที่ ๓ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศต่าง ๆ นั้น นิกายฝ่ายใต้คือ ลังกา พม่า ไทย
ลาว เขมร ซึ่งเป็นประเทศนับถือนิกายนี้ ต่อมานิกายมหายานก็ได้แผ่เข้ามาอีกในประเทศไทย เขมา พม่า
และลาว แต่ลังกานั้นมหายานไม่เข้าไปลังกาสมัยศาสนาเสื่อมก็มี เจริญก็มี มาถึงสมัยหลังสุดนิกายนั้น
พุทธศาสนา ในลังกากำลังเจริญได้แผ่มายัง พม่า ไทย เขมร และลาว อันเป็นคัมภีร์พระไตรปปิฎกฉบับ
ปัจจุบันของชาติต่าง ๆ เหล่านี้ มาจากแหล่างเดียวกัน เป็นคัมภีร์ที่รักษามาตั้งแต่เดิมฉบับเดียวกัน
ส่วนที่แผ่ไปยังภาคอื่นนั้น ตั้งอยู่ไม่มั่นคง ก็ถูกศาสนาอื่นเช่น พราหมณ์บ้าง ฮินดูบ้าง และมหายานเองบ้าง
ทำให้สิ้นลมปราณไปเหลืออยู่เฉพาะประเทศที่กล่าวนามข้างต้น
ทางนิกายฝ่ายเหนือ
นับตั้งแต่สังคายนาของพระเจ้ากนิษกะ ซึ่งทำอยู่ในภาคเหนือของอินเดีย ได้เผยแผ่ไปยังที่ข้างเคียง คือ ธิเบต จีน เกาหลี เนปาล มองโกเลีย ญี่ปุ่น ญวน ภาคเหนือของอินเดีย ศาสนาพราหมณ์ยุคพัฒนาซึ่งเป็นฮินดูนั้น พระพุทธศาสนาต้องต่อสู้ และสภาพแวดล้อมของคนในที่นั้น เป็นเหตุให้นักปราชญ์อธิบายหลักธรรมและพิธีของศาสนาให้เหมาะกับคนและท้องถิ่นนั้น ๆ คณาจารย์แต่ละท่านได้ค้นหาวิธี และแต่งคัมภีร์ประกาศศาสนา จนเกิดสูตรมากหลาย ซึ่งพ้องกับของหีนยานโดยชื่อเหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง แต่มีพระสูตรอีกมากหลายที่ไม่มีในคัมภีร์นิกายฝ่ายใต้ เช่น สัทธรรมบุฑณริกสูตร เป็นต้น
สัทธรรมบุณฑริกสูตร
ในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น นิกายใหญ่ต่างนับถือสัทธรรมบุณฑริกสูตรเป็นสูตรสำคัญกว่าพระสูตรอื่น เป็นพระสูตรแท้สูงสุดแลเป็นมหายานแท้ พระสูตรนี้แบ่งเป็น ๒๘ บท มี ๒ ภาค มีบทเท่ากัน
๐  ภาคต้น   กล่าวถึงธรรมะต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้ที่จะทำคนให้เป็นพุทธะ
๐  ภาคปลาย  กล่าวถึงความจริงอันลึกซึ้ง เกี่ยวกับความเป็นพุทธะเป็นญาตุที่มีอยู่ในทุกตัวตน
ความเป็นพุทธะหรือพุทธภาวะนี้เป็นดั้งเดิม จักรวาลสากลจักรวาล ก็เป็นสภาพดั้งเดิม
ชีวิตมีอยู่ตลอดกาล ชีวิตหนึ่ง ๆ ก็คือกระจิดริดหนึ่งของชีวิตดั้งเดิม พุทธะก็ดีชีวิตก็ดี
มีอยู่ตลอดกาล
คำสอนของพระพุทธเจ้าตลอด ๔๕ พรรษา แบ่งเป็นคำสอนชั้นเตรียมเป็นเวลา ๓๗ ปี ซึ่งเป็นคำสอนตอนต้นคำสอนตอนปลาย ๘ ปี หลังเป็นคำสอนสูงสุดรวม ๔๕ ปี แต่มหายานแบ่งเป็นทรงประกาศศาสนา ๕๐ ปี ดังนี้

๑.  เริ่มตั้งแต่สอนภิกษุปัญจวัคคีย์ คือ คำสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก (ของหีนยาน) เป็นเวลา ๑๒ ปี
๒.  เป็นคำสอนศึกษาได้จากพระสูตร (หมายถึงของมหายาน) เช่นไวปุลยะสูตร ทรงสอนวิธีนี้ ๑๖ ปี
๓.  ทรงสอนวิธีเหมาะแก่การใช้ความคิด ตรึกตรองลึกซึ้งกว้างขวางทรงสอนวิธีนี้อยู่ ๑๔ ปี
๔.  คำสอนแท้และสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นแก่นแห่งพระพุทธศาสนา ทรงสอนวิธีนี้อยู่ ๘ ปี
คัมภีร์มหายานได้แยกระยะกาลแห่งการประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นระยะตั้งแต่ ๑-๓ เป็นคำสอนขั้นต้น เตรียมพื้นฐาน เพื่อรับคำสอนเบื้องปลาย คือ สัทธรรมบุณฑริกสูตรสูงสุด ที่กล่าวมานี้เป็นของนิกายใหญ่ในจีน และญี่ปุ่น เท่านั้น
ตำนานทางฝ่ายใต้
พระเทวทัต ได้พยายามแยกคณะจากพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังพระเทวทัตสำนึกผิดและสงฆ์ก็มิได้แตกกันคือ เมื่อพระพุทธองค์รับสั่งให้อัครสาวกไปชี้แจง สามารถนำพระที่เข้ากับพระเทวทัตกลับมา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วัน หลวงตาบวชเมื่อแก่ชื่ออสุภัททะ ได้กล่าวกับภิกษุบางรูป ไม่ให้เสียใจที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานว่า “พระสมณโคดม ตายเสียแล้วก็ดี เมื่ออยู่บัญญัติวินัยจู้จี้กวนใจ ต่อไปจะทำอะไรไม่ต้องกลัวใครว่ากล่าวทักท้วงอีก” พระมหากัสสปะได้นำทำสังคายนาครั้งแรก เพราะเหตุนี้ การร้อยกรองพระธรรมวินัยเป็นหมวดหมู่ด้วยปากเปล่า มิได้เป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๐๐ ปีเศษ เกิดปัญหาวัตถุ ๑๐ อย่าง และการขอเงินชาวบ้านของภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองไพสาลีมีสาระสำคัญคือ การฉันอาหารหลังเที่ยงและการรับทรัพย์สินเงินทองเป็นต้น พระที่เห็นว่าสมควรก็มี พระที่คัดค้านว่าไม่ควรก็มี พระสงฆ์ฝ่ายที่เห็นว่าไม่สมควร มีพระยศเถระเป็นหัวหน้า ว่าไม่ควรแก้ไขพระวินัยผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ แม้จะมีข้อแก้ไว้ก็ดี เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าควรไม่ควรเพียงไร รักษาตามบัญญัติไว้เดิมดีกว่า สงฆ์คณะนี้เรียกชื่อว่า “เถรวาท” เพราะปฏิบัติตามที่พุทธสาวกได้ทำสังคายนามาตั้งแต่ครั้งที่ ๑ ส่วนพระสงฆ์อีกฝ่ายหนึ่ง คือ พระภิกษุชาววัชชี เป็นต้น ถือว่าการทำเช่นนั้นสมควร ไม่ผิดบัญญัติ สงฆ์คณะนี้เรียกว่า “อาจาริยวาท” เพราะถือตามมติอาจารย์แก้ไขไว้ พระยศเถระจึงนิมนต์พระคณาจารย์มีพระสัพพกามีและพระเรวัติ เป็นต้น กับคณะสงฆ์เป็นจำนวนมาก รวมประมาณ ๗๐๐ องค์ พร้อมกับยกสังคายนาเป็นครั้งที่ ๒ พระเจ้ากาลาโศกราชทรงเป็นอุปถัมภ์ ทำอยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จ
ครั้งที่สำคัญคือ ครั้งที่ ๓ พระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๒๐๐ ปีเศษ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ทำสังคายนาเสร็จประมาณ พ.ศ. ๒๓๕ พระโมคคัลลีบุตรเป็นประธาน เป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปยังนานาประเทศอย่างกว้างขวางเหตุแห่งการสังคายนาครั้งนี้คือ มีพวกปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเพื่อเห็นแก่ลาภ ไม่ปฏิบัติธรรมวินัย
การทำสังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ในประเทศศรีลังกา รายละเอียด ไม่นำมากล่าวในที่นี้ สำหรับประเทศอื่น  ๆ เช่น พม่า ไทย ฯลฯ ก็เคยชำระสะสางพระไตรปิฎก โดยถือเป็นการสังคายนากันเหมือนกัน ข้อสำคัญคือประเทศลังกา พม่า ไทย เขมร และลาว เป็นนิกายหีนยานมีพระไตรปิฎกมาจากแหล่งเดียวกัน คือธรรมวินัยที่สังคายนามาตั้งแต่ครั้งที่ ๓-๔ และ ๕ ซึ่งเป็นฉบับมาจากลังกา
นิกายฝ่ายเหนือเริ่มต้นตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ ๔ (หมายถึงที่ทำในประเทศอินเดียต่อจากครั้งที่ ๓ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์อุปถัมภ์ พระเจ้ากนิษกะ (พ.ศ. ๖๒๑-๖๔๒) เป็นองค์อุปถัมภ์ในการสังคายนาครั้งที่ ๔ จารึกธรรมวินัยเป็นภาษาสันสกฤต ทำที่ภาคเหนือของประเทศอินเดีย คือแคว้นกาษมีระ ในรัชสมัยของพระองค์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้แผ่ไปทั่วทุกสารทิศมีคัมภีร์เกิดขึ้นเป็นอันมาก ความจริงคัมภีร์ต่าง ๆ ก็คือสูตรต่าง ๆ มีคณาจารย์ได้แต่งขึ้นเอง พระอาจารย์ผู้แต่งผู้แปลแต่ละคัมภีร์ก็เป็นพระโพธิสัตว์นิกายมีเป็นอันมาก ก็เพราะมีพระสูตรมากนั่นเอง มีการนับถือพระสูตรตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง นิกายนี้ตั้งมั่นอยู่ในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ญวน ธิเบต เป็นต้น

