ชีวิตเสื่อมโทรมเพราะใจเสื่อมทราม
บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตทุกระดับ
ตั้งแต่ปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า ถ้าเรามีบุญน้อย
ความสุขความสำเร็จก็จะมีน้อย ถ้าเรามีบุญปานกลาง ความสุขความสำเร็จก็จะมีปานกลาง
และถ้าหากว่าเรามีบุญมาก ความสุขความสำเร็จก็จะมีมากตามไปด้วย หากเราอยากได้บุญที่เป็นมหัคตกุศล
ต้องนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นประจำสม่ำเสมอ
โดยไม่มีข้อแม้ว่าเราต้องทำงาน หรืออ้างว่ายังไม่พร้อม จึงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม
นี่เป็นข้ออ้างที่ทำให้เราเป็นผู้มีบุญน้อย เมื่อปรารถนาความสุขความสำเร็จในชีวิต
และอยากมีบุญมาก ต้องหมั่นเอาใจมาหยุดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นต้นแหล่งแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในอนภิรติชาดก
ความว่า
“เมื่อน้ำขุ่นมัว ไม่ใส
บุคคลย่อมมองไม่เห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา ฉันใด เมื่อจิตขุ่นมัว
บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่น ฉันนั้น
เมื่อน้ำไม่ขุ่นมัว ใสสะอาดบริสุทธิ์
บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทรายและฝูงปลา ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว
บุคคลก็ย่อมเห็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่น ฉันนั้น”
มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ
ร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
รูปกายเป็นฐานรองรับใจ ระหว่างร่างกายกับจิตใจ
จิตใจถือว่าสำคัญที่สุดเพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ซึ่งคำพูดและการกระทำต่างๆ
ก็เป็นกระบวนการต่อเนื่องมาจากความคิดซึ่งเป็นหน้าที่ของใจนั่นเอง จะพูด
จะทำในสิ่งที่เป็นกุศล ใจจะต้องเป็นกุศลก่อน
คนจะพูดจะทำในสิ่งที่เป็นอกุศลก็เริ่มที่ใจเป็นบาปอกุศลก่อนเช่นกัน เพราะ “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ”
ในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
คนส่วนใหญ่มุ่งพัฒนาแต่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอก
ความเป็นคนเก่ง แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจให้เป็นคนดี
แม้เทคโนโลยีจะก้าวไปไกลเพียงใด
ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของสังคมที่เกิดจากจิตใจเสื่อมคุณภาพ
กลับนับวันปัญหายิ่งทวีขึ้นไปเรื่อยๆ
เราควรแก้ไขปัญหาสังคมให้ถูกจุด
คือแก้ที่จิตใจ โดยการฟื้นฟูจิตใจให้ผ่องใส เริ่มต้นด้วยการฝึกใจให้เป็นสมาธิ
คิดพูดและทำในสิ่งที่ดี และงดทำในสิ่งที่ไม่ดี รวมทั้งบาปอกุศลต่างๆ
เพื่อไม่ให้จิตใจเศร้าหมอง เพราะความใสหรือหมองของใจ
มีความสำคัญต่อชีวิตเราทั้งในภพนี้และภพหน้า โดยเฉพาะเมื่อจะหลับตาลาโลก
ความใสหรือหมองของใจเท่านั้น จะเป็นตัวกำหนดภพภูมิที่จะไปเกิด ถ้าใจผ่องใส
สุคติก็เป็นที่ไป แต่ถ้าใจหมอง ทุคติก็เป็นที่ไป
พระพุทธศาสนาได้สอนให้มนุษย์รู้ถึงวิธีการทำใจให้ผ่องใส
จนสามารถกำจัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้
นั่นก็คือการทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ยิ่งใจหยุดได้มากเท่าใด
ใจก็จะใสมากขึ้นเท่านั้น เมื่อใจใสถึงขั้นได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
ก็จะเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุดว่า ชีวิตหลังความตายของเราจะมีสุคติเป็นที่ไป
เคยมีเรื่องราวของบุคคลที่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว
จนชีวิตที่เคยรุ่งเรืองกลับร่วงโรย ต่อเมื่อได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยอดกัลยาณมิตร
ชีวิตจึงเปลี่ยนไป เรื่องมีอยู่ว่า
*มก. อนภิรติชาดก เล่ม
๕๗/๑๙๖
*เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล
ในกรุงสาวัตถีได้มีพราหมณ์กุมารคนหนึ่ง เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบไตรเพทตั้งแต่ยังเยาว์วัย ได้ทำหน้าที่สอนมนต์แก่พระราชกุมารในราชตระกูล
เมื่อพราหมณ์กุมารเจริญวัยขึ้น ได้แต่งงานมีคู่ครอง
เนื่องจากการมีชีวิตคู่ทำให้เขาต้องวุ่นวายหลายอย่าง ยังปรับตัวไม่ได้ วันๆ
มัวเมาอยู่กับเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ทาสชายหญิง เรือกสวนไร่นา โคกระบือ
บุตรและภรรยา จึงเป็นเหตุให้เขามีจิตใจที่ขุ่นมัว ไม่มีโอกาสได้ทบทวนมนต์
นานวันเข้าจึงสอบทานมนต์ให้ลูกศิษย์ไม่ได้ มนต์ที่เคยทรงจำไม่เคยตกหล่น ก็ค่อยๆ
เลือนไปภายในเวลาไม่นาน
ต่อมาวันหนึ่ง
เขาเกิดรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือของหอมและดอกไม้หลายอย่างไปวัดพระเชตวัน
พระบรมศาสดาทรงทำการปฏิสันถาร ได้ตรัสถามว่า “ดูก่อนมาณพ
เธอยังสอนมนต์ให้แก่พระกุมารของเหล่ากษัตริย์และพราหมณ์กุมารอยู่หรือ
และมนต์ที่เธอเคยทรงจำไว้ได้ เธอยังจำได้คล่องแคล่วเหมือนเดิมอยู่หรือ” พราหมณ์หนุ่มได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระบรมศาสดาผู้เป็นนาถะของโลก
ตั้งแต่ข้าพระองค์ครองเรือนมีบุตรภรรยา จิตใจของข้าพระองค์ก็ว้าวุ่น
ขุ่นมัวไปด้วยเรื่องต่างๆ ด้วยเหตุนี้ ทำให้มนต์ที่เคยทรงจำไว้ได้ ค่อยๆ
เลอะเลือนหายไป กลับจำไม่ได้เหมือนแต่ก่อน”
พระบรมศาสดาตรัสบอกเขาว่า “มาณพ
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่มนต์ของเธอเลอะเลือนไป แม้ในกาลก่อน
มนต์ที่เธอเคยท่องได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาที่จิตไม่ขุ่นมัว
เมื่อถึงเวลาที่จิตใจของเธอขุ่นมัวด้วยราคะ โทสะ โมหะ
มนต์ของเธอก็ได้เลือนไปเช่นเดียวกัน” พราหมณ์หนุ่มได้ฟังเช่นนั้นจึงทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องราวในอดีตของตนให้ฟัง
ด้วยพระมหากรุณาพระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า
ในอดีตกาล
เมื่อครั้งสมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล
เมื่อเจริญวัยได้ไปเรียนมนต์และศิลปวิทยาในเมืองตักกศิลา
และได้ดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทำหน้าที่สอนมนต์ให้แก่ขัตติยกุมาร และพราหมณ์กุมารเป็นอันมากในกรุงพาราณสี
พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งได้เป็นลูกศิษย์และเล่าเรียนมนต์ในสำนักของพระโพธิสัตว์
เขาได้ศึกษาไตรเพทจนชำนาญ ท่องจำมนต์ทุกบทได้ไม่ลืมเลือน
เขาจึงได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนมนต์ ต่อมาพราหมณ์หนุ่มได้แต่งงานมีครอบครัว
ต้องดูแลครอบครัว ทั้งลูกและภรรยาดูเหมือนว่าจะมีปัญหามาให้เขาแก้อยู่ทุกวัน
จนไม่เวลาทบทวนมนต์ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทบทวนมนต์
ก็ไม่มีเวลาเพราะห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้ มนต์ที่เคยเล่าเรียนทรงจำไว้ได้ ค่อยๆ
เลอะเลือนหายไป จากที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็หลงๆ ลืมๆ เมื่อถูกพระโพธิสัตว์ถามว่า
ยังทรงจำมนต์ได้คล่องแคล่วเหมือนเดิมหรือไม่ ก็ตอบตามสัตย์จริงว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่กระผมครองเรือน
จิตของกระผมก็มีแต่ความขุ่นมัว
มนต์ที่ร่ำเรียนมาได้อย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญก็เลอะเลือนหายไป”
พระโพธิสัตว์ได้ฟังเช่นนั้น
จึงสอนพราหมณ์หนุ่มว่า “เมื่อน้ำขุ่นมัว ไม่ใส
บุคคลย่อมไม่แลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา ฉันใด เมื่อจิตขุ่นมัว
บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ของตนและของผู้อื่น ฉันนั้น เมื่อน้ำไม่ขุ่นมัว
ใสสะอาดบริสุทธิ์ บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทรายและฝูงปลา ฉันใด
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว บุคคลย่อมเห็นประโยชน์ของตนของผู้อื่น ฉันนั้น”
เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง
ทรงประกาศอริยสัจ และประชุมชาดกว่า พราหมณ์หนุ่มในกาลนั้นได้มาเป็นมาณพในกาลนี้
เมื่อจบพระธรรมเทศนา พราหมณ์ก็พิจารณา
เห็นโทษของกามซึ่งเป็นเหตุให้ต้องอยู่ครองเรือน พิจารณาอริยสัจสี่
จนมีดวงตาเห็นธรรมได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคล
จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า
ความเศร้าหมอง หรือความผ่องใสของใจ มีความสำคัญมาก การประกอบธุรกิจการงาน
การศึกษาเล่าเรียน ต้องอาศัยใจที่ผ่องใสเป็นพื้นฐาน เพราะเมื่อใจใสแล้ว
เวลาจะศึกษาเล่าเรียน หรือประกอบสัมมาอาชีวะ ก็จะประกอบด้วยสติและปัญญา
ผลลัพธ์ออกมา จึงได้ผลเกินควรเกินคาด โดยเฉพาะชีวิตของผู้ครองเรือนนั้น
มักเป็นผู้มีกิจมาก มีธุระมาก และมีปัญหาที่ต้องตามแก้อย่างไม่รู้จบสิ้น
เพราะคนมีกิเลสไปอยู่กับคนมีกิเลส คนมีปัญหาไปอยู่กับคนมีปัญหา
ลูกที่เกิดมาก็มาเพิ่มปัญหา สิ่งที่ตามมาก็คือทำให้เกิดความกลุ้ม ความเครียด
จิตใจก็เศร้าหมอง ฉะนั้น เมื่ออยู่ครองเรือนต้องรู้จักหมั่นทำใจให้ผ่องใส
ด้วยการสั่งสมบุญ ทั้งทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ให้เศรษฐกิจและจิตใจควบคู่กันไป
แล้วชีวิตการครองเรือนจะประสบกับความสุขและความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
ยิ่งแสวงหา ยิ่งพบทุกข์
มนุษย์หลายพันล้านคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้
จะมีสักกี่คนที่ได้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต
หรืองานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ เมื่อไม่รู้ ชีวิตจึงตกอยู่ในอันตราย
เพราะยังถูกครอบงำด้วยอกุศลธรรม ทำให้พลั้งพลาดไปสร้างบาปกรรม ผลก็คือต้องไปรับความทุกข์ในอบาย
จากเดิมที่ได้กายเป็นมนุษย์ก็กลับกลาย เป็นกายของสัตว์นรก เปรต
อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉาน
แต่เรานับว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่ได้มารู้เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตว่า
เกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญและสร้างบารมี ดังนั้น เราควรเร่งทำตามเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ
อย่าได้ประมาท ปล่อยวันเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะชีวิตเป็นของน้อย
อีกไม่นาน ก็ต้องลาจากโลกนี้ไปแล้ว เราจึงควรบำเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร ผู้ให้แสงสว่างแก่โลก
ให้ชาวโลกได้รู้ว่างานที่แท้จริงก็คือการหยุดใจนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
จนเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน สามารถขจัดกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย
ธรรมบท ความว่า
“สนิมเกิดขึ้นจากเหล็ก
เมื่อเกิดขึ้นจากเหล็กแล้ว ย่อมกัดกินเหล็กนั้น ฉันใด กรรมทั้งหลายของตน
ย่อมนำบุคคลผู้มักประพฤติล่วงปัญญาชื่อว่าโธนาแล้วไปสู่ทุคติ ฉันนั้น”
ปกติจิตของมนุษย์ตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น
มีลักษณะเป็นปภัสสร คือ ใสสว่าง แต่ถูกกิเลสต่างๆ
ที่จรเข้ามาทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น
การมีปัญญารู้ว่ากิเลสเกิดขึ้นกับใจเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร
และจะชำระกิเลสนั้นออกไปจากใจได้อย่างไร ปัญญาชนิดนี้ชื่อว่า โธนา
ซึ่งปัญญาที่ชื่อว่าโธนานี้
มีความหมายถึงปัญญาการพิจารณาปัจจัย ๔ ที่ได้มาในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่หลงประมาทเพลิดเพลินมัวเมา หรือนำมาประดับตกแต่งอวดประชันกัน
สำหรับพระภิกษุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ตระหนักถึงการใช้ปัจจัยสี่
เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่จะใช้เป็นบทฝึกนิสัย
หรือขัดเกลากิเลสได้ใกล้ตัวที่สุด และต้องฝึกทุกวัน คือก่อนจะใช้ ขณะใช้
และหลังใช้ ไม่ว่าจะเป็นจีวร บิณฑบาต เสนาสนะที่อยู่อาศัย คิลานเภสัชยารักษาโรค
ทรงสอนให้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการใช้สิ่งเหล่านั้น
ทรงสอนให้ใช้อย่างพอประมาณเท่าที่จำเป็น เพื่อใจจะได้ไม่โลภ
จะได้เป็นใจที่เบาละเอียดอ่อนนุ่มนวล เป็นอุปการะแก่การทำพระนิพพานให้แจ้ง
สมดังความตั้งใจในวันบวชว่า “สพฺพทุกฺขนิสฺสรณนิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย”
คือจะขอบวชเพื่อสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์และทำพระนิพพานให้แจ้ง
สำหรับฆราวาส
หากไม่มีสติและไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการใช้ปัจจัยสี่
ก็ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่รู้จักประมาณ และอาจไปแสวงหาทรัพย์ในทางที่ผิด
คือผิดทั้งกฎหมาย และศีลธรรม
ทำให้ต้องได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ถ้ารู้จักพอก็จะมีชีวิตอยู่แบบพอดี คือ แสวงหาทรัพย์มาเพื่อสร้างบารมี
เพื่อหล่อเลี้ยงสังขารให้อยู่รอดต่อไปได้
ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นไปเพื่อการสร้างความดี สร้างบุญบารมีเท่านั้น
อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า เป็นนายของทรัพย์ เรื่องที่นำมายกตัวอย่างก็มีอยู่ว่า
*มก. สตธรรมชาดก เล่ม
๕๗/๑๖๑
*สมัยหนึ่งเมื่อครั้งพุทธกาล
มีผู้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มาบวชเป็นพระภิกษุเป็นจำนวนมาก
ครั้งนั้นได้มีภิกษุหลายรูปเลี้ยงชีพด้วยอเนสนา คือ การแสวงหาที่ไม่สมควร เช่น
ทำตัวเป็นหมอรักษาโรค เป็นทูตคอยส่งข่าว ยอมตนเป็นคนรับใช้ ให้วัตถุสิ่งของต่างๆ
แก่ทายก เพื่อให้เขาให้ตอบแทนแก่ตน เป็นต้น
พระบรมศาสดาทรงทราบถึงการเลี้ยงชีพของภิกษุเหล่านั้น
จึงทรงดำริว่า “บัดนี้
ภิกษุเป็นอันมากเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาที่ไม่ควร
เมื่อภิกษุเลี้ยงชีพเช่นนี้จักไม่พ้นจากความเป็นยักษ์ เป็นเปรต
จักเกิดในกำเนิดของโคเทียมแอก หรือเกิดในนรกเป็นแน่ สมควรที่เราจะกล่าวพระธรรมเทศนาสักข้อหนึ่ง
เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อความสุขของภิกษุเหล่านั้น”
พระบรมศาสดาจึงทรงรับสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกัน
แล้วทรงตรัสสอนว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่ควรแสวงหาปัจจัยสี่ ด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร ๒๑ ประการ
เพราะภัตตาหารที่เกิดขึ้นจากการแสวงหาอันไม่สมควร เป็นเช่นกับก้อนทองแดงร้อน
หรือเปรียบเหมือนยาพิษร้ายแรง เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และสาวกของพระพุทธเจ้าต่างติเตียนคัดค้าน
เมื่อภิกษุบริโภคภัตตาหารที่ได้มาด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร
จะไม่มีความร่าเริงโสมนัสเลย เพราะว่าบิณฑบาตที่แสวงหามาเช่นนี้
เป็นเช่นกับอาหารเดนของคนจัณฑาล การบริโภคบิณฑบาตนั้น
ย่อมเป็นเหมือนการบริโภคอาหารที่เป็นเดนของคนจัณฑาล ที่มีชื่อว่าสตธรรมมาณพ”
