welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

นิกายหรือลัทธิใหม่ที่เกิดมีขึ้นในประเทศไทย

นิกายหรือลัทธิใหม่ที่เกิดมีขึ้นในประเทศไทย 




เกี่ยวกับลัทธิแปลกใหม่หรือกลุ่มความเชื่อถือ นับแต่ปี พ.ศ. 2500 หรือ 25 พุทธศตวรรษเป็นต้นมา ได้มีกลุ่มความเชื่อถือหรือลัทธิแปลกใหม่จากที่เคยเป็นมาอันเป็นกลุ่มความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทยเกิดมีขึ้นหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและในต่างจังหวัด เรียกสถานที่ตั้งว่าเป็น สำนัก” ก็มี เป็น วัตร” ก็มี แต่เนื่องจากกลุ่มความเชื่อบางแห่งเช่นที่จะนำมาแสดงไว้ในที่นี้ ทางกรมการศาสนากล่าวว่าเป็นกลุ่มความเชื่อที่ทางการคณะสงฆ์และทางราชการไม่ประสงค์จะส่งเสริมหรือสนับสนุน ดังข้อความที่ปั๊มขึ้นต่างหากจากการพิมพ์ในหนังสือของกรมการศาสนาชื่อ ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ภาค 1” ว่า กลุ่มความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นกลุ่มที่ทางการคณะสงฆ์และราชการไม่ประสงค์จะส่งเสริมปรือสนับสนุน แต่กลุ่มดังกล่าวนี้นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้บันทึกไว้เป็นประวัติตามภาวการณ์ที่มีอยู่” เมื่อปรากฏหลักฐานดังนี้ จึงขอนำมาแสดงไว้เป็นประวัติ เพื่อทราบเพียงสั้นๆ แห่งเท่านั้น คือ





1.วัดทรงธรรมกัลยาณี ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สร้างเมื่อ พ.ศ. 2501–2502 โดยพระมหาโพธิธรรมาจารย์ภิกษุณีโพธิสัตว์ ท่านพุทศราทยะ แม่สังฆนีวรมัย กบิลสิงห์ พร้อมลูกหลานญาติมิตรฝ่ายโพธิสัตว์ แต่ผู้ปฏิบัติในสำนักนี้เป็น สตรีเพศ” ทั้งนั้น นุ่งห่มผ้า สีเหลืองอ่อน” คล้ายสีสบงจีวรของภิกษุสามเณรในคณะสงฆ์ไทย วัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่สำหรับสตรีผู้จะสร้างบารมีตามพระโพธิสัตว์มรรคเมื่อพุทธภูมิในภายหน้า


                                   

                                               

2.
กลุ่มอโศก กลุ่มอโศก ถึงปี พ.ศ. 2525 มีปรากฏอยู่ แห่ง คือ


  1. ปฐมอโศก ตั้งอยู่ที่ซอยพระนาง ตำบลพญาพาน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
  2. ศีรษะอโศก ตั้งอยู่ที่ตำบลกระแซงใหญ่ อำเภอกันทราลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ เมื่อ พ.ศ. 2519
  3. สาลีอโศก ตั้งอยู่ที่ตำบลโคกเดื่อ อำเภอไพสาลี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. 2519
  4. สันติอโศก ตั้งอยู่ที่ซอยเทียมพร ถนนสุขาภิบาล แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2519
กลุ่มอโศกนี้ไม่ใช้คำว่า วัด” แต่ใช้คำว่า สำนัก” ก็มีปรากฏ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็น สำนักสงฆ์” หรอเป็น วัด” ส่วนการประพฤติหรือประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ประพฤติจะคิดว่าถูกต้องตามพุทธบัญญัติก็ตาม แต่ก็มีบางประการไม่เป็นไปตามราชอาณาจักร หรือหากจะมองว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์เช่นภิกษุสามเณรในคณะสงฆ์ไทยทั่วไป ก็มีบางอย่างที่ผิดแผกแตกต่างไป
กลุ่มอโศก มีทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ปฏิบัติ ส่วนระเบียบการเข้าสู่ อโศก” ดูเป็นขั้นตอนที่แปลกและเคร่งครัด เช่น เพศชาย ผู้เริ่มปฏิบัติใหม่จะเรียกว่า ปะชาย” (คือผู้ปฏิบัติชาย) ต้องถือศีล ให้บริสุทธิ์อย่างน้อย เดือน โดยต้องนุ่งกางเกงสีกากี สวมเสื้อขาว แล้วจึงเลื่อนขึ้นเป็น นาค” ถือศีล ให้บริสุทธิ์อีกอย่างน้อย เดือน นุ่งขาวห่มขาว โกนศีรษะ สวมเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาลแทนสีขาว แล้วจึงเลื่อนเป็นสามเณร ถือศีล 10 ให้บริสุทธิ์อีกอย่างน้อย เดือน นุ่งห่มสีน้ำฝาด การเลื่อนฐานะแต่ละขั้นต้องผ่านมติเอกฉันท์ของหมู่สงฆ์ ส่วนเพศหญิงเข้าเป็นผู้ปฏิบัติใหม่เรียกว่า ปะหญิง” ต้องถือศีล ให้บริสุทธิ์อย่างน้อย เดือน แล้วเลื่อนฐานะขึ้นเป็น กรัก” ถือศีล อย่างน้อย ปี เดือน จากนั้นจึงเลื่อนเป็น สิกขมาต” ถือศีล 10 และกฎระเบียบอื่นๆอีก การเลื่อนฐานะแต่ละขั้น ต้องผ่านมติเอกฉันท์จากคณะสงฆ์และคณะสิกขมาตทั้งสองฝ่าย นอกจากนั้น ชาวอโศกทุกสถานที่ จะต้องละเว้นหรือเลิกสิ่งอันควรละต่างๆ เหล่านี้ก่อน เช่น การบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นต้น ส่วนการปฏิบัติก็กล่าวว่ามุ่งปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ถือธุดงค์วัตร มีสติกำกับทุกอิริยาบท เพื่อให้เกิดการรู้แจ้งแทงตลอด
สันติอโศก เป็นสำนักบำเพ็ญพรตของนักบวชอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการตีควารมหมายและความเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีแตกต่างกันออกไปตามความคิดเห็นของผู้ศึกษาค้นคว้าแต่ละบุคคล แล้วนำออกเผยแผ่ตามความสามารถ เมื่อมีผู้นับถือมากเข้า ผู้ประกาศศาสนาก็กลายเป็นคณาจารย์เจ้าลัทธิไป จากหลักอันนี้เองที่ทำให้เกิดลัทธินิกายต่างๆมากขึ้น จนเป็นปัญหาทางศาสนา และเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ของผู้คน
ในประเทศไทยที่ว่ามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็ใช่จะเป็นเอกภาพ ยังแยกเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ และในแต่ละนิกายก็ยังมีคณาจารย์ต่างๆอีก จนบางท่านกลายเป็นคณาจารย์เจ้าลัทธินิกายไปโดยปริยาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ ดูมักจะสำคัญตนผิดแล้วเหลิงไป จนกลายเป็นปัญหาแตกแยกเสียเอกภาพความมั่นคงแก่พระศาสนาเพิ่มขึ้นอีก ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพพจน์น่าสลดใจทำนองนี้มีอยู่เป็นภัยภายในแก่พระพุทธศาสนาอีกแบบหนึ่ง ที่กล่าวมา เพราะเป็นปัญหาเกิดขึ้นในยุคนี้สมัยนี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น