นิกายเถรวาท
เถรวาท (อ่านว่า เถ-ระ-วาด) (บาลี: theravāda เถรวาท, สันสกฤต: स्थविरवाद sthaviravāda สฺถวิรวาท; อังกฤษ: Theravada) โดยศัพท์แปลว่า "ตามแนวทางของพระเถระ" เป็นชื่อของนิกายที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาพุทธ ฝ่ายมหายานเรียกนิกายนี้ว่า หีนยาน (บาลี/สันสกฤต: हीनयान)
นิกายเถรวาทเป็นนิกายหลักที่ได้รับการนับถือในประเทศศรีลังกา (ประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมด[1]) และประเทศในแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว และพม่า นิกายเถรวาทได้รับการนับถือเป็นส่วนน้อยในประเทศจีนและเวียดนาม โดยเฉพาะในมณฑลยูนนาน เนปาล บังกลาเทศที่เขตจิตตะกอง เวียดนามทางตอนใต้ใกล้ชายแดนกัมพูชา มาเลเซียมีนับถือทางตอนเหนือของประเทศ มีศาสนิกส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายไทย และสิงหล ตัวเลขผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านคน
สำหรับประเทศไทยมีผู้นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทประมาณ 94% ของประชากรทั้งหมด [2] (ข้อมูลจากกรมศาสนา เฉพาะประชากรอิสลามในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 15% ของประชากรไทย ไม่นับผู้นับถือศาสนาคริสต์ ฮินดู สิกข์ และไม่มีศาสนา จึงเป็นไปได้ว่าชาวพุทธในประเทศไทย อาจมีไม่ถึง 80% ของจำนวนประชากรทั้งหมด)
นิกายเถรวาทได้รับการนับถือคู่กับนิกายอาจริยวาท (คือนิกายมหายาน ในปัจจุบัน)
ความเป็นมาของนิกายเถรวาท
หลังจากพระโคตมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 3 เดือน พระสาวกผู้ได้เคยสดับสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำปฐมสังคายนา ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ใช้เวลาสอบทานอยู่ 7 เดือน จึงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นับเป็นบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี คำสอนที่ลงมติกันไว้ในครั้งปฐมสังคายนาและได้นับถือกันสืบมา เรียกว่า เถรวาท แปลว่า คำสอนที่วางไว้เป็นหลักการโดยพระเถระ คำว่า เถระ ในที่นี้ หมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสังคายนาครั้งแรก และพระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าว เรียกว่า นิกายเถรวาท อันหมายถึง คณะสงฆ์กลุ่มที่ยึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งถ้อยคำ และเนื้อความที่ท่านสังคายนาไว้โดยเคร่งครัด ตลอดจนรักษาแม้แต่ตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลี[3]
คณะสงฆ์เถรวาท
คณะสงฆ์เถรวาทในแต่ละประเทศ ได้แบ่งย่อยออกเป็นหลายนิกาย โดยยังคงยึดถือพระธรรมวินัยเดียวกัน

ประเทศบังกลาเทศ:
สังฆราชนิกาย (Sangharaj Nikaya)
มหาสถพีรนิกาย (Mahasthabir Nikaya)
ประเทศพม่า :
สุธัมมนิกาย (Thudhamma Nikaya)
ชเวจินนิกาย (Shwekyin Nikaya)
ทวารนิกาย (Dvara Nikaya)
ประเทศศรีลังกา:
สยามนิกาย (Siam Nikaya)
มัลวัตตะ (Malwaththa)
อัสคิริยะ (Asgiriya)
วาทุลวิลา (Waturawila) หรือ มหาวิหารวามสีกาสยาโมวนาวาสนิกาย (Mahavihara Vamshika Shyamopali Vanavasa Nikaya)
อมรปุรนิกาย (Amarapura Nikaya)
ธรรมรักษิต (Dharmarakshitha)
คันดุโบดา (Kanduboda) หรือนิกายชเวจิน (Swejin Nikaya)
ตโปวนะ (Tapovana) หรือกัลยาณวงศ์ (Kalyanavamsa)
รามัญนิกาย
กัลดุวา (Galduwa) หรือกัลยาณโยคศรามายะ สัมสตายะ(Kalyana Yogashramaya Samsthava)
เดวดูวา (Delduwa)
ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา
มหานิกาย (Maha Nikaya)
ธรรมยุติกนิกาย (Dharmmayuttika Nikaya)นิกายมหายาน / อาจริยวาท
อาจริยวาท แปลว่า วาทะของอาจารย์ เป็นคำที่คณาจารย์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทใช้เรียกพุทธศาสนานิกายใด ๆ ที่ไม่ยอมรับมติของพระเถระผู้ทำสังคายนาครั้งที่ 1 แต่ถือตามคำสอนของอาจารย์ของตน จึงเรียกว่า อาจริยวาท
ตามที่ปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์และทีปวงศ์ นิกายที่ถือเป็นอาจริยวาทมี 17 นิกาย[1] ได้แก่
1. มหาสังฆิกะ แยกตัวออกจากเถรวาทราว พ.ศ. 100 หลังการสังคายนาครั้งที่สองในศาสนาพุทธ
2. โคกุลิกะ แยกออกมาจากมหาสังฆิกะ
3. เอกัพยาวหาริกะ แยกออกมาจากมหาสังฆิกะ
4. ปรัชญัปติวาท แยกออกมาจากโคกุลิกะ
5. พหุศรุตียะ แยกออกมาจากโคกุลิกะ
6. ไจติกะ แยกออกมาจากพหุศรุตียะ
7. มหีศาสกะ แยกออกมาจากเถรวาท
8. วาตสีปุตรียะ แยกออกมาจากเถรวาท
9. ธรรโมตตรียะ แยกออกมาจากวาตสีปุตรียะ
10. ภัทรยานียะ แยกออกมาจากวาตสีปุตรียะ
11. สันนาคริกะ แยกออกมาจากวาตสีปุตรียะ
12. สางมิตียะ แยกออกมาจากวาตสีปุตรียะ
13. สรวาสติวาท แยกออกมาจากมหีศาสกะ
14. ธรรมคุปต์ แยกออกมาจากมหีศาสกะ
15. กาศยปียะ แยกออกมาจากสรวาสติวาท
16. สังกันติกะ แยกออกมาจากกาศยปียะ
17. เสาตรานติกะ แยกออกมาจากสังกรานติกะ
ปัจจุบันอาจริยวาททั้ง 17 นิกายนี้เสื่อมไปหมดแล้ว คงเหลือแต่นิกายมหายาน ซึ่งเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนาต่อมาจากมหาสังฆิกะ[2]
นิกายวัชรยาน
วัชรยาน (Vajrayana) เป็นนิกายหนึ่งในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นระบบที่ซับซ้อนในหลายมิติในการคิดและการปฏิบัติ ที่ได้มีวิวัฒนาการในหลาย ๆ ร้อยปี [1]นอกจากเรียกว่าวัชรยานแล้ว ยังมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น พระพุทธศาสนาลัทธิตันตระ (Tantric Buddhism) ตันตรยาน (Tantrayāna) มันตรยาน (Mantrayāna) คุยหยาน (Esoteric Buddhism) เป็นต้น
ความเป็นมาของวัชรยาน
พุทธศาสนิกชนฝ่ายวัชรยานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงหมุนกงล้อพระธรรมจักร 3 ครั้งด้วยกัน ซึ่งมีความหมายว่า ท่านได้เทศนาในหลักใหญ่ๆไว้ 3 เรื่อง 3 วาระ ได้แก่
ที่เมืองสารนาถ แคว้นพาราณสี เทศนาเกี่ยวกับพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
ที่กฤตธาราโกติ แคว้นราชคฤห์
ที่ไวศาลี
การเทศนาครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 นั้นได้เทศนาเกี่ยวกับมหายาน ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเรื่องของอุดมคติการหลุดพ้นของสรรพสัตว์ทั้งหมดเป็นอุดมคติของมหายานอุดมคตินี้ เรียกว่า "โพธิจิต"(จิตที่ต้องการตรัสรู้ธรรมเพื่อประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย)

บุคคลใดที่มีอุดมคติแบบโพธิจิตนี้และปฏิบัติอุดมคตินี้ บุคคลนั้นก็คือพระโพธิสัตว์ ในแต่ละครั้งแห่งการเกิด ต้องมีบุพการี 1 กลุ่ม ในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้แต่ละคนได้มีบุพการีมาแล้วเป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วน ฉะนั้นการแสวงหาทางหลุดพ้นจึงควรเป็นไปพร้อมกัน หรือให้บุพการีไปก่อนแล้วเราค่อยหลุดพ้นตามไป นี่คือความเป็นพระโพธิสัตว์ พระอาจารย์ชาวทิเบตได้กล่าวไว้ในศตวรรษที่ 14 ว่า