แล้วจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ภิกษุเหล่านั้นฟังว่า
ในอดีตกาล
เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดคนจัณฑาล
เมื่อเจริญวัยก็ตระเตรียมเสบียงเพื่อเดินทางไปทำภารกิจนอกบ้าน ครั้งนั้น
ในกรุงพาราณสีมีมาณพหนุ่มคนหนึ่ง เกิดในตระกูลพราหมณ์อาทิจจโคตร มีชื่อว่า สตธรรม
เขาได้เดินทางไปทำภารกิจอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ได้ตระเตรียมเสบียงไว้ในการเดินทาง
เมื่อทั้งสองมาพบกันที่ทางใหญ่ มาณพจึงถามพระโพธิสัตว์ ถึงชาติกำเนิด
พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า เราเป็นคนจัณฑาล มาณพหนุ่มบอกว่า “เราเป็นพราหมณ์อาทิจจโคตร” หลังจากนั้นทั้งสองจึงได้เดินทางไปด้วยกัน
เมื่อได้เวลาอาหารเช้า
พระโพธิสัตว์จึงล้างมือ แกะห่อข้าวแล้วเชื้อเชิญมาณพหนุ่มมากินข้าวด้วยกัน
แต่มาณพกลับปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่ถากถางถึงชาติกำเนิดของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ก็ไม่ว่าอะไร จัดการแบ่งอาหารออกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งห่อด้วยใบไม้และเก็บมัดไว้ จากนั้นก็ลงมือรับประทานส่วนที่เหลือ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ จึงออกเดินทางต่อ
พอถึงตอนเย็นได้พากันลงอาบน้ำในสระแห่งหนึ่ง เมื่ออาบน้ำเสร็จ
พระโพธสัตว์นำอาหารที่ห่อเก็บไว้เมื่อตอนกลางวันมารับประทานต่อ
โดยมิได้เชื้อเชิญมาณพหนุ่มแต่อย่างใด
ฝ่ายมาณพหนุ่มหลังจากเดินทางมาทั้งวันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเกิดความหิวโหย
ได้แต่มองดูด้วยความหวังว่าพระโพธิสัตว์จะเอ่ยปากชวน เมื่อไม่ได้รับคำชักชวน
จึงคิดว่า “เจ้าคนจัณฑาลนี้
กินอยู่คนเดียว ไม่ชวนเรากินบ้างเลย เราจะแย่งอาหาร ทิ้งส่วนข้างบน
ที่เหลือเราจะกินประทังชีวิต”
คิดแล้ว
ก็แย่งอาหารจากพระโพธิสัตว์มากินจนหมด พออิ่มแล้วเกิดความร้อนใจว่า “บัดนี้เราได้กินอาหารอันเป็นเดน
เป็นอาหารเหลือจากคนจัณฑาล เราทำกรรมอันไม่สมควรแก่ชาติตระกูลของเราเสียแล้ว”
ขณะนั้นนั่นเองก็กระอักเลือด พุ่งออกจากปากปนกับอาหาร
เขาได้ครํ่าครวญด้วยความเศร้าโศกเสียใจว่า “เราทำกรรมอันไม่สมควร
เพราะเห็นแก่อาหารเพียงเล็กน้อย อันเป็นเดนของคนจัณฑาล
อาหารนี้เขาก็ไม่ได้ให้กับเรา เราไปแย่งเขามา เราเป็นชาติพราหมณ์อันบริสุทธิ์
เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมอีก” แล้วจึงเข้าไปตายอยู่ในป่าอย่างอนาถ
เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงเรื่องในอดีตนี้แล้วทรงตรัสสอนว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สตธรรมมาณพบริโภคอาหารอันเป็นเดนของคนจัณฑาล
ซึ่งเป็นการบริโภคที่ไม่สมควรแก่ชาติตระกูลของตน จึงเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ
ฉันใด ผู้ใดบวชแล้วในศาสนานี้ก็ฉันนั้น หากสำเร็จชีวิตด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร
ก็จะเกิดความร้อนใจในภายหลัง เพราะเขามีชีวิตอยู่อย่างน่าตำหนิ แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต
ก็ทรงติเตียน ภิกษุใดละทิ้งธรรม หาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรม
ภิกษุนั้นย่อมไม่ได้รับความสุขจากลาภที่ตนได้”
จะเห็นได้ว่า
การบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ต้องให้เหมาะสม ต้องได้มาด้วยความชอบธรรม
ในการใช้ทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าใช้อย่างประมาณและถูกวัตถุประสงค์
ก็จะไม่เดือดร้อนใจในภายหลังของทุกอย่างในโลกนี้เป็นเพียงเครื่องอาศัยสร้างบารมีเท่านั้น
ปัจจัย ๔ มีไว้เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปได้ และเพื่อสร้างความดี ดังนั้น
เมื่อเราได้ทรัพย์ที่แสวงหามาโดยชอบแล้ว ต้องใช้ทรัพย์ให้เป็น ด้วยการบำเพ็ญทาน
รักษาศีล และเจริญภาวนากันให้เต็มที่
เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกายโดยเร็วพลันกันทุกคน
สิ่งที่ไร้ผลและไม่ไร้ผล
บนเส้นทางชีวิต
ทุกชีวิตต้องพบกับอุปสรรคและปัญหาหลากหลายรูปแบบ แต่ปัญหาในโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่
ล้วนเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคตามสมัยเท่านั้น
สิ่งที่น่าพิจารณา คือ วิธีการมองปัญหา บางคนเห็นปัญหาแล้วกลุ้มใจ ทุกข์ใจ
บางคนเห็นแล้ววางเฉย และยังสามารถปรับปรุงสถานการณ์นั้นให้กลับดีขึ้นมาได้
ผู้ที่มีความคิดดีจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆมากมายขึ้นมาบนโลกใบนี้
ดังนั้นในยามที่เราประสบกับปัญหา อย่าตกใจ ให้หลับตา พักใจ
ทำใจให้หยุดนิ่งไว้ในกลางกาย เมื่อใจสงบเราจะพบกับทางออกและช่องทางแห่งความสำเร็จ
มีพระพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ใน
ปฐมปัณณาสก์ ว่า
“ภูมิของอสัตบุรุษเป็นไฉน
อสัตบุรุษย่อมเป็นคนอกตัญญู อกตเวที ก็ความเป็นคนอกตัญญู อกตเวทีนี้
อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมสรรเสริญ แต่สัตบุรุษไม่สรรเสริญ”
คนที่มีคุณธรรมพื้นฐาน คือ
ความกตัญญูกตเวที จะมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ประสบแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้า
ส่วนคนที่ไม่รู้คุณคน แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ตอบแทนคุณท่าน ลบหลู่คุณท่าน
ถือว่าขาดความกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลนั้นเป็นอสัตบุรุษ
ที่ไม่ควรคบหาสมาคมด้วย เพราะการสมาคมด้วยย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เลือกคบกับสัตบุรุษ
เพราะจะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป
การคบกับสัตบุรุษจะไม่มีวันไร้ค่า เหมือนพระอานนท์ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำให้ท่านได้ฟังธรรมและทรงจำธรรมะได้มากเป็นพิเศษกว่าภิกษุรูปอื่น
*มก. ปลาสชาดก เล่ม
๕๘/๔๑๙
*ในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โปรดประทานพระธรรมเทศนา ในเวลาที่ทรงบรรทมอยู่บนพระแท่นเป็นที่ปรินิพพาน
ทรงปรารภความเศร้าโศกของพระอานนท์ เพราะได้ทราบว่า
พระบรมศาสดาจะเสด็จดับขันธปรินิพพานในที่สุดแห่งราตรีนั้น
พระอานนท์ท่านคำนึงถึงตัวเองว่า
ตัวเราเป็นเสขบุคคลที่ยังต้องศึกษาอยู่
ไม่ได้สำเร็จกรณียกิจอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์
ในขณะที่เรายังไม่ได้บรรลุพระอรหัตผล พระบรมศาสดาก็จะมาดับขันธปรินิพพาน
การที่สู้อุตส่าห์ดูแลอุปัฏฐากพระพุทธองค์มาถึง ๒๕ พรรษา จะเป็นการไร้ค่าหรือไม่
เมื่อท่านคำนึงเช่นนี้
ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ที่ตนเองยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์
อีกทั้งยมีความอาลัยรัก และเคารพเทิดทูนต่อพระพุทธองค์อย่างสุดซึ้ง
ไม่อยากให้พระพุทธองค์จากไป ดังนั้นท่านไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ได้
จึงร้องไห้ และปลีกตัวออกจากหมู่คณะมาอยู่ตามลำพัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงทราบถึงความปริวิตกของพระอานนท์
จึงทรงรับสั่งให้พระภิกษุรูปหนึ่งไปตามมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสปลอบใจว่า “ดูก่อนอานนท์ เธอได้บำรุงอุปัฏฐากเรา
ได้ชื่อว่าบำเพ็ญมหากุศลเป็นอันมาก ผลบุญนั้นไม่ไร้ผล
ขอเธอจงมีวิริยะอุตสาหะในการบำเพ็ญเพียรต่อไปเถิด ในไม่ช้า เธอจะบรรลุพระอรหัตผล