ความทุกข์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัว ความสุขทั้งหมดเกิดขึ้นจากการหวังดีให้ผู้อื่นมีความสุข
ฉะนั้นการแลกความสุขของตนเปลี่ยน กับความทุกข์ของผู้อื่นเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ต้องประกอบไปด้วยบารมี 6 ประการ [2]
ในบารมี 6 ที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัตินั้นประกอบด้วยทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ สามารถบรรลุความเป็นตรีกายได้คือธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมาณกาย พระพุทธเจ้าได้สอน เรื่องของวัชรยานไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กาลจักรตันตระ หลังจากได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว 1 ปี แก่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญในภูมิที่สูง ฉะนั้นคำสอนตันตระจึงถือว่าเป็นคำสอนลับเฉพาะ ถ่ายทอดแก่ผู้ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง หากถ่ายทอดไปยังผู้ไม่เหมาะสม นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้
คำสอนมหายานเป็นที่เริ่มสนใจปฏิบัติในช่วงของท่านนาคารชุนในปื ค.ศ. 1 ท่านนาคารชุนได้ปฏิบัติคำสอนตันตระได้ อย่างเป็นเลิศ ท่านได้เขียนเรื่องการปฏิบัติตันตระเรื่องกูเยียซามูจาตันตระ ในศตวรรษที่ 16 ท่านตารานาถ พระอาจารย์ชาวทิเบตในนิกายโจนังปะ (Jonangpa) ได้บันทึกไว้ว่าท่านคุรุนาคารชุนได้เขียนคำสอนเกี่ยวกับตันตระ ไว้มากเพียงแต่ช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่เป็นที่นิยมและแพร่หลาย ทิเบตเริ่มรับคำสอนจากอินเดีย ในช่วงศตวรรษที่ 7-8 ในช่วงนั้นการปฏิบัติตันตระในอินเดียได้พัฒนาขึ้นถึงจุดสูงสุดไปจนถึง ศตวรรษที่ 12 การปฏิบัติในวัชรยานมีเงื่อนไขสำคัญอยู่หนึ่งข้อคือก่อนที่จะศึกษาปฏิบัติตันตระ จะต้องได้รับการมนตราภิเษก (initiation/ empowerment) จากพระอาจารย์ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมและได้รับอนุญาตจากครูบาอาจารย์ในสายของท่านให้เป็นผู้ประกอบพิธี ถ้าไม่มีมนตราภิเษก ถึงแม้จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามจะไม่ได้รับผลเต็มที่ ฉะนั้นผู้สนใจต่อการปฏิบัติวัชรยานจึงต้องได้รับการมนตราภิเษกจากพระอาจารย์เสียก่อน อย่างไรก็ตาม มนตราภิเษกที่สมบูรณ์ไม่ได้เกิดหลังผ่านพิธีกรรม แต่เกิดไปตลอดชีวิตของผู้ปฏิบัติเมื่อเขาฝึกฝนตนเองตามบทปฏิบัติจนจิตของเขาประสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของพระพุทธเจ้าองค์ที่เขาปฏิบัติบูชา และการให้มนตราภิเษกชั้นสูงจะมอบให้เพียงศิษย์ที่คุรุไว้วางใจว่ามีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์และจะสามารถรักษาและปฏิบัติตามคำสอนได้อย่างเคร่งครัด นอกจากมนตราภิเษก คำสอนในสายตันตระยังต้องได้รับการส่งมอบจากคุรุสู่ศิษย์ที่เรียกว่า การถ่ายทอดคำสอน (transmission) และได้รับการอธิบาย (instruction) อย่างชัดแจ้ง
คำสอนวัชรยานมีไว้สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานปัญญาจากมหายานเป็นอย่างดีจึงสามารถเข้าใจคำสอนอันลึกซึ้งได้ เป็นที่รู้กันว่าในทิเบต ท่านมิลาเรปะได้บรรลุธรรมในช่วงชีวิตของท่านด้วยการปฏิบัติตันตระ การปฏิบัติวัชรยานสามารถ ทำให้เราบรรลุถึงจุดนั้นได้ด้วยเวลาอันสั้น คำสอนต่างๆในตันตระได้ถูกบันทึกไว้ด้วยวิธีการ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งไว้ เราสามารถศึกษาตันตระได้จากคำสอนต่างๆที่พระอาจารย์ชาวอินเดียได้บันทึกไว้และได้แปลทั้งหมดสู่ภาษาทิเบต เนื่องจากคำสอนดั้งเดิมที่เป็นภาษาสันสกฤตได้สูญหาย และถูกทำลายไปนานแล้ว
พุทธศาสนาได้เข้าสู่ทิเบตในสมัยกษัตริย์ซงซัน กัมโปในคริสต์ศตวรรษที่ 7 พุทธศาสนาเข้าสู่ทิเบตทั้งจากอินเดียและจีน ได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ทิเบตว่ามีการสังคายนาพระพุทธศาสนา ณ นครลาซา โดยผ่านการโต้วาทีธรรมระหว่างนิกายเซนของจีนและวัชรยานจากอินเดีย ผลปรากฏว่า ชาวทิเบตเลื่อมใสในวัชรยานมากกว่า ดังนั้นพุทธศาสนาวัชรยานจึงลงรากฐานมั่นคงในทิเบตสืบมา พระเจ้าตรีซง เตเซ็น ได้ทรงนิมนต์ท่านศานตรักษิต ภิกษุชาวอินเดียและพระคุรุปัทมสมภวะเข้ามาเพื่อเผยแผ่พระธรรม โดยเฉพาะพระคุรุปัทมสมภวะได้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวทิเบตอย่างมากจนท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 ของชาวทิเบต ท่านได้ร่วมกับท่านศานตรักษิตสร้างวัดสัมเย่ขึ้นในปี ค.ศ. 787 และเริ่มมีการอุปสมบทพระภิกษุชาวทิเบตขึ้นเป็นครั้งแรก ในความอุปถัมภ์ของกษัตริย์ตรีซง เตเซ็น ทั้งนี้ยังได้จัดนักปราชญ์ชาวทิเบตเข้าร่วมในการแปลพระพุทธธรรมเป็นภาษาทิเบตด้วยอย่างมากมาย
การเผยแผ่ของพุทธวัชรยาน (พุทธทิเบต)
พุทธศาสนาในทิเบตมีประวัติความเป็นมา 2 ทาง ทางหนึ่งเผยแผ่จากอินเดียในศตวรรษที่ 7 ในสมัยกษัตริย์ซงซัน กัมโปดังกล่าวข้างต้น แบ่งออกเป็น 4 นิกายใหญ่ๆ ได้แก่ ญิงมาปะ (Nyingmapa), กาจูร์ปะ (Kagyupa), สาเกียปะ (Sakyapa) และเกลุกปะ (Gelugpa) โดยญิงมาปะเน้นการฝึกปฏิบัติตามคำสอนในคัมภีร์ที่ได้มีการแปลจากสันสกฤตระหว่างศตวรรษที่ 7-10 ส่วนนิกายที่เหลือรวมเรียกว่า ซาร์มา (Sarma) หมายถึงนิกายใหม่ เน้นการฝึกปฏิบัติตามคำสอนในคัมภีร์ที่ได้มีการแปลหลังศตวรรษที่ 11 โดยมีท่านอตีศะทีปังกร พระอาจารย์ชาวอินเดียเป็นผู้เน้นในเนื้อหาของพระสูตร
การเผยแผ่ในทิเบตอีกทางหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากอาณาจักรชางชุง (Zhang zhung หรือ Shang shung) ซึ่งเชื่อว่าคือบริเวณภูเขาไกรลาศทางตะวันตกของทิเบตในปัจจุบัน อันมีอาณาเขตไปจนถึงเปอร์เซีย โดยที่พุทธศาสนาดั้งเดิมนี้ หรือที่ Professor Christopher Beckwith เรียกว่า พุทธโบราณของเอเซียกลาง (ancient Buddhism of Central Asia) มีชื่อเรียกว่า เพิน (Bon) หรือชื่อที่ถูกต้องคือ ยุงตรุงเพิน (Yungdrung Bon) หมายถึง ธรรมะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คำว่า เพิน แปลว่า ธรรมะ หรือสภาวธรรม คำนี้จึงเป็นคำเดียวกับคำว่า เชอ (Chos) ซึ่งใช้เรียกธรรมะในพุทธศาสนาที่เผยแผ่มาจากอินเดีย หมายถึง คำสอนในนิกายต่างๆข้างต้น (คำว่า เพิน หรือนักแปลบางคนออกเสียงตามภาษาอังกฤษว่า บอน ยังเป็นชื่อเรียกลัทธิความเชื่อแต่ดั้งเดิมที่มีการนับถือธรรมชาติและเคยมีการบูชายัญ แต่ลัทธินี้ซึ่งชื่อเต็มคือ "เตอเม เพิน" ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าเติมปา เชนรับ มิโวเช องค์พระศาสดาก่อนสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าศรีศายมุนี เมื่อกว่า 10,000 ปีมาแล้ว หลังจากนั้น ชาวชางชุงได้กลายเป็นชาวพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าเติมปา เชนรับเสด็จทิเบต ทรงนำคำสอนนี้ไปเผยแผ่ในทิเบต ทำให้คำสอนนี้รุ่งเรืองในทิเบต จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ที่มีการรับคำสอนมาจากอินเดีย ด้วยปัญหาทางการเมืองและศาสนา ในสมัยของกษัติรย์ตรีซง เตเซ็น (ศตวรรษที่ 8) อาณาจักรชางชุงถูกยึดครอง ผู้ปฏิบัติเพินจำนวนมากถูกสังหาร และกษัติรย์องค์สุดท้ายของชางชุงคือ กษัตริย์ลิกมินชาถูกปลงพระชนม์ หลังจากนั้น วิถีปฏิบัติพุทธเพินก็ได้ตกอยู่ในความขัดแย้งของการแบ่งแยกทางศาสนา)
นิกาย
พุทธวัชรยานแบ่งเป็นหลากหลายนิกาย แต่ละนิกายล้วนมีสังฆราช หรือผู้ปกครองสุงสุดของคณะสงฆ์ในแต่ละนิกายนั้น ๆ แต่ทุกนิกายล้วนแต่ยึดสมเด็จองค์ดาไลลามะ (ทะไลลามะ) เป็นประมุขทางจิตวิญญาณ

1. นิกายยุงตรุงเพิน หรือสาขาย่อยของวัชรยานที่มีต้นกำเนิดมาจากทิเบต (ไม่ได้เผยแผ่มาจากอินเดีย) เป็นพุทธโบราณที่สืบทอดมานับหมื่นปี แบ่งเป็น 9 ยาน และมี 3 มรรควิถีแห่งพระสูตร ตันตระ และซกเช็น พระสังฆราชของนิกายนี้คือสมเด็จแมนรี ทริซิน ริมโปเช (His Holiness Menri Trizin Rinpoche) ปัจจุบันทรงประทับอยู่ที่วัดแมนรี ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่สำคัญของนิกายนี้โดยมีการศึกษาในระดับปริญญาเกเช เทียบเท่าปริญญาเอก

2. นิกายพุทธจากอินเดีย 4 นิกาย ได้แก่

นิกายญิงมาปะ (Nyingmapa)

ดูบทความหลักที่ นิกายญิงมาปะ
ญิงมาปะเป็นนิกายแรกที่เผยแผ่มาจากอินเดีย โดยถือว่ากำเนิดจากท่านคุรุปัทมสมภวะ ได้มีพัฒนาการครั้งใหญ่ๆ 3 ครั้ง คือ การเริ่มต้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่ม ต้นพุทธศาสนาของทิเบตด้วย และเป็นนิกายเดียวที่มีอยู่ในช่วงนั้น คือศตวรรษที่ 8-11 คำว่า "ญิงมาปะ" ซึ่งแปลว่าโบราณสัญลักษณ์ของนิกายคือใส่หมวกสีแดงชาวทิเบตเลื่อมใสศรัทธา ท่านคุรุปัทมภพมากเชื่อว่าท่านเป็นผู้ทรงพลานุภาพอย่างมากในการให้ความช่วยเหลือขจัดอุปสรร ต่างๆได้จนหมดสิ้น ณยิงมาปะได้เน้นในด้านพุทธตันตระคำว่าตันตระนั้นแปลว่าเชือกหรือเส้นด้ายใหญ่ๆ หรือความต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดคำสอนจากอาจารย์ไปสู่ศิษย์ โดยไม่มีการขาดตอนโดยผ่านพิธีมนตราภิเษก และเป็นการถ่ายทอดคำสอนปากเปล่าจากอาจารย์สู่ศิษย์

องค์คุรุปัทมสัมภวะได้ให้เหตุผลไว้ 3 ได้แก่

เพื่อไม่ให้คำสอนผิดเพี้ยนไปเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ
เพื่อให้พลังแห่งคำสอนนั้นอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ และ
เพื่อเป็นการให้พรแก่คนรุ่นหลังที่ได้สัมผัสกับคำสอนดั้งเดิม
คำสอนญิงมาปะเน้นในเรื่องความไม่เป็นแก่นสารของจักรวาลและเน้นถึงความเป็นไปได้ในการตรัสรู้ในเวลาอันสั้น แบ่งพุทธศาสนาออกเป็น 9 ยานคือ

สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และ โพธิสัตว์ยาน คือสามยานขั้นต้น
กริยาตันตระ จริยะตันตระ และโยคะตันตระ เป็นสามยานในชั้นกลางหรือจัดเป็นตันตระต่ำ และ
มหาโยคะตันตระ อนุตรโยคะตันตระและอธิโยคะตันตระ สามยานสุดท้าย หรือจัดเป็นตันตระสูง อนุตรโยคะตันตระจัดเป็นตันตระสูงสุดของตันตระ
นิกายกาจูร์ปะ

นิกายกาจูร์ปะเป็นนิกายสำคัญนิกายหนึ่งในต้นศตวรรษที่ 11 "กาจูร์ปะ" แปลว่า การถ่ายทอดคำสอนด้วยการบอกกล่าวจากอาจารย์สู่ศิษย์ ผู้ก่อตั้งคือท่านมาร์ปะ ผู้สืบสายคำสอนมาจากนาโรปะ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาวิหารนาลันทา ผู้รับสืบทอดคำสอนมาจากติโลปะ ผู้ถือว่ารู้แจ้งเองไม่ปรากฏว่าท่านได้รับคำสอนจากพระอาจารย์ท่านใด แต่ได้มีบันทึกบอกกล่าวไว้ว่าท่านได้รับคำสอนโดยตรงจากพระพุทธวัชรธร มาร์ปะเป็นลามะปราชญ์ผู้แปลพระธรรมที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งของทิเบต ท่านได้ถ่ายทอดคำสอนต่อให้มิลาเรปะ โยคีผู้บรรลุความรู้แจ้งในชีวิตนี้ นิกายกาจูร์ปะได้ชื่อว่านิกายขาวก็สืบเนื่องจากการครองผ้าของมิลาเรปะซึ่งท่านจะครองผ้าบางๆสีขาวหรืออาจจะมาจากสัญลักษณ์ของวัดในกาจูร์ปะซึ่งจะทาสีขาวทั้งหมด มาร์ปะและมิลาเรปะถือว่ามีความสำคัญมากในพุทธตันตระของทิเบต ท่านได้ประพันธ์คำสอนไว้มากมาย มิลาเรปะมีศิษย์ทั้งหมด 21 ท่าน ท่านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ กัมโปปะ คำสอนสำคัญของนิกายนี้ ตันตระโยคะทั้ง 6 และการปฏิบัติ มหามุทรา
นิกายสาเกียปะ
ดูบทความหลักที่ นิกายสาเกียปะ
นิกายนี้ได้มาจากชื่อของวัดสาเกีย คำว่า สาเกีย แปลว่าดินสีเทา อยู่ในแคว้นซัง ทางตอนใต้ของ แม่น้ำยาลุงซังโป
วัดสาเกียมีเอกลักษณ์คือทาสีเป็น 3 แถบ คือแถบสีแดง สีขาว และสีดำ สีทั้ง 3 เป็นสีแห่งพระโพธิสัตว์ 3 องค์ คือ
สีแดง เป็นสีแห่งพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ผู้ทรงเป็นองค์แทนปัญญาของพระพุทธเจ้า
สีขาว เป็นสีแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้ทรงเป็นองค์แทนกรุณาของพระพุทธเจ้า
สีดำ เป็นสีแห่งพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ ผู้ทรงเป็นองค์แทนพลังของพระพุทธเจ้า
นิกายสาเกียปะได้ตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 11 ผู้ก่อตั้งนิกายคือผู้สืบเชื้อสายขุนนางเก่าตระกูลเกิน โกนชก เกียลโป ท่านได้รับคำสอนกาลจักรตันตระจากบิดาซึ่งรับคำสอนมากจากวิรูปะ โยคีชาวอินเดีย ท่านเกิน โกนชก เกียลโปได้เดินทางไปเรียนตันตระจากอาจารย์อีกท่านคือโยมิโลซาวา เป็นบัญญัติของท่านเกิน โกนชก เกียลโป ว่าการสืบทอดในนิกายนี้จะสืบทอดเฉพาะคนในตระกูลเกินเท่านั้น ตำแหน่งของเจ้านิกายสาเกียปะเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจทั้งในทางการเมืองและการศาสนาความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าผู้สืบสายนิกายสาเกียปะ ท่านที่4คือกุงกา เกียลเซ็น หรือ สาเกียบันฑิต และหลานของท่านที่ชื่อว่า พักปะ โลดุป เกียลเซนทั้ง 2 ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงในการเมืองของทิเบตมาก ท่านได้รับการเชิญจากโดยข่านชาวมงโกลให้ไปแผ่แผ่พุทธตันตระในประเทศจีน เป็นที่เลื่อมใสแก่ข่านมงโกลอย่างมาก กุบไลข่านได้แต่งตั้งให้พักปะ โลดุป เกียลเซนให้ปกครองทิเบต และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่พระสงฆ์นั้นปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักร

นิกายกาดัมปะและเกลุกปะ
ดูบทความหลักที่ นิกายเกลุก
เช่นเดียวกับนิกายกาจูร์ปะและสาเกียปะ จุดเริ่มของทั้ง 2 นิกายมาจากอตีศะทีปังกร และศิษย์ของท่านชื่อ ตมเติมปะ ท่านอตีศะได้เน้นมากในเรื่องคำสอนดั้งเดิมของพุทธศาสนาและเน้นในการปฏิบัติพระธรรมวินัยที่เคร่งครัดโดยไม่เน้นในคำสอนตันตระ ศิษย์ของท่านอตีศะได้ก่อตั้งนิกายกาดัมปะขึ้น คำว่า กาดัม แปลว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาผ่านไปกาดัมปะได้สูญเอกลักษณ์ของตนเองไปบ้างด้วยแรงดึงดูดใจจากตันตระ ในศตวรรษที่14 พระอาจารย์ซงคาปาได้ศึกษาคำสอนของท่านอตีศะและได้ปฏิวัตินิกายกาดัมปะขึ้นมาใหม่ให้คงเอกลักษณ์เดิมและได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นนิกายเกลุกปะ คำว่าเกลุก แปลว่าความดีงาม คำสอนของเกลุกปะ เน้นที่การศึกษาจากต่ำขึ้นไปสูงเน้นธรรมวินัย เน้นด้านตรรกะและพุทธปรัชญา
สายการปฏิบัติในประเทศไทย