และกระทำให้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ การที่เธอสู้ทนปฏิบัติเรามาตลอดระยะเวลา ๒๕
พรรษา จักไม่ไร้ค่าอย่างแน่นอน แม้ในกาลก่อน
เธอได้ปฏิบัติบำรุงเราผู้ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังไม่ไร้ค่า
ไฉนในบัดนี้การกระทำของเธอจักไร้ค่าเล่า”
พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า ในอดีตกาล
ชาวเมืองพาราณสีนิยมการนับถือบูชาเทวดา
ในครั้งนั้นพระอานนท์ได้เกิดเป็นพราหมณ์ผู้ยากไร้ มีความศรัทธา
ความเพียรในการแผ้วถางใต้โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เพราะท่านเชื่อว่าต้นไม้นั้นมีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่อาศัยอยู่
ท่านจึงหมั่นไปถอนหญ้า ทำพื้นที่บริเวณนั้นให้สะอาดราบเรียบ
โปรยทรายที่บริเวณใต้ต้นไม้นั้น บูชาด้วยของหอม ดอกไม้ธูปเทียน และจุดประทีปโคมไฟ
ก่อนกลับบ้านจะถามที่ต้นไม้นั้นว่า “ท่านนอนหลับเป็นสุขสบายดีหรือ”
แล้วก็เดินเวียนประทักษิณ ๓ รอบ
พราหมณ์ได้ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน
ในครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นรุกขเทวาผู้มีศักดิ์ใหญ่ อาศัยอยู่ในวิมานที่ต้นไม้นั้น
เห็นการกระทำของพราหมณ์อยู่เป็นประจำ จึงคิดว่า “พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ปฏิบัติต่อเราเป็นอย่างดี เราควรตอบแทนเขาอย่างเหมาะสม
แต่เราควรถามถึงความประสงค์ของเขาดูก่อนว่า เขาต้องการอะไร”
วันต่อมา
พราหมณ์ได้ไปปฏิบัติที่บริเวณใต้ต้นไม้นั้นเหมือนเดิม
รุกขเทวาจึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์เฒ่า ทำทีเป็นเดินผ่านมาแถวนั้น
แล้วมาหยุดดูการปฏิบัติบำรุงของพราหมณ์หนุ่ม และได้ไต่ถามว่า “ท่านพราหมณ์ รู้อยู่ว่าต้นไม้นี้ไม่มีวิญญาณครอง
เหตุไฉนท่านจึงมาบำรุงดูแลรักษาต้นไม้นี้อย่างดี
แล้วยังถามถึงสารทุกข์สุขดิบของต้นไม้อีกด้วย ท่านทำอย่างนี้ไปทำไม”
พราหมณ์หนุ่มตอบว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าต้นไม้นี้ไม่มีวิญญาณครอง แต่ต้นไม้ต้นนี้มีสง่าราศีกว่าต้นอื่นๆ
เห็นทีจะเป็นพิมานสถานที่สิงสถิตของเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนมัสการต้นไม้นี้ เพราะปรารถนาจะได้ความมีสิริมงคล” พราหมณ์เฒ่าได้ฟังเช่นนั้นรู้สึกพอใจ
จึงกลับร่างเป็นรุกขเทวายืนอยู่ในอากาศ แล้วกล่าวว่า “เรานี่แหละ
คือ เทพผู้สิงสถิตอยู่ที่นี่ เราเป็นผู้รู้อุปการคุณของผู้อื่น
เราจะไม่ให้การกระทำของท่านที่มีต่อเราต้องสูญเปล่าไปหรอก”
เทวดาจึงนำเอาทรัพย์ที่ฝังอยู่ใกล้บริเวณนั้นมาด้วยเทวฤทธิ์
มอบให้กับพราหมณ์หนุ่ม และกล่าวสอนว่า “จงใช้ทรัพย์นี้ให้เกิดประโยชน์ด้วยการบำรุงบิดามารดา
เลี้ยงดูครอบครัว และนำไปบริจาคให้ทาน เพื่อเป็นบุญกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้า
และให้รักษาศีล หมั่นประพฤติธรรมไปจนกระทั่งหมดอายุขัย
แล้วชีวิตจะพบกับความสุขสวัสดีมีชัยตลอดไป” แล้วรุกขเทวาก็อันตรธานหายไป
ส่วนตัวอย่างของการกระทำที่ไร้ผลนั้น
พระพุทธองค์ได้ทรงยกเอาเรื่องของพระเทวทัตมาเป็นตัวอย่าง
ดังเช่นในพระชาติที่พระพุทธองค์ทรงเกิดเป็นพญานกหัวขวาน พระเทวทัตเกิดเป็นราชสีห์
ครั้งนั้นราชสีห์ได้กินสัตว์ที่ล่ามา แล้วเผอิญว่าเศษกระดูกติดคอราชสีห์
ทำให้มันได้รับทุกข์ทรมานอย่างน่าเวทนา พญานกหัวขวานเห็นดังนั้นเกิดความสงสาร
จึงอาสาจะเอากระดูกที่ติดคอออกให้ โดยให้ราชสีห์อ้าปากเอาไม้ค้ำไว้
แล้วมุดเข้าไปจิกปลายกระดูกให้เลื่อนออก
พอเสร็จแล้วก็เคาะท่อนไม้ที่ค้ำอยู่ให้หลุดออก ทำให้ราชสีห์หายเจ็บปวด
วันต่อมา
พญานกหัวขวานคิดจะลองใจราชสีห์ จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยช่วยเหลือท่าน
ในยามที่ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แล้วท่านจะตอบแทนข้าพเจ้าอย่างไร” ราชสีห์รีบตอบทันทีว่า “อย่ามาพูดเลย
เจ้าเข้าไปกินเลือดในปากของเรา แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าจะให้เราตอบแทนอะไรอีก”
เมื่อพญานกได้ฟังเช่นนั้น จึงกล่าวติเตียนว่า “ผู้ไม่รู้จักคุณของผู้อื่น ไม่รู้จักตอบแทนคุณ นับว่าเป็นอสัตบุรุษ
การคบกับบุคคลเช่นนั้นย่อมไร้ค่า ผู้ใดได้ทำบุญคุณไว้กับผู้อื่น
เมื่อไม่ได้รับมิตตธรรมอันดี พึงอย่าสมาคมกับผู้นั้นเลย” จากนั้นพญานกก็บินจากไป
จากตัวอย่างทั้งสองเรื่อง
เราจะเห็นถึงการช่วยเหลือที่ไร้ค่าและไม่ไร้ค่า ถ้าเราไปช่วยเหลือ
อสัตบุรุษหรือคนพาลย่อมเสียเวลาเปล่า เพราะคนพาลย่อมไม่รู้คุณคน
และย่อมนำแต่ความเดือดร้อนมาให้ ถ้าเราส่งเสริมสนับสนุนบัณฑิต
คุณูปการอันยิ่งใหญ่ย่อมจะบังเกิดขึ้น และยังเป็นทางมาแห่งบุญกุศลใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นก่อนช่วยเหลือใคร ควรพิจารณาใคร่ครวญให้ดีก่อนว่า
ควรสงเคราะห์มากน้อยเพียงใดและอย่างไร เพื่อให้ถูกต้องเหมาะสม
และจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง
ขาดความกตัญญู
การศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ว่าเราเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตนั้น
มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะความรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต
จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท
ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติธรรม
จะพาเราให้หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร หลุดพ้นจากเครื่องจองจำ คือ
กิเลสอาสวะทั้งหลาย การที่เราจะเข้าถึงจุดแห่งความรู้ที่บริสุทธิ์นั้นได้
จะต้องทำใจให้หยุดนิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายภายใน
จึงจะสามารถเข้าไปศึกษาเรื่องราวของชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ เราจะเข้าถึงวิชชา ๓
วิชชา ๘ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เมื่อเข้าถึงแล้ว
การศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
เราจะรู้เห็นได้อย่างถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง
เราจะได้ทั้งความรู้และความบริสุทธิ์ไปพร้อมๆ กัน
มีวาระพระบาลีที่กล่าวไว้ ใน
ชวสกุณชาดก ความว่า
“น่าติเตียนคนที่ไม่รู้จักบุญคุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน
ผู้ที่ไม่ทำคุณประโยชน์ให้กับใครๆ และผู้ที่ไม่ตอบแทนคุณที่ท่านทำก่อน
ความกตัญญูไม่มีในคนใด การคบคนนั้นย่อมไร้ประโยชน์
บุคคลไม่ได้มิตตธรรมด้วยอุปการคุณที่ตนประพฤติ
ไม่พึงริษยา ไม่ต้องด่าว่า พึงค่อยๆ หลีกออกห่างจากผู้นั้น”
ความกตัญญู คือ
การรู้คุณของบุคคลอื่นที่ได้ทำไว้กับตน แล้วหาโอกาสตอบแทนคุณอยู่เสมอ
คุณธรรมข้อนี้เป็นคุณธรรมของบัณฑิต ที่รู้คุณของผู้มีอุปการะคุณแก่ตน
และรู้จักตอบแทนบุญคุณที่ท่านเหล่านั้นได้ทำไว้กับเราในกาลก่อน คนที่มีคุณธรรม คือ
กตัญญูนี้ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ยามย่างก้าวไป ณ แห่งหนตำบลใด
จะได้รับการต้อนรับด้วยมิตรไมตรี ชื่อเสียงอันดีงามย่อมฟุ้งขจรขจายไปไกล
เมื่อมีใครรับรู้รับทราบคุณธรรมของผู้นั้นแล้ว ถ้าเป็นหัวหน้า
จะเป็นที่รักของผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
จะเป็นที่รักของหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ไปอยู่ในสังคมใด จะเป็นที่ต้องการของสังคมนั้น
ฉะนั้น ความกตัญญูเป็นสัญลักษณ์ของคนดี คนที่มีจิตใจสูงส่ง
และเป็นที่รักเคารพนับถือของมหาชนเป็นอันมากอีกด้วย
ในทางตรงกันข้าม