ปัจจุบันมีการถ่ายทอดคำสอนเข้ามาในประเทศไทยจากหลายนิกาย และได้มีการตั้งกลุ่มปฏิบัติต่างๆ ขึ้นดังนี้
กลุ่ม มังคลศรี ตักลุง กาจูร์ (ประเทศไทย) (Mangala Shri Taklung Kagyu - Thailand, Taklung Kagyu lineage) [3] เน้นสายการปฏิบัติตักลุง กาจูรย์โดยมีพระอาจารย์สำคัญคือ สมเด็จพักชก ริมโปเช (Phakchok Rinpoche)
กลุ่ม ศูนย์กลางข้อมูลพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน (ริโวเชธรรมสถาน) สายริโวเช (Mahayana information center - Riwoche, Riwoche lineage) [4]
กลุ่ม ชัมบาลา สายปฏิบัติชัมบาลา (Shambhala Bangkok, Shambhala lineage) เน้นคำสอนของพระอาจารย์ทรุงปะ ริมโปเช [5]
มูลนิธิพันดารา เน้นคำสอนพุทธวัชรยานอย่างไม่แบ่งแยกนิกาย หรือที่เรียกว่า รีเม (Rimed) และมีคำสอนพิเศษที่เน้นการปฏิบัติบูชาพระโพธิสัตว์ตาราที่สืบทอดในนิกายสาเกียปะและคำสอนซกเช็นที่สืบทอดในนิกายยุงตรุงเพิน (Thousand Stars Foundation, several different lineages of Tibetan Buddhism as well as Yungdrung Bon, emphasizing on Tara and Dzogchen traditions) มีบ้านอบรมเสวนาในกรุงเทพมหานครและศูนย์ปฏิบัติธรรมและแหล่งเรียนรู้อุทิศแด่พระโพธิสัตว์ตารา ชื่อว่า ศูนย์ขทิรวัน (Khadiravana Center) หรือภาษาทิเบต กุนเทรอลิง (Kundrol Ling) ที่หมู่ 5 ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ [6]
บ้านติโลปะ (Tilopa House) สืบสายการปฏิบัติของท่านทรุงปะริมโปเช เช่นเดียวกับสายชัมบาลา แต่ผ่านคุรุทางจิตวิญญาณชาวอเมริกันชื่อ เรจินัลด์ เรย์ (Reginald Ray) มีบ้านปฏิบัติธรรมและที่อบรมเสวนาในกรุงเทพมหานคร
ศูนย์อนัมคาราเพื่อปัญญาเมตตาและสันติสุข (Anam Cara Center for Wisdom-Compassion-Peace) สืบทอดวิถีวัชรยาน ผ่านกระบวนการบำบัดทางจิตวิญญาณ ได้แก่ สมาธิพระวัชรสัตว์ การปฏิบัติโพวา และผสมผสานกับการสะกดจิตบำบัด การสะกดจิตย้อนอดีตชาติบำบัด และจัดคอร์สฝึกอบรมการปฏิบัติแบบตันตระ [7]
นอกจากนี้ ยังมีคำสอนในพุทธวัชรยานที่ได้รับการถ่ายทอดที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี เช่น คำสอนเกี่ยวกับพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า คำสอนในสายเกลุกปะ และเสถียรธรรมสถาน เช่น คำสอนเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ตารา



การมีนิกายเป็นอนันตริยกรรมทำสงฆ์แตกแยก เป็นเหตุขวางนิพพาน
พระพุทธศาสนาที่ทำให้นิพพานได้จริงจะไม่มีนิกาย นิกายหรือกลุ่มใดที่ได้แยกออกจากพระพุทธศาสนา นำพาบริวารไปเป็นสมาชิกใหม่ นับว่าได้ทำ อนันตริยกรรมแล้ว ต่อพระพุทธศาสนาแล้ว คือ ทำ สังฆเภทให้พระสงฆ์แตกกัน ตัวเองไปตั้งนิกายใหม่ แยกออกจากพระพุทธศาสนาเดิมแล้วทำให้พระสงฆ์นับถือแยกตัวไปจากพระพุทธศาสนา ดั่งเช่น พระเทวทัต จึงเป็นอนันตริกรรม แม้บรรลุอรหันต์แล้ว กรรมหนักนี้จะเป็นเครื่องขวางนิพพาน พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้ว จะไม่สร้างนิกายใหม่ เป็นพระผู้อยู่อย่างไม่มีนิกาย ไม่สังกัดนิกาย เหมือนผู้น้อย เพราะเป็นพระสาวกในพระพุทธศาสนาแล้ว มีพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าหนึ่งเดียว ไม่มีอาจารย์ผู้เป็นใหญ่กว่านี้อีก ไม่มี อาจาริยวาทอื่นใดอีก
 ดังนั้น ทุกนิกายในพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้นิพพานเลยแม้แต่หนึ่งนิกาย ผู้ที่ได้นิพพานจริงไม่มีนิกาย มีแต่พระพุทธศาสนา ไม่มีอาจารย์อื่นใดยิ่งกว่านอกจากพระพุทธเจ้า แต่ท่านที่มีนิกายก็ดี มีอาจารย์อื่นที่ท่านนับถือในนิกายนั้นก็ดี ทำอนันตริยกรรมร่วมกันแล้ว ไม่ได้นิพพาน จะจุติที่ สุขาวดีมีอาจารย์ผู้เป็นต้นนิกายรออยู่คือพระยูไล ส่วนศิษย์ทั้งหลายจะสำเร็จสูงสุดเพียงสุขาวดี เป็น อรหันตโพธิสัตว์ที่ไม่ได้นิพพานทั้งสิ้น ดังนั้น ในประเทศไทยมีนิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา จึงไม่มีพระรูปใดที่ได้นิพพานภายใต้นิกายใดๆ เลย ผู้ที่ได้นิพพานได้อยู่อย่างไม่มีนิกาย มีแต่คำว่าพระพุทธศาสนา มีแต่คำว่าพระพุทธเจ้า แล้วแยกออกเสียจากสงฆ์เหล่าที่นิยมนิกายนั้นๆ ไปต่างหาก เพื่อหาพระพุทธศาสนาที่แท้ ที่ไม่แยกตัวออกเป็นนิกาย ไม่ทำอนันตริยกรรมให้สงฆ์แตกหน่อแตกกอ แตกนิกาย แล้วเร่งกระทำกิจให้จบ พรหมจรรย์ให้สมบูรณ์เสีย ก็บรรลุ อรหันตผลอยู่อย่างแยกออกจากพวกที่แตกตัวเป็นนิกาย แม้หาพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่พบ ก็พึงปลีกตัวออกจากเหล่าพวกที่มีนิกายนั้น เพื่อเลี่ยงอนันตริยกรรม สุดท้ายต้องเร่ร่อนไปในทางธุดงควัตรอย่างอิสระจึงนิพพานแบบปัจเจกฯ
ดังนั้น ประวัติพระสงฆ์ไทยทั้งหมดล้วนมี นิกายต้องพัวพันอยู่ในกลุ่มอาจารย์ผู้กระทำ อนันตริยกรรมมีอาจารย์ของตนเป็นใหญ่เป็น อาจาริยวาทไม่ได้นิพพาน เพราะเหตุกรรมหนักทำให้พระสงฆ์แตกแยกหน่อ แตกกอกันอย่างนั้น ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาที่ไม่มีแตกแยกนิกาย อันเป็นแนวทางดั้งเดิมแท้ที่พระพุทธองค์ทรงมอบไว้ ไม่ใช่อย่างพระเทวทัตที่ได้ตั้งกลุ่ม แตกแยกหน่อแยกกอออกมา ทำให้เป็น อนันตริยกรรมจะได้นิพพานนั้นมีอยู่ ก็แต่ หลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้น แม้แต่หลวงปู่ทวด ก็ไม่ได้นิพพาน เพราะพัวพันอยู่ในนิกาย, หลวงพ่อโต ก็ไม่ได้นิพพาน เพราะอยู่ในนิกายของผู้ที่ทำสงฆ์แตกเหล่าแตกกอ, หลวงปู่มั่น ก็ไม่ได้นิพพาน ได้เป็นพระยูไลเพราะอยู่ในนิกายธรรมยุติ พระสงฆ์เหล่าที่มีนิกายทั้งหลายจะได้เพียง โพธิญาณสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าบ้างเป็นส่วนน้อย นอกนั้น ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะได้ อรหันตโพธิสัตว์คือ บรรลุอรหันตผล แต่ไม่นิพพาน เพราะพัวพันในอนันตริยกรรมแห่งการแตกหน่อแตกกอ ทำให้พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแตกกัน เป็นสังฆเภท เป็นกรรมหนักตัดรอนนิพพาน ขวางนิพพาน อนึ่ง สาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จะไม่เป็นผู้แตกหน่อแตกกอ สร้างกลุ่มก้อนนิกายใดๆ ใหม่ จะมีแต่พระพุทธศาสนา ที่มีเจ้าหนึ่งเดียวคือพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้ใดกระทำอย่างพระเทวทัต คือ แตกแยกออกไปเป็นกลุ่มใหม่เสียเอง ทำให้คนนับถือกันมากมาย แม้ช่วยคนให้ได้ถึงอรหันตผลจริง ก็ไม่มีใครจะได้ถึงนิพพาน เพราะเหตุพัวพันกันในนิกาย อันเกิดจาก อนันตริยกรรมนั้น ทำพระสงฆ์แตกกอออกไปเป็นกรรมอันหนัก พระสงฆ์ใดปรารถนานิพพานอยู่ในพระพุทธศาสนาอันแท้ จำให้ปลีกตัวออกจากพระสงฆ์เหล่าที่มีนิกายเสีย แล้วปลีกวิเวกเร่งปฏิบัติส่วนตัวให้หลุดพ้นไป กระทำตามอย่างหลวงปู่เทพโลกอุดร จึงได้นิพพานได้จริง หลวงปู่เทพโลกอุดรเคยสอนผู้เขียนครั้งหนึ่ง ขณะผู้เขียนฝึกพันมือ ซึ่งตอนนั้นบวชเป็นเณร ท่านว่าเณรรำไม่เหมาะนะ แต่ข้าพเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ จึงยอมผิดศีลแล้วรำ ท่านคงทราบแล้วจึงเลี่ยงไป ไม่พัวพันกรรมกับผู้เขียนอีกเลย
นับถือครูบาอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ได้นิพพาน?
 ในสมัยหลังพุทธกาลไปหนึ่งร้อยปีถึงสองร้อยปี ช่วงนั้น พระสงฆ์ที่เดิมเคยเป็นปึกแผ่นปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนกัน ได้มีบางกลุ่มได้แยกตัวออกไป เพราะปฏิบัติไม่ได้ และผ่อนปรนศีลลง ยกอาจารย์ของตนขึ้นเป็นใหญ่ นับถืออาจารย์เป็นใหญ่ เรียกกลุ่มเหล่านี้ว่า อาจาริยวาทซึ่งอาจารย์แต่ละท่านก็มีบุญบารมี มีดีในตัว แต่แต่ละท่านนั้นไม่ได้หวังนิพพาน จึงผ่อนปรนศีลลงแตกต่างกันไป สงฆ์รูปไหนพอใจแนวทางแบบใดก็ไปขออยู่กับอาจารย์ผู้นั้น ก็มีลาภสักการะตามกำลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่ออาจารย์ท่านนั้น ส่วนพระสงฆ์กลุ่มดั้งเดิม ไม่มีการแตกแยกออกไปตั้งนิกายหรือลัทธิใดใหม่ๆ จึงปฏิบัติได้มรรคผลนิพพาน พวกที่นับถืออาจารย์ของตนนั้น ถ้าอาจารย์ของตนไม่นิพพานตนเองก็ไม่ได้นิพพานไปด้วย เพราะผลจากบุญกรรมที่พัวพันกันนั่นเอง การแยกตัวออกไปจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหมู่สงฆ์ที่ปฏิบัติเพื่อความปรารถนาต่างกัน กล่าวคือ สงฆ์ส่วนหนึ่งปรารถนานิพพาน ส่วนหนึ่งปรารถนาโพธิญาณ ปฏิบัติรวมกันไม่ได้ กรรมจะพัวพันกัน ต้องแยกกันปฏิบัติ หลังจากนั้น เข้าสู่ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านได้ทำการชำระสะสางความบริสุทธิ์ให้พุทธศาสนา แต่ไม่นานนัก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชก็ได้ยึดครองอินเดีย และทำให้พระสงฆ์ที่ปฏิบัติถูกต้อง ต้องแตกแยกกระเซ็นสายออกไป ทำให้บางส่วนไปปฏิบัติอีกแบบ เช่น เถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ เป็นแบบที่พยายามทำให้เหมือนแบบดั้งเดิมก่อนอินเดียจะถูกตีแตก แต่ก็ไม่สามารถเหมือนเดิมได้ จึงต้องแจ้งให้ทราบว่า เป็นลัทธิลังกาวงศ์คือ ไม่เหมือนก่อนแล้ว เป็นแบบลังกาวงศ์แล้ว แต่ก็ยังคล้ายของเก่า คือ ทำตามแบบดั้งเดิมหลังแยกกลุ่มมาใหม่แล้ว จึงใช้คำว่า เถรวาทแต่แบบดั้งเดิมนั้น ไม่มีนิกาย จึงไม่มีแม้แต่คำว่า เถรวาทอะไรเลย นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม นิกายสรวาสติวาทซึ่งแตกแยกจากกลุ่มดั้งเดิมไปที่ทิเบตและจีน ทว่า เพราะต้องไปสู่ประเทศใหม่ที่มีกฎหมายใหม่ สังคมวัฒนธรรมใหม่ ก็ไม่สามารถรักษาแนวทางดั้งเดิมไว้ได้ เฉกเช่นพวกเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์เช่นกัน จึงกลายเป็นนิกายใหม่ในที่สุด เหล่านี้ไม่ได้นิพพานทั้งสิ้น เพราะผลจาก อาจาริยวาทเป็นอนันตริยกรรม ทำสงฆ์แตกแยกเกิดนิกายใหม่นั่นเอง แต่แม้เป็นกรรมหนัก แต่ก็มีบุญบารมีมากด้วย ทำให้ท่านเหล่านั้น จุติไปเป็น พระยูไลบนสุขาวดี และลูกศิษย์ทั้งหลายก็ได้จุติที่สุขาวดีกันมากมาย การจะพ้นจากอนันตริยกรรมนี้ได้ต้องไม่มีนิกาย ไม่สร้างนิกายใหม่ อยู่แบบไม่มีนิกายเท่านั้น 
 บุคคลจะได้นิพพาน พึงตั้งจิตตรงต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ที่มีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าไม่มีศาสดาเหล่าอื่น, เจ้าลัทธิ, เจ้านิกายอื่นๆ ใดอีก จึงจะได้นิพพานได้ ถ้าเหล่าเจ้าลัทธิ, เจ้านิกายเหล่านั้นไม่ได้นิพพาน ก็จะลากลูกศิษย์ให้ไม่ได้นิพพานไปด้วย เช่น เจ้านิกายเถรวาทก็ดี เจ้านิกายมหายานก็ดี ปฏิบัติแล้ว ไม่ได้นิพพาน เพราะผูกพันกรรมกันไปดังกล่าว ผู้ที่จะได้นิพพานแท้ จะไม่มีคำว่านิกายหรือลัทธิใดอื่นเลย จะมีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้น พุทธศาสนาที่ยังผลให้นิพพานจะไม่มีนิกาย ผู้ใดตั้งลัทธินิกายใหม่ จะได้เป็นพระยูไล ไม่ได้นิพพาน แต่จุติที่สุขาวดีสวรรค์ และลูกศิษย์ของท่านก็จะได้ผลอย่างเดียวกันด้วยผลบุญกรรมที่ผูกพ่วงกันไปนั่นเอง ดังนั้น ขอย้ำตรงๆ ชัดๆ อีกครั้งว่าพระพุทธศาสนาที่ยังผลนิพพานนั้นไม่มีนิกาย ผู้ที่จะได้นิพพานต้องไม่มีนิกายจะมีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะนิกายทุกนิกายทุกวันนี้ มีผู้ก่อตั้งที่ไม่ได้นิพพานรออยู่ ถ้าเราไปเข้านิกาย เราก็จะมีบุญกรรมพัวพันกับผู้ก่อตั้งนิกายนั้นๆ ไป หากบวชเข้านิกายไหน ก็ให้ปลีกตัวออกมา แล้วปฏิบัติเอง หาครูบาอาจารย์เหมือนที่พระพุทธเจ้าหาครูนั่นแหละ แล้วเร่งปฏิบัติต่อไปด้วยตนเอง อย่าเดินตามอาจารย์เสียทั้งหมด อย่าเชื่อคนอื่นเสียทั้งหมด เร่งปฏิบัติให้ตนค้นพบด้วยตนเอง ด้วยกำลังศรัทธาในพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระพุทธเจ้า กตัญญูแล้วแทนคุณต่อครูที่อาจอยู่ในนิกายใดนิกายหนึ่ง แต่เมื่อแทนคุณแล้ว ให้ปลีกตัวเอาตัวรอดไปนิพพานเสีย อย่าให้ตนเองติดบ่วงใดๆ มีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ยึด ไม่ใช่ถือพระพุทธเจ้า ไม่หลง ไม่คลั่งไคล้ ไม่ศรัทธาแบบออกนอกหน้า ไม่ใช่แบบนั้น แต่เร่งเอาตัวเองปฏิบัติให้รอดตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไป 
ผู้ที่จะนิพพานได้ควรนับถืออาจารย์เท่าใด?