คนที่ไม่มีความกตัญญูกตเวที ไม่คิดที่จะตอบแทนคุณของผู้มีพระคุณ
เมื่อใครรู้เข้าก็จะเป็นที่ติเตียน เป็นที่รังเกียจ ไม่มีใครให้ความเคารพยำเกรง
หรือคบหาสมาคมด้วย ชีวิตของคนประเภทนี้มีแต่ความโดดเดี่ยว
หาความเจริญรุ่งเรืองได้ยาก ชีวิตนับวันพลันแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ
ดังเรื่องของพระเทวทัต ผู้มีความอกตัญญูมาข้ามภพข้ามชาติ ที่เราจะได้
ติดตามกันต่อไปนี้
*มก. ทุพภิยมักกฎชาดก
เล่ม ๕๗/๑๓๙
*ในสมัยพุทธกาล
มีอยู่วันหนึ่ง ที่พระวิหารเวฬุวันมหาวิหาร
เหล่าภิกษุทั้งหลายได้นั่งจับกลุ่มสนทนากันในโรงธรรมสภาถึงเรื่องที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู
คิดประทุษร้ายมิตร ไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น
เมื่อใครได้รับรู้เรื่องราวความประพฤติของพระเทวทัตแล้ว ต่างพูดโจษจันกันว่า
บุคคลผู้มีความประพฤติเช่นนี้ ย่อมไม่เหมาะสมแก่การเคารพนับถือ
ไม่สมควรที่จะเข้าไปคบหาสมาคมด้วย
ขณะที่เหล่าภิกษุกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น
พระบรมศาสดาเสด็จมาที่โรงธรรมสภา ได้ตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนาเรื่องอะไรกันอยู่” ครั้นภิกษุสงฆ์กราบทูลถึงพฤติกรรมของพระเทวทัตให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าว่าแต่ในชาตินี้เลย
ที่เทวทัตมีนิสัยอกตัญญูประทุษร้ายมิตร
แม้อดีตชาติที่ผ่านมาก็มีนิสัยอย่างนี้เหมือนกัน” เมื่อพระภิกษุอยากจะรู้เรื่องราวในอดีตชาติของพระเทวทัต
จึงตรัสเล่าให้ฟังว่า
ในอดีตกาล
ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ชาตินั้น
พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นกาสี
ในแคว้นนี้เองได้มีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ติดกับถนนที่ลาดชันสายหนึ่ง
สองข้างทางของถนนสายนี้ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ใหญ่
ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก แต่แหล่งน้ำมีอยู่เพียงแห่งเดียว คือ
บ่อน้ำข้างถนนแห่งนั้น พวกสัตว์ทั้งหลายจะได้กินน้ำ
ต่อเมื่อมีชาวบ้านเดินทางผ่านมา
และตักน้ำใส่รางที่ชาวบ้านผู้มีจิตเมตตาคนหนึ่งทำไว้ให้
เมื่อสัตว์ทั้งหลายอยากกินน้ำ ก็จะมาดื่มกินที่รางน้ำแห่งนี้เป็นประจำ
ต่อมา
ไม่มีใครเดินผ่านถนนสายนี้เป็นเวลาหลายวัน พลอยทำให้น้ำในรางแห้ง
สัตว์ป่าทั้งหมดจึงอดกินน้ำตามไปด้วย กระทั่งลิงตัวหนึ่งทนไม่ไหว
เดินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ บ่อน้ำ ขณะนั้นเอง
มีพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งเดินทางผ่านมาพอดี และได้แวะดื่มน้ำจากบ่อน้ำ
ขณะกำลังล้างมือล้างเท้า บังเอิญหันไปเห็นลิงตัวนั้น
กำลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะไม่ได้กินน้ำมาหลายวัน
เขารู้ได้ทันทีว่ามันคงหิวน้ำมาก เกิดความเมตตาสงสาร ได้ตักน้ำใส่ในรางให้มันดื่ม
เมื่อลิงได้ดื่มน้ำ ก็มีเรี่ยวมีแรงกระปรี้กระเปร่าสดชื่นเบิกบานใจ
หลังจากนั้น
พราหมณ์หนุ่มพระโพธิสัตว์คิดจะพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางต่อ
ได้เอนกายลงนอนที่โคนต้นไม้ใกล้บ่อน้ำ เมื่อลิงกินน้ำเสร็จ
ยังนั่งอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้นั้น ได้ทำหน้าตาล่อกแล่ก แสดงท่าทางก่อกวนให้เห็น
เมื่อพราหมณ์หนุ่มเห็นการกระทำของลิงตัวนี้แล้ว จึงกล่าวไปว่า “เจ้าวานรเอ๋ย
เราเห็นเจ้าอยากกินน้ำก็อุตส่าห์ตักให้ดื่ม แต่พอเจ้ามีเรี่ยวแรงแล้ว
กลับมานั่งทำหน้าตาท่าทางล่อกแล่กหยอกล้อกับเราเสียนี่
เจ้าช่างไม่รู้จักตนเองเสียเลย น่าอนาถใจจริงๆ
ที่เราช่วยเหลือสัตว์ต่ำทรามอย่างเจ้า แล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย”
ลิงพอได้ฟังคำติเตียนของพระโพธิสัตว์
ก็ไม่ได้รู้สึกสำนึก ยังพาลพูดกับพระโพธิสัตว์ขึ้นว่า “ท่านอย่าคิดว่าเราจะทำกับท่านเพียงเท่านี้
เพราะต่อไปเราจะถ่ายคูถรดลงบนศีรษะของท่านอีก” และก่อนที่เจ้าลิงจะก่อกวนพระโพธิสัตว์ให้หงุดหวิดใจไปมากกว่านี้
มันพูดทิ้งท้ายก่อนจากไปอีกว่า “ท่านพราหมณ์หนุ่ม
ท่านเคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อนหรือว่า มีลิงตัวไหนบ้างที่เป็นสัตว์มีคุณธรรม
วันนี้ท่านจะเห็นฤทธิ์ของลิงอย่างเรา”
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น
เห็นท่าไม่ค่อยดี จึงเตรียมจะลุกหนีไปจากโคนต้นไม้นั้น
เพราะไม่อยากต่อกรกับสัตว์เดรัจฉาน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าลิงวายร้ายกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้
จับกิ่งห้อยโหนไปมาอย่างว่องไว แล้วถ่ายคูถรดลงบนศีรษะของพราหมณ์หนุ่มทันที
จากนั้นได้วิ่งหนีเข้าป่าไป
พราหมณ์พระโพธิสัตว์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับลิงจอมซนตัวนี้ดี ได้แต่เดินไปที่บ่อน้ำ
และตักน้ำขึ้นมาล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาด แล้วก็เดินทางต่อไป
เราจะเห็นได้ว่า
บุคคลที่มีนิสัยอกตัญญู คิดประทุษร้ายมิตร
ไม่คิดที่จะตอบแทนผู้เคยมีอุปการคุณไว้กับตน ยังมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย
บุคคลประเภทนี้ใครรู้ใครเห็นเข้าก็ถูกตำหนิติเตียน ไม่อยากคบค้าสมคมด้วย
แม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังไม่อยากเข้าไปหา
ชีวิตของคนประเภทนี้ย่อมหาความเจริญรุ่งเรืองได้ยาก
เพราะได้ตัดหนทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของตน ทำให้ชีวิตมีแต่ความตกต่ำฝ่ายเดียว
ดังนั้น พวกเราทุกคน
ควรตระหนักถึงคุณธรรม คือ ความกตัญญูข้อนี้กันให้มากๆ
ความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง ที่จะประคับประคองใจของเราให้ดำรงมั่นอยู่ในคุณธรรมยิ่งขึ้นไป
ต้องหมั่นพิจารณาอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่บุคคลที่ใกล้ชิดเรา ไม่ว่าจะเป็นมารดาบิดา
ครูบาอาจารย์ ท่านเหล่านี้ควรที่เราต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณอย่างสมํ่าเสมอ
แล้วชีวิตของเราจะพบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ หรือการงานต่างๆ
และผลบุญกุศลนี้จะติดตามตัวเราไปในภพเบื้องหน้า
ไม่มีของรักย่อมไม่โศก
ชีวิตของเราเปรียบเสมือนภาชนะดิน
มีความเปราะบางยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะแตกสลายไปในวันใด เราถูกความแก่
ความเจ็บและความตาย เผาลนอยู่ตลอดเวลา สังขารร่างกายของเรา มีการเกิดดับอยู่ทุกอนุวินาที
แต่เนื่องจากมีความสืบต่อกันเร็วมาก เราจึงไม่รู้ถึงการเกิดดับนั้น
ทำให้เกิดความประมาทในวัยและชีวิต ประมาทในความเป็นหนุ่มเป็นสาว
ประมาทในความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีผลทำให้ประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม ดังนั้น
ผู้มีปัญญา เมื่อเล็งเห็นความไม่เที่ยงของสังขารร่างกายนี้
จึงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เร่งทำความเพียร แสวงหาที่พึ่งที่แท้จริงของชีวิต
ด้วยการทำใจหยุดใจนิ่งให้เข้าถึงพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายในให้ได้ทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย
ธรรมบท ความว่า
“กามโต ชายตี โสโก
กามโต ชายตี ภยํ
กามโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต
ภยํ
ความโศกย่อมเกิดแต่กาม
ภัยย่อมเกิดแต่กาม ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากกาม ภัยจากที่ไหนๆ
ก็ย่อมไม่มี”
*มก.
พราหมณ์คนใดคนหนึ่ง เล่ม ๔๒/๔๐๙
*ความโศก หมายถึง
สภาพจิตที่แห้งผาก เหมือนดินแห้ง หรือใบไม้แห้ง หมดความชุ่มชื่น
เนื่องจากไม่สมหวังในชีวิต ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้งโรยรา
จิตใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อื่นใด ไม่อยากทำการงานอะไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงว่า สรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในความทุกข์
ประสบกับความโศกเศร้าร่ำพิไรรำพัน ซึ่งเกิดจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ความพลัดพรากจากของรัก ความผิดหวังเพราะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
หรือความสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอาศัยกามเป็นเหตุ
ความทะยานอยากในเบญจกามคุณของมนุษย์นั้น
ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดเวลา แต่ไม่ได้ตามที่คาดหวัง
เพราะสังขารนี้ ล้วนต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา หรือเวลาที่มีทรัพย์แล้ว
อยากให้ทรัพย์นั้นเป็นของเราตลอดไป ไม่อยากให้ไปเป็นของคนอื่น
แต่สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
เมื่อของอันเป็นที่รักแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ใจจึงเกิดขึ้น
ความทะยานอยากในกามอันไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านี้ จะชักนำทุกข์มาให้เป็นประจำ
เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ทรงสอนให้เราดับทุกข์ที่เกิดจากกามทั้งหลาย ด้วยการทำใจให้หยุดให้นิ่งหรือที่เรียกว่า
เข้านิโรธ เพื่อหยุดความทะยานอยากเหล่านั้น
คำว่า “นิโรธ” แปลว่า หยุด คือ
ต้องทำใจให้หยุดในกลางกายของเรานี่แหละ เมื่อหยุดใจได้
ความอยากทั้งหลายก็จะดับไปเอง พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “อ้ายที่อยากมันก็หลอก
อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม
เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้” หมายความว่า จะเลิกอยากลาหยอก ต้องออกจากกาม จะออกจากกามได้
ต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของกาม
ที่ทำให้ต้องจมปลักอยู่ในสังสารวัฏที่เต็มไปด้วยภยันตรายต่างๆ
และเห็นว่าภพสามนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนเกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายจึงคลายความกำหนัด คลายความยึดมั่นถือมั่น จิตจึงหยุดนิ่งเป็นหนึ่ง
ดำเนินไปตามศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์หลุดพ้นเข้าไปตามลำดับ
จนกระทั่งเสร็จกิจได้บรรลุบรมสุขอันเป็นอมตะ ซึ่งเกิดจากการเข้าถึงพระนิพพาน
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงพราหมณ์คนหนึ่ง
ผู้ประสบกับความทุกข์อันใหญ่หลวงเพราะข้าวกล้าเสียหาย ถูกน้ำท่วมพัดพาไปหมด
เรื่องมีอยู่ว่า พราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง กำลังถางป่าทำนา
พระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของเขา ขณะเสด็จเข้าไปโปรดชาวเมืองสาวัตถี
ได้ทรงแวะตรัสสนทนาว่า “ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ
พราหมณ์” พราหมณ์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ข้าพระองค์กำลังจะทำไร่ไถนา พระเจ้าข้า” จึงตรัสว่า “ดีแล้วพราหมณ์ จงตั้งใจทำงานไปเถิด” จากนั้นก็เสด็จหลีกไป
วันต่อมา ได้เสด็จเข้าไปสนทนาอีก และได้เข้าไปสนทนาทุกช่วงที่มีการไถ ก่อคันนา
และหว่านข้าว
เมื่อพราหมณ์เห็นพระบรมศาสดาบ่อยเข้า
จึงเกิดความเลื่อมใสในพุทธจริยา วันหนึ่ง พราหมณ์ได้ปวารณาว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
วันนี้เป็นมงคลในการหว่านข้าวของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์
โดยมีพระองค์เป็นประธาน หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าข้า” พระศาสดาทรงรับโดยแสดงอาการดุษณีภาพ แล้วเสด็จหลีกไป
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว
พราหมณ์ได้วางแผนเก็บเกี่ยวในวันรุ่งขึ้น แต่คืนนั้น ฝนลูกเห็บได้ตกตลอดทั้งคืน
ทำให้ด้านเหนือของแม่น้ำอจิรวดีเอ่อล้น แล้วไหลท่วมนาของพราหมณ์
พัดพาเอาต้นข้าวทั้งหมดไปสู่ท้องทะเล ไม่เหลือแม้แต่เพียงต้นเดียว
เมื่อน้ำหลากแห้งลง พราหมณ์ได้มาดูความเสียหายของนาข้าว จึงเสียใจอย่างหนัก เอาแต่นอนทุกข์ระทมอยู่บนเตียง
ใกล้รุ่งวันใหม่
พระบรมศาสดาทรงเห็นพราหมณ์ถูกความเศร้าโศกเสียใจครอบงำ
หลังจากทรงเสวยเสร็จและส่งภิกษุสงฆ์กลับวัดพระเชตวันแล้ว
พระพุทธองค์ได้เสด็จไปบ้านของพราหมณ์พร้อมกับพระภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะอีกหนึ่งรูป
เมื่อพราหมณ์ได้ยินว่าพระบรมศาสดาเสด็จมา จึงคิดว่า “พระพุทธองค์ทรงเป็นมิตรแท้ของเรา
คงจะเสด็จมาเยี่ยมเยือนเพื่อให้กำลังใจ” จึงรีบจัดแจงอาสนะต้อนรับ
พระศาสดาได้เสด็จเข้าไปประทับนั่งบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้ แล้วตรัสถามว่า “พราหมณ์ ทำไมท่านจึงดูเศร้าหมองไปล่ะ ท่านไม่สบายหรือ” พราหมณ์ได้กราบทูลว่า “ข้าพระองค์เคยปวารณาไว้ว่า
จะถวายมหาทานหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว
แต่เมื่อคืนต้นข้าวกลับถูกกระแสน้ำพัดพาลงทะเลจนหมดเกลี้ยง ข้าวเปลือกประมาณ ๑๐๐
เกวียน เสียหายหมด ข้าพระองค์จึงทุกข์ใจ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว
ได้ตรัสให้กำลังใจว่า “พราหมณ์
ท่านจะมัวเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม สิ่งที่สูญเสียไปแล้วจะเอากลับคืนมาได้หรือ
ขึ้นชื่อว่าทรัพย์และข้าวเปลือกนี้ ถึงคราวเกิดก็เกิดขึ้นเจริญงอกงาม
ถึงคราวเสียหายก็ถูกทำลายเสียหาย สิ่งใดๆ ที่ถึงการปรุงแต่ง
จะชื่อว่าไม่มีความเสียหายเป็นธรรมดานั้นไม่มีหรอก ท่านอย่ามัวไปยึดมั่นถือมั่นว่า
สิ่งนั้นเป็นของเราอยู่เลย” พระบรมศาสดาทรงปลอบใจพราหมณ์ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่น
อันเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ทรงยกใจของพราหมณ์ขึ้นสู่ไตรลักษณ์
ให้มองเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งว่ามีความเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ถ้าบุคคลเข้าไปสงบระงับดับความพึงพอใจในสังขารเหล่านั้นได้
ความสุขที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้น พราหมณ์ได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา
ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ความโศกและความทุกข์จึงดับไป
ความโศก ความร่ำไร และความทุกข์
เกิดขึ้นในโลกนี้ได้เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก
เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร
และความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี ผู้ใดไม่มีคน สัตว์ และสิ่งของอันเป็นที่รัก
ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความเศร้าโศก เมื่อบุคคลใดปรารถนาความไม่เศร้าโศกอันปราศจากธุลีกิเลส
ไม่พึงทำคน สัตว์ สิ่งของ หรือสังขารใดๆ ให้เป็นที่รักเลย
สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และทรงนำมาสั่งสอนนี้
เป็นความรู้อันประเสริฐที่เกิดจากการเห็นด้วยธรรมจักษุ
เป็นความรู้ที่คู่กับความสุขและความบริสุทธิ์ ผู้ใดปฏิบัติตาม
ย่อมจะได้ความหลุดพ้นเช่นเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ได้หลุดพ้นแล้ว ดังนั้น
เรามาเกิดในภพชาตินี้ แม้จะอยู่ในกามภพ ซึ่งข้องเกี่ยวกับเรื่องเบญจกามคุณ
แต่เราต้องหาทางทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสกามและวัตถุกามทั้งหลาย
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ให้มุ่งมั่นสร้างบารมีให้เต็มที่
และแสวงหาหนทางพระนิพพาน ด้วยการฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง ให้บริสุทธิ์ผ่องใส
ให้เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด คือ พระรัตนตรัยภายในให้ได้กันทุกๆ คน
ทางแห่งความเสื่อม
เราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
ต่างปรารถนาความสุขความเจริญ สิ่งที่ดีงาม
ที่เป็นมงคลเกิดขึ้นแก่ชีวิตของตนด้วยกันทั้งนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่าสิ่งที่เป็นมงคล คือ การบำเพ็ญบุญ
อันจะเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์
สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ตลอดจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน
เพราะฉะนั้น บุญจากการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเราทุกคน
โดยเฉพาะบุญใสๆที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง
เป็นสิ่งที่เราจะต้องสั่งสมให้ได้เป็นประจำทุกวัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัปปุริสสูตร
อังคุตตรนิกาย ว่า
“สัตบุรุษผู้มีปัญญาอยู่ครองเรือน
เป็นผู้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นผู้กำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่ได้
ย่อมประสบกับนิพพานอันเกษม”
ชีวิตของผู้ครองเรือนจะต้องรู้จักสิ่งที่ควรทำและควรเว้น
เช่น ควรทำบุญให้ทาน อย่าตระหนี่ หรือควรขยันทำการงานอย่าเกียจคร้าน เป็นต้น
หลวงพ่อมีธรรมะที่ให้ความกระจ่างในการดำเนินชีวิต
ซึ่งเป็นการตอบคำถามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อพราหมณ์ท่านหนึ่ง
ที่ได้ไปทูลถามพระองค์ แม้จะเป็นคำถามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบพราหมณ์เพียงคนเดียว
แต่สาระจากพุทธวิสัชนานั้น ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งกับทุกคนที่ได้รับรู้รับทราบ
โดยเฉพาะผู้ที่รักในการฝึกตน เพื่อมุ่งไปสู่เส้นทางสวรรค์และพระนิพพาน
ในครั้งพุทธกาล มีพราหมณ์คนหนึ่ง
ชอบศึกษาหาความรู้ความจริงของชีวิตจากสำนักต่างๆ เมื่อไปถามครูบาอาจารย์สำนักไหน
ก็ได้รับคำตอบที่ยังไม่ถูกใจ คือ ฟังแล้วก็ยังไม่กระจ่าง เหมือนในปัจจุบัน
ที่มีผู้ถามว่านรกสวรรค์มีจริงไหม ครูบาอาจารย์บางท่านตอบว่าคงมีจริงมั้ง
เพราะเห็นตามตำรับตำราเขาว่ากันอย่างนั้น
พราหมณ์ท่านนี้
ก่อนจะเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์
เกิดวิตกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักจะตรัสสอนเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น สงสัยพระองค์จะไม่ทราบในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
จึงอยากจะแก้ความสงสัยของตนเอง เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จึงทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สงสัยว่า
พระพุทธองค์เห็นจะทรงทราบในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างเดียวกระมัง
ส่วนสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไม่เห็นพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเลย”
พระบรมศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เราตถาคตย่อมรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์
และไม่เป็นประโยชน์ทั้งสองอย่าง ท่านอยากรู้เรื่องอะไร ให้ถามมาเถิด” พราหมณ์กราบทูลว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น
ขอพระองค์ได้ตรัสบอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
พระบรมศาสดาตรัสบอกทางแห่งความเสื่อมแก่พราหมณ์ว่า
“ถ้าใครก็ตามปฏิบัติตามนี้
ความเสื่อมย่อมมีแก่เขาอย่างแน่นอน คือ บุคคลที่นอนตื่นสาย
เกียจคร้านไม่ยอมทำการงาน เห็นแก่นอนชอบเดินทางไกลตามลำพัง
และบุคคลที่เป็นชู้กับภรรยาคนอื่น ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงปฏิบัติให้ถูกต้อง
จงดำรงอยู่ในธรรม และเว้นสิ่งที่กล่าวมานี้เถิด แล้วความหายนะ
ความเสื่อมเสียชื่อเสียงจะไม่มีแก่ท่าน”
ทางแห่งความเสื่อมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พราหมณ์นั้น
เมื่อนำมาพินิจพิจารณาแล้ว เป็นสิ่งที่เราพึงละเว้น
และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในตัวของเราให้รวดเร็วที่สุด
เพื่อจะได้ขจัดนิสัยที่ไม่ดีออกไป แล้วเอาอุปนิสัยที่ดีๆ เข้ามาแทนที่
ชีวิตจะได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
ทางแห่งความเสื่อมประการแรก คือ
การนอนตื่นสาย ในสมัยปู่ย่าตายายของเรา ท่านจะสอนให้ลูกหลานตื่นแต่เช้า
มาสวดมนต์ไหว้พระ แล้วให้จัดเตรียมอาหารหวานคาวไว้ตักบาตรพระ
จะได้สร้างทานบารมีตั้งแต่เช้า
ดวงตะวันขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามเช้าเพื่อให้ความสว่างไสวแก่โลก ฉันใด
เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อดำรงตนเป็นผู้ให้ ฉันนั้น
บรรพบุรุษของเราจึงมีคำพูดติดปากที่ลูกๆ หลานๆจะได้รับการสั่งสอนสืบต่อกันมาว่า
อย่านอนตื่นสาย อย่าหน่ายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา
ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แล้วสมบัติใหญ่จะไหลมาเทมา
ทางแห่งความเสื่อมข้อที่ ๒ คือ
ความเกียจคร้าน เช่น เกียจคร้านในการเรียนหนังสือ เกียจคร้านในการทำงาน
หรือเกียจคร้านในการเจริญสมาธิภาวนา เป็นต้น คนที่จะเอาดีได้ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน
ถ้าอาศัยความขยันหมั่นเพียรทั้งนั้น ผู้รู้ทั้งหลายจึงกล่าวสอนเอาไว้ว่า ความเพียรอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ขอให้เพียรพยายามเถิด แม้สติปัญญาไม่ค่อยจะดี แต่ก็สามารถเอาดีได้
เพราะอุปสรรคแพ้คนขยัน แต่มันชนะคนที่ขี้เกียจ แม้พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ
บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร” ความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น
จึงจะสามารถนำพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางได้
ทางแห่งความเสื่อมข้อที่ ๓ คือ
การเป็นคนที่มีนิสัยเจ้าโทสะ อารมณ์ร้าย อารมณ์ร้อน
บุคคลเหล่านี้มักจะไม่เป็นที่ต้องการของใคร เพราะจะนำแต่เรื่องร้อนใจมาให้
มนุษย์ทุกคนปรารถนาสภาพแวดล้อมที่ดี มีความสุขกายสบายใจ เพราะร่มไม้เย็นหมู่นกกาชอบอาศัย
คนที่ใจเย็นใครๆก็อยากจะอยู่ใกล้ เพราะเข้าใกล้แล้วเย็นทั้งกายเย็นทั้งใจ
ทางแห่งความเสื่อมข้อที่ ๔ คือ
เห็นแก่นอน หมายถึง ผู้ที่ใช้เวลานอนมากเกินปกติ ถ้าเป็นเด็กควรนอนประมาณ ๘
ชั่วโมง หรือผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน ๖ ชั่วโมงต่อวัน บางคนเห็นแก่นอน คือ
หลับทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้เสียเวลาทำการงาน เสียเวลาสร้างบารมี
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ว่า การเห็นแก่นอน เป็นหมันสำหรับผู้ประพฤติธรรม
เพราะผู้ประพฤติธรรมต้องเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ
ทางแห่งความเสื่อมข้อที่ ๕ คือ
การเดินทางไกลตามลำพัง ที่ว่าเป็นทางแห่งความเสื่อม
เพราะเป็นอันตรายต่อตนเองทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากในระหว่างการเดินทาง
ภยันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งอันตรายจากโจรหรือคนแปลกหน้า
รวมไปถึงอุบัติเหตุเภทภัยต่างๆ การไปไหนมาไหนเป็นหมู่เป็นคณะจะเกิดความอุ่นใจ
ไม่ต้องหวาดระแวงภัยต่างๆ มากจนไม่เป็นอันกินอันนอน
ทางแห่งความเสื่อมข้อสุดท้าย
ที่ทรงแสดงแก่พราหมณ์ คือ อย่าไปเป็นชู้กับภรรยาหรือสามีของคนอื่น
ชีวิตของผู้ครองเรือนนั้น ความจริงใจต่อกันมีความสำคัญมาก
สามีภรรยาต้องจริงใจต่อกัน และไม่ไปล่วงละเมิดในสามีภรรยาของผู้อื่น
ถ้าใครไปยุ่งเข้า แสดงว่ากำลังนำความหายนะมาสู่ตนเองและครอบครัว
เพราะถือว่าเป็นการประพฤติผิดศีลข้อที่ ๓ คือ กาเมสุมิจฉาจาร
เป็นการทำร้ายจิตใจของสามีภรรยาที่รักกัน ทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก
สรุป คือ “นอนตื่นสาย กายเกียจคร้าน สำราญตน เห็นแก่นอน
อารมณ์ร้อนเจ้าโทสะ จะไปไหนก็ไปตามลำพัง มุ่งหวังเป็นชู้กับผู้อื่น
ชีวิตต้องสะอื้นเพราะหายนะครอบงำ” สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ควรประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น
และต้องปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลา
อย่าให้ทางแห่งความเสื่อมเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเรา
พราหมณ์ได้ฟังแล้วรู้สึกชอบใจ
เพราะได้ตรองตามแล้ว เห็นดีเห็นงามด้วย
จึงได้เปล่งเสียงสาธุการสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นบุคคลผู้เลิศ
และประเสริฐที่สุดในโลกอย่างแท้จริง ทรงรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์
พร้อมกับทรงแสดงสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้ง”
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีความงดงามทั้งในเบื้องต้น
ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ใครได้ยินได้ฟังแล้ว จะบังเกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
ที่เคยสงสัยจะแจ่มแจ้ง และสามารถน้อมนำไปปฏิบัติได้จริง
อีกทั้งเกิดประโยชน์ใหญ่แก่ผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น
เราทุกคนจะต้องฝึกตนให้เป็นผู้หนักในธรรม ฟังธรรมะบทไหนแล้ว อย่าได้ดูเบา