ควรนับถือปานกลางพอดี คือ เข้าใจว่าอาจารย์ก็ช่วยตนเป็นผู้มีอุปการคุณ แต่ไม่ใช่เครื่องยึดมั่นถือมั่น จำต้องปฏิบัติด้วยการพึ่งตนเอง เอาตัวเองรอดพ้นต่อไป อาจารย์แนะนำสอนได้ แต่ทำแทนไม่ได้ ต้องทำด้วยตนเอง พึ่งตนเอง โดยอาศัยความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า เชื่อว่าถ้าตั้งใจ เพียรพยายามแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้าให้มรรคผลแน่นอน ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาช่วย หรือให้เรายึดติดพระพุทธเจ้า แต่ให้เราเชื่อในคำสอนของท่าน ศรัทธาในท่านและคำสอนของท่านว่าเป็นสิ่งที่ ได้มรรคผลจริงไม่ลวง”  
 การเป็นอาจารย์สอนธรรมที่แตกต่างจากไตรปิฎก
หากไม่ต้องการให้เกิด อนันตริยกรรมคือ ทำหมู่สงฆ์หรือพุทธบริษัท หรือชาวพุทธแตกแยก จะต้องไม่สร้างนิกายใหม่ขึ้น สามารถเผยแพร่ธรรมะที่เป็นแบบเฉพาะของตนได้ แต่ต้องแจ้งบอกแก่ผู้รับธรรมว่า ธรรมนี้ไม่ทำให้นิพพานแต่ช่วยเป็นพื้นฐานให้เท่านั้น ใครต้องการนิพพาน ต้องปฏิบัติต่อไปด้วยตัวเอง ธรรมนี้ช่วยได้ไม่ถึง เป็นได้แค่สะพานขั้นหนึ่งเท่านั้น ฉันผู้ถ่ายทอดธรรมเองก็ไม่ได้นิพพาน ไม่ปรารถนานิพพาน แต่ปรารถนาโพธิญาณ ฉันช่วยได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น พระพุทธศาสนาจริง ที่ทำให้นิพพานจริงไม่ได้อยู่ที่ฉัน ฉันเหมือนพราหมณ์ที่สอนคนได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือต้องไปด้วยตนเอง ทำด้วยตนเอง และแนะนำว่าธรรมของพระพุทธเจ้านั่นแหละถึงนิพพานจริง ไม่มีนิกายอื่นใดอีกที่สามารถทำให้ได้ถึงนิพพานได้ นอกจากพระพุทธศาสนาซึ่งไม่มีนิกายนี้
 การเป็นผู้ถ่ายทอดธรรมในนิกายต่างๆ
คือ ผู้ที่สอนสิ่งที่แตกต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้เป็นความจริง แต่ถ้าไม่นำไปสู่นิพพาน ไปสู่อย่างอื่น เช่น สุขาวดี แทนที่จะเป็นนิพพาน เป็นอนันตริยกรรม เพราะได้อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องดึงศรัทธาคน แต่กลับไม่นำคนไปสู่นิพพานนั่นเอง พระพุทธเจ้าสอนนิพพานอย่างเดียว อย่างอื่นมีตรัสเฉพาะคนไป เช่น เรื่องการบำเพ็ญโพธิญาณ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสอนคนมากมาย เพราะหากสอนเขาไปทางอื่นที่ไม่ใช่นิพพานแล้ว เราเองนั่นแหละที่ได้รับกรรม ถูกผูกมัดให้ต้องฉุดช่วยพวกเขาต่อไปจนกว่าจะนิพพาน แต่แม้จะเป็นอนันตริยกรรมก็เป็นบุญมหาศาลด้วย เพราะช่วยคนให้ได้ขึ้นสวรรค์ ดังนั้น ผลบุญและกรรมนี้จึงตัดรอนให้ไม่นิพพาน แต่ได้สุขาวดีแทน ถ้าพูดเฉพาะตัวไป ไม่เกิดนิกายลัทธิ หรือคนหมู่มากเข้ามาศรัทธาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพูดให้คนหมู่มากรู้แล้ว ต้องบอกเขาให้ชัดว่าไม่ได้นิพพานนะ ต้องปฏิบัติด้วยตัวเองจึงได้เอง ต้องแสดงความแตกต่างให้คนเข้าใจชัดเจนว่าตนไม่ได้เอานิพพาน ถ้าปรารถนานิพพานต้องไปศึกษาเอง ปฏิบัติเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนตนสอนได้แต่เบื้องต้นเท่านั้น
 การเป็นผู้สอนธรรมที่ตรงตามพระไตรปิฎก
แม้ว่าสอนธรรมตรงตามไตรปิฎกแล้ว แต่ถ้าคนหมู่มากยึดเราดั่งเป็นเจ้าลัทธิ เจ้านิกาย ก็ให้ผลไม่ต่างกัน ดังนั้น ไม่ควรพยายามให้คนแห่มานับถือเรามากมาย แต่ควรเลือกหาคนที่พร้อมเหมาะที่จะรับธรรม แล้วถ่ายทอดธรรมเท่าที่พอได้ แล้วบอกเขาด้วยว่าช่วยได้เท่านี้ ไม่ถึงนิพพานนะ (ถ้าตนไม่เอานิพพาน) ต่อไปต้องพึ่งตนเอง ไปด้วยตนเอง ตามพระพุทธเจ้าไปนะ อย่างนี้ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราจะเอานิพพานจริงๆ หรือได้จริง ก็สามารถช่วยเขาได้ถึงนิพพาน แต่ต้องไม่ทำตัวเป็น เจ้าคือ เจ้าลัทธิ, เจ้านิกาย ต่างๆ นี่ให้ผลเป็นอนันตริยกรรม คือ ทำให้ชาวพุทธแตกแยก ออกมานับถือเรา เหมือนพระพุทธเจ้า หรือเจ้าองค์ที่สอง ต้องบอกเขาว่าธรรมทั้งหมดนี้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของฉัน ไม่ได้ตรัสรู้เอง เอามาจากพระพุทธเจ้า อย่างนี้ปัดกรรมพ้นตัวได้ อนึ่ง คำว่า พระสังฆราชนั้น ไม่มีในพุทธศาสนาแต่ดั้งเดิม พระพุทธเจ้าไม่เคยตั้งใครให้เหนือหมู่สงฆ์ มีแต่ฝากกิจสำคัญบางอย่างให้พระสาวกบางองค์เท่านั้น ไม่เคยแต่งตั้งพระสังฆราช หรือเจ้าองค์ที่สองในศาสนาพุทธเลย ดังนั้น พระสังฆราชจะมีแต่ในนิกายมหายานเท่านั้น และจะไม่ได้นิพพาน จะได้สุขาวดี เพราะเป็นเจ้านิกาย เป็นเจ้าองค์ที่สองแล้ว ไม่ใช่สาวกอีก จะไม่ได้นิพพานในศาสนายุคนี้ เพราะพุทธดั้งเดิมแท้มีเจ้าองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาที่ได้นิพพานแท้จริงอยู่ที่ไหน?
 สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระสงฆ์มีสองแบบ คือ แบบที่เป็นสาวกแท้ ได้นิพพานแน่ คือ เหล่าพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าหรือบริวารเก่าก่อนมาของท่านโดยตรง กับอีกส่วนหนึ่งคือ ผู้บำเพ็ญบารมีมาอาศัยอยู่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ เช่น พระฉันนะ ที่ไม่ยอมใครเลยในหมู่สงฆ์จนถูกพรหมทัณฑ์ แต่ก็ปฏิบัติจนอรหันต์เองได้, พระสุภัททะ ที่อรหันต์แล้วก็กระทำกรรมใหญ่ทันที คือ ปรามาสพระธรรมวินัย แม้อรหันต์แต่กรรมนั้นตัดรอนนิพพานไป, พระมหากัสสปะ ที่เกือบจะได้นิพพานอยู่แล้ว แต่เพราะบุญใหญ่ที่มาค้ำพระศาสนาไว้ด้วยการทำสังคายนา ทำให้ไม่ได้นิพพาน ต้องไปเกิดเสวยบุญต่ออีก, พระมหากัจจายนะและพระอชิตะที่ชาวพุทธต่างเชื่อว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตตรัย เป็นต้น ท่านเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อนิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม แต่เพื่อโพธิญาณ คือ ตรัสรู้เองในศาสนาของตนเองบ้าง หรือในศาสนาของผู้อื่นบ้าง ดังนั้น จะกล่าวไปแล้วทั้งแนวทางเพื่อนิพพานและเพื่อโพธิญาณนั้นมีมาทั้งสองสายตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่แล้ว
 ดังนั้น การปฏิบัติในยุคต่อๆ มา แม้ว่าพระสงฆ์จะผ่อนปรนศีลบ้างเพราะไม่คิดเอานิพพาน แต่เพื่อโพธิญาณก็ไม่นับว่าผิดพุทธประเพณี ที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติไว้เป็นแบบอย่างแต่กาลก่อน ทว่า หลังจากร้อยปีจากนั้น พระสงฆ์สาวกที่ปรารถนานิพพาน ถูกรบกวนด้วยพระสงฆ์ที่ปรารถนาโพธิญาณคือ ผู้บำเพ็ญบารมีมาบวชรวมอยู่ในหมู่สงฆ์ที่ต้องการนิพพาน และเกิดบุญกรรมพัวพันกันบ้าง หรือบ้างก็เข้าถึงธรรมในแบบที่ไม่ได้นิพพานบ้าง เช่น เข้าใจสภาวะของตนว่าอรหันต์แล้ว แต่ยังเสื่อมลงได้อีก เช่นนี้เป็นต้น ดังนั้น การอยู่ร่วมกันนี้ จะเป็นภัยต่อผู้ปรารถนานิพพาน คือ จะเกิดการเผยแพร่ธรรมคนละแบบคนละสาย ทำให้พระสงฆ์สาวกที่ควรจะได้นิพพานไม่อาจได้นิพพานได้ จึงก่อให้เกิดการขจัดออก โดยการให้ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ ในยุคนั้น พระยสเถระ ได้ทำการสังคายนา และติเตียนเหล่าท่านที่ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อนิพพาน ทำให้พระสงฆ์หมู่ใหญ่แตกแยกกลุ่มออกไปตั้งกลุ่มเอง นับถืออาจารย์ของตนเองแทนพระยสเถระ ซึ่งเขาเหล่านั้น ก็นับได้ว่าไม่ผิดพุทธประเพณีถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อโพธิญาณ ไม่ใช่เพื่อนิพพาน เพราะนั่นก็มีมาแต่เก่าก่อนแล้วดังกล่าวข้างต้น แต่ผลจากการทำสังคายนาไม่สำเร็จครั้งนั้นเอง ทำให้สงฆ์แตกแยกกันเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เหมือนเดิมไม่ก่อตั้งลัทธินิกายใหม่ และส่วนที่แยกออกไปตั้งกลุ่มใหม่ตามอาจารย์ของตน ตั้งอาจารย์ของตนเสมือนตัวแทนพระพุทธองค์ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรปฏิบัติร่วมกัน เพราะจะส่งผลต่อบุญกรรมผูกพันกันได้ ดังนั้น จึงถูกกล่าวหาว่าเป็น เดียรถีย์ในช่วงแรกๆ นั้น อาจไม่ใช่เดียรถีย์ เพราะอาจเกิดเพราะทิฐิต่างกัน ด้วยปรารถนาต่างกัน ปฏิบัติจึงได้มรรคผลต่างกัน การที่หมู่สงฆ์เดิมมองว่าหมู่สงฆ์ที่แตกต่างไปนี้เป็นเดียรถีย์ก็ไม่ผิด เพราะจะช่วยปกป้องตนเองไม่ให้ถูกกรรมพัวพันไปกับผู้บำเพ็ญบารมี แต่ไม่ถูกต้องนักที่จะกล่าวว่าเขาที่แตกต่างไปนี้เลวร้าย
 ต่อมาอีกร้อยปีให้หลัง พระมหาเทพพยายามรวบรวมหมู่สงฆ์กลับเข้ามาด้วยความปรารถนาดี แต่อาจคาดไม่ถึงว่าสงฆ์ที่ปรารถนานิพพานกับสงฆ์ที่ปรารถนาโพธิญาณนั้น ปฏิบัติสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ ทำให้ไม่สำเร็จ สงฆ์ที่เคร่งครัดตามแนวทางเดิม ขอแยกตัวออกไป ซึ่งก็ถูกต้อง ควรเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครผิด ต่างมีแนวทางและความปรารถนาที่แตกต่างกัน จึงควรแยกกันปฏิบัตินั่นเอง ไม่เท่านั้น พระมหาเทพยังได้ทำ มหาสังคีติคือ เรียบเรียงไตรปิฎกขึ้นใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการของสงฆ์หมู่มากนั้น ทำให้กลายเป็นพระธรรมในแบบที่ไม่ปรารถนานิพพานไป ซึ่งก็ไม่ผิดอีก ถ้าไม่ปรารถนานิพพาน ส่วนท่านที่ปรารถนานิพพานก็แยกไปปฏิบัติต่างหากอีก เป็นกลุ่มเล็กๆ และไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก กลุ่มของพระมหาเทพเป็นที่พอใจของคนมากมายเพราะได้ทำให้พระธรรมเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ไม่บรรลุธรรมนั่นเอง ต่อมาเกิดพระสงฆ์สาวกมากมายมี ทิฐิของตนเอง เลียนแบบเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นบ้าง ทำให้ในที่สุด ก็แตกแยกออกเป็นกลุ่มใหม่ๆ ทั้งสิ้น ๑๗ กลุ่ม เรียกกลุ่มเหล่านี้ทั้งหมดว่า อาจาริยวาท
 เมื่อรวมกับพระสงฆ์ที่ปรารถนานิพพานและไม่แตกแยกกลุ่มออกไปเป็นกลุ่มใหม่ อีกหนึ่งกลุ่มแล้ว ทำให้ได้พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ๑๘ กลุ่ม ผ่านมาอีก ๑๐๐ ปี เข้าสู่ยุคของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำทานแก่พระสงฆ์สาวกมาก เป็นเหตุให้พวกพราหมณ์อยากได้ลาภสักการะนั้นบ้าง ก็มาเอาด้วยการบวชเป็นพระ แต่ใจไม่ใช่พระ ท่านจึงได้ทำการสังคายนาพระสงฆ์มากมาย โดยได้เรียนพระธรรมวินัยจากพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เมื่อถามพระธรรมวินัยแล้วพระสงฆ์รูปใดตอบแล้วไม่ใช่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ก็ทำการให้ ผ้าขาวคือ เมื่อเป็นพราหมณ์ก็ควรห่มผ้าขาวนั่นเอง (จับสึก) ดังนั้น จึงเกิดคำว่า เดียรถีย์ขึ้นในยุคนั้น คือ ผู้ที่ไม่ใช่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า มีวิสัยเป็นพราหมณ์คือบวชเพื่อเอาลาภสักการะ แต่มาห่มผ้าเหลือง ดังนั้น เมื่อท่านแยกแยะได้ชัดเจนแล้ว จึงได้จับสึกเสีย แล้วให้ผ้าขาวสำหรับบวชเป็นพราหมณ์ให้ถูกต้องตามแบบที่ควรจะเป็น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติถูกต้องตรงทางจึงได้รับการสนับสนุนให้อยู่ต่อไป ต่อมาก็เจริญรุ่งเรืองมาก พระสงฆ์ที่ปฏิบัติถูกต้องนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นทดแทนพวกเก่าที่สึกออกไป นั่นคือ เรื่องในช่วงกึ่งพุทธกาลแรกที่พระศาสนา ได้รับพุทธานุญาตให้เป็นของพุทธบริษัทสี่ คือผู้ที่ไม่ใช่พุทธบริษัทสี่ ถูกจับสึกจึงไม่ผิด จากนั้นพระพุทธศาสนาก็เสื่อมถอยลงอีก หลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ายึดอินเดียและบังคับให้ชาวอินเดียนับถือศาสนาอื่น พวกพระสงฆ์ก็แตกแยกย้ายกันหนีไป ไปทางทิเบตบ้าง, ศรีลังกาบ้าง แล้วไปตั้งนิกายใหม่ของตน ในศรีลังกามีกลุ่มที่พยายามจะรักษาแนวทางดั่งเดิมไว้ จึงได้ตั้งชื่อว่า เถรวาทแต่นี่ก็ไม่ใช่แบบดั้งเดิมแท้ เป็นแบบที่ พยายามให้เหมือนเดิมเพราะแตกแยกกลุ่มออกไปเป็นนิกายใหม่แล้ว อนึ่งคำว่าแบบที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานนั้นไม่มีชื่อนิกายหรือกลุ่มใหม่เลย เพราะไม่เคยแตกแยกออกไปตั้งกลุ่มหรือนิกายใหม่ แบบที่มีนิกายจึงเป็นแบบใหม่ ไม่ใช่ของดั้งเดิม ส่วนผู้ที่จะได้นิพพานนั้น จะปฏิบัติเถรตรง ไม่มีนิกาย
ตอนนี้เข้าปี พ.ศ. ๒,๕๕๒ เลยกึ่งกลางพุทธกาลแล้ว หมดยุคของพระสาวก พุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าหมดลง แม้จิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีบ้าง ที่ได้กายทิพย์เป็นภิกษุ, ภิกษุณี แต่เพราะไม่ได้มีจิตวิญญาณดวงเดียว บ้างมีพญามารมาแทรกก็มี บ้างมีอย่างอื่นมาแทรกก็ดี ผลจากการถูกแทรกเข้าในกายสังขารนั้น ทำให้สังขารมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ไม่ปลอดภัย ผสมผสานทั้งแบบภิกษุและมาร จึงร่วมกันควบคุมกายสังขารให้ไปทำกิจต่างๆ ผสมกันสองแบบ กรรมที่เกิดขึ้นก็ต้องรับร่วมกันทั้งสองดวงจิต จิตวิญญาณที่เป็นมารและภิกษุอยู่ในกายสังขารเดียวกัน ก็ได้รับผลกรรมเหมือนกัน กลายเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ผู้ปฏิบัติจนได้กายภิกษุแล้วได้นิพพาน นำพาร่างนั้นไปสู่การสร้างวัดวาอารามยิ่งใหญ่เพื่อบุญเพื่อสวรรค์วิมานด้วยความหลงไป แทนที่จะละเว้น อยู่ในศีลให้เคร่งครัด ไม่หลงในผลบุญ, สวรรค์วิมานอีกแล้ว กลับต้องได้รับผลบุญก่อชาติต่อภพใหม่ต่อไป ดังนั้น ผู้ที่จะได้นิพพานในยุคหลังนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นมีแน่ แต่ไม่ได้บนโลกมนุษย์ เพราะกายสังขารมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ดังที่กล่าว มีกรรมมาก และหนีไม่ได้ด้วย จะถูกแทรกด้วยจิตวิญญาณของเทพ, พรหม, อสูร และมาร ตามคำสัญญาที่พระพุทธเจ้าให้ไว้แก่สัตว์ทั้งสี่เหล่านั้น ดังนั้น จึงได้เมื่อละสังขารจากมนุษย์เท่านั้น เช่น เมื่อบรรลุธรรมแล้วจิตดวงนั้น รีบดับขันธปรินิพพานเลย ก็จะได้นิพพานเลย แต่ถ้าอยู่ต่อ ไม่มีฤทธิ์เดชหรือกำลังมากพอต้านทานแน่นอน เพราะพวกสัตว์ทั้งสี่เหล่านี้มีเยอะมาก หนีไม่ได้ ไปไหนก็ไม่พ้น ต้องตายหนีจากกายสังขารมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น สำหรับผู้ที่ได้จิตวิญญาณเป็นภิกษุนั้น เมื่อตายลงจุติเป็นภิกษุบนสวรรค์ชั้นยามาแล้ว ก็จะรอพระพุทธเจ้ามาโปรดอีก ค่อยนิพพานบนสวรรค์ก็ได้ แต่บนโลกนี้ ในกายสังขารของมนุษย์ยามนี้ ยากมากที่จะทำได้ สำหรับผู้ที่สามารถเอาชนะหรือจัดการจิตวิญญาณที่แทรกเข้าในกายสังขารเหล่านี้ได้นั้น มีอยู่ แต่เป็นผู้มีบุญบารมี และไม่ปรารถนานิพพาน ถ้าไปขอความช่วยเหลือ บุญกรรมที่สัมพันธ์กันนั้นก็จะผูกมัดกัน ต้องไปชดใช้กันชาติต่อไป ผู้ขอความช่วยเหลือ ก็จะไม่ได้นิพพานเช่นเดิม ดังนั้นพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติเพื่อนิพพานในแบบดั้งเดิมนั้น มีเฉพาะ บนสวรรค์เท่านั้น แม้แต่นิกายเถรวาทนั้น ก็ยังไม่ใช่แบบดั่งเดิมที่แท้จริง ผู้ปรารถนานิพพานต้องทำตัวเองให้พร้อมเมื่ออยู่บนโลกมนุษย์แล้วไปปฏิบัติต่อบนสวรรค์นั่นเอง ศาสนาพุทธบนสองมีสองส่วน ส่วนที่มีนิกาย ไม่ได้นิพพาน ส่วนที่แยกตัวปลีกออกไปปฏิบัติเป็นปัจเจกชน ก็ไม่นับถือได้ว่าเป็นหมู่คณะ จึงไม่มีความเป็นศาสนาหรือองค์กรใดๆ เลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น