ให้รู้จักนำไปขบคิดไตร่ตรอง และลงมือประพฤติปฏิบัติ แล้วเราจะสมหวังในชีวิต
ไปทุกภพทุกชาติ
บุญเขตในพระพุทธศาสนา
ชีวิตของเราทุกคนเป็นอยู่ได้ด้วยบุญ
ความดีที่เราได้ทำไปแล้ว จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์อยู่ในตัว
สิ่งนั้น คือ บุญ ยิ่งทำบุญสั่งสมความดีมาก ยิ่งมีพลังมาก ความสำเร็จสมหวังจะมีมาก
ตรงกันข้ามถ้าพลังบุญน้อย ความสำเร็จสมหวังจะมีน้อย ดังนั้น
บุญจึงเป็นเครื่องหนุนนำค้ำชูชีวิตให้สุขสมหวัง
ตรงข้ามกับบาปที่จะกดให้คุณภาพใจตกต่ำลง
แต่บุญจะเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
จนสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า สามารถขจัดอาสวกิเลสทั้งหลายได้
เมื่อบุญเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตอย่างนี้ เราจึงควรสั่งสมบุญให้มากๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย
ธรรมบทว่า
“มาเส มาเส สหสฺเสน โย
ยเชถ สตํ สมํ
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ มุหุตฺตมปิ ปูชเย
สา เยว ปูชนา เสยฺโย ยญฺเจ วสฺสสตํ
หุตํ
บุคคลใด
พึงบูชาสิ่งอื่นนอกจากพระรัตนตรัย ด้วยทรัพย์หนึ่งพันทุกๆ เดือนตลอดทั้งปี
แม้เป็นเวลานานถึง ๑๐๐ ปี การบูชาของเขา
มีอานิสงส์เทียบได้เพียงนิดเดียวกับการบูชาของผู้บูชาพระอริยบุคคลซึ่งฝึกตนดีแล้ว
แม้เพียงชั่วเวลาครู่เดียวไม่ได้เลย”
การบูชาบุคคลผู้ควรบูชาเป็นทางมาแห่งมหากุศล
แม้จะเป็นการบูชาด้วยไทยธรรมเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าบูชาถูกทักขิไณยบุคคลแล้ว
การบูชานั้นย่อมมีอานิสงส์ใหญ่เป็นอสงไขยอัปมาณัง
นับว่าเป็นการลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก เหมือนการลงทุนทำธุรกิจ ที่ลงทุนน้อยแต่ให้ได้กำไรมาก
ดังนั้นการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เช่นกัน ต้องดำเนินให้มีกำไรชีวิต คือ
ให้มีความสุขในโลกนี้ เมื่อละโลกไปแล้วให้ได้ไปเสวยสุขในโลกหน้า
ถ้าบุญเต็มเปี่ยมจึงหยุดเวียนว่ายตายเกิด ได้เข้าสู่อายตนนิพพานเสวยเอกันตบรมสุข
ที่ไม่มีทุกข์เจือปน
สำหรับการมีชีวิตที่ขาดทุน คือ
ชีวิตที่ขาดบุญ ซึ่งบางคนดำเนินชีวิตผิดพลาด ด้วยการทำบาปอกุศล
เช่นไปลักขโมยรถเขามาขับ ไปมีชู้กับภรรยา หรือสามีของคนอื่น ขายเครื่องดองของเมา
หรือขายยาเสพติด เพื่อเห็นแก่เม็ดเงินที่จะมาอำนวยความสะดวกสบายให้กับตนเอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสุขชั่วคราวเท่านั้น เมื่อละโลกแล้ว
ต้องไปเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นเวลายาวนานในมหานรก ครั้นกรรมเบาบางลง
มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ต้องใช้วิบากต่อไปอีกหลายชาติ เช่น
เป็นคนพิกลพิการ มีสติไม่สมประกอบ เป็นต้น การทำบาป เพื่อหวังความสุข
แต่ต้องประสบทุกข์ข้ามชาตินั้น ไม่คุ้มกันเลย นี่คือ ชีวิตที่ขาดทุนอย่างแท้จริง
การดำเนินธุรกิจผิดพลาด ทำให้ขาดทุน
ยังพอแก้ไขกันได้ แต่การดำเนินชีวิตผิดพลาด ต้องแก้ไขกันข้ามภพข้ามชาติ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังใช้วิบากกรรมนั้น
เราต้องรู้จักสร้างกุศลกรรมควบคู่ไปด้วย และยิ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าหน้าที่หลักของการเกิดมาเป็นมนุษย์
เพื่อสั่งสมบุญเท่านั้น ไม่ใช่มาทำอย่างอื่น
และการสั่งสมบุญในแต่ละครั้งจะต้องทำให้ถูกเนื้อนาบุญ
อย่างที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะว่า “พระสงฆ์สาวกของพระองค์
คือ เนื้อนาบุญของโลก ใครก็ตามเมื่อได้ทำบุญในบุญเขตนี้แล้ว จะทำให้ได้อานิสงส์มาก”
มีคนจำนวนมากอยากรํ่ารวย
แต่ไม่รู้วิธีหาเงิน จึงรวยไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน บางคนอยากไปเกิดบนสวรรค์
อยากไปพรหมโลก แต่ไม่รู้หนทางไป จึงไปไม่ถึง นอกจากไปไม่ถึงแล้ว
สิ่งที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นั้น อาจเป็นเส้นทางนำไปสู่อบายภูมิก็ได้ ดังนั้น
การขาดกัลยาณมิตรคอยแนะนำเส้นทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดังเช่นชีวิตของพราหมณ์
ผู้เป็นลุงของพระสารีบุตรเถระที่หลงไปบูชาสิ่งที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย
ไม่ใช่บุญเขตในพระพุทธศาสนา
แต่โชคดีที่เจอยอดกัลยามิตรทำให้มีชีวิตสดใสไปทุกภพทุกชาติ เรื่องราวมีดังนี้
พระสารีบุตรเถระผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านปัญญา
และเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลังจากท่านได้บวชและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว
ได้ทำหน้าที่ธรรมเสนาบดีอย่างเข้มแข็ง มีอยู่วันหนึ่ง พระสารีบุตรได้ไปโปรดลุง
ซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในบ้าน ลุงของท่านคนนี้นอกจากมีฐานะที่รํ่ารวย
และยังเป็นอุปัฏฐากคนสำคัญของพวกนิครนถ์ด้วย
เมื่อพระเถระได้สนทนาสารทุกข์สุกดิบตามประสาลุงกับหลานที่ไม่ได้พบกันนาน
ท่านได้ถามลุงว่า “ท่านลุง
ท่านได้ทำบุญกุศลอะไรเอาไว้บ้าง” ลุงตอบว่า “หลานรัก ลุงยังบูชากราบไหว้นิครนถ์อยู่ ลุงจะมอบปัจจัยให้นิครนถ์ครั้งละ ๑
แสนกหาปณะทุกเดือน ไม่เคยขาดเลย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระเถระจึงถามว่า “การทำบุญในแต่ละครั้งนั้น ท่านหวังสิ่งใด” ลุงตอบว่า “พวกพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์
ต่างแนะนำให้ลุงไปบังเกิดในพรหมโลก ลุงจึงปรารถนาอยากไปพรหมโลก” พระเถระจึงถามต่อว่า “แล้วอาจารย์ของลุง
หรือตัวลุงเองรู้จักทางไปพรหมโลกหรือไม่” พราหมณ์เมื่อเจอคำถามนี้
จึงตอบแบบเสียงเบาๆว่า “ไม่มีใครรู้จักหรอก” พระเถระจึงให้ข้อคิดว่า “ตามปกติแล้ว
ผู้ที่จะไปที่ไหน จะต้องรู้จักเส้นทางนั้นเป็นอย่างดี จึงจะไปถึงจุดหมายได้
แต่ท่านไม่รู้ แม้อาจารย์ของท่านเองก็ไม่รู้ แล้วท่านจะไปถึงพรหมโลกได้อย่างไร
มาเถิดลุง อาตมาจะกราบทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอาจารย์ของอาตมา
ตรัสบอกเส้นทางไปสู่พรหมโลกกับลุงเอง”
พราหมณ์ดีใจมากที่จะได้รู้ทางไปสู่พรหมโลก
จึงเดินตามพระเถระไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไปถึงพระเถระได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระพุทธองค์โปรดตรัสบอกหนทางไปพรหมโลกแก่ลุงของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
พอได้สดับคำอาราธนา
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “พราหมณ์
การถวายอาหารพอยังชีพเพียงทัพพีเดียวแก่สาวกของเราแม้เพียงรูปเดียวเท่านั้น จะสามารถนำไปสู่พรหมโลกได้
และการถวายอาหารเพียงทัพพีเดียวนั้น
ยังมีอานิสงส์มากกว่าการบริจาคทรัพย์จำนวนมากแก่นิครณถ์ทุกเดือนของท่านเสียอีก
อย่าว่าแต่การถวายอาหารเลย แม้เพียงแค่การแลดูสาวกของเราด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธา
เพียงครู่เดียวยังได้บุญมากกว่าการกราบไหว้บูชาพวกนิครนถ์เป็น ๑๐๐ ปี” จากนั้น ทรงชี้แจงให้พราหมณ์ได้ทราบถึงลักษณะของเนื้อนาบุญว่า
ต้องสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และปัญญาอย่างไรบ้าง
แล้วทรงบอกหนทางไปสู่พรหมโลกแก่พราหมณ์ ด้วยการแนะนำข้อปฏิบัติเพื่อให้ได้ฌาน
ซึ่งเริ่มจากการหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้บริสุทธิ์ ละนิวรณ์ทั้ง ๕
จนกระทั่งได้บรรลุปฐมฌานเรื่อยไป จนถึงจตุตถฌาน
และเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในในที่สุด
พราหมณ์ได้ส่งใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนาพร้อมกับทำใจหยุดในหยุด
นิ่งในนิ่งควบคู่ไปด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนา พราหมณ์ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ซึ่งประเสริฐและเลิศกว่าการได้เป็นพรหมเสียอีก เพราะตั้งแต่นี้ไป
ท่านจะมีชีวิตที่ไม่ตกต่ำอีก
จะมีแต่ใจที่เกาะเกี่ยวอยู่กับพระนิพพานอันเป็นบรมสุขอย่างเดียว
เราจะเห็นได้ว่า
การทำอะไรแต่ละอย่างนั้น ย่อมมีหลักวิชชาในการทำสิ่งนั้นๆให้สัมฤทธิผล
ผู้ที่รู้หลักวิชชาย่อมสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยง่าย การไปเกิดมาเกิดบนโลกมนุษย์
กระทั่งก้าวไปสู่ความไม่เกิดอีก
หากไม่ได้คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประทีปส่องนำทาง
น้อยคนนักที่จะก้าวไปถึงได้ ในเรื่องนี้
เราดูตัวอย่างได้จากพราหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสารีบุตรเถระ
ที่หลงเข้าใจผิดในเรื่องการทำบุญ เพื่อมุ่งพรหมโลก
แต่ได้อาศัยพระพุทธองค์ที่ทรงให้หลักวิชชาที่ถูกต้อง
จึงทำให้ชีวิตเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิต ไม่มีตกต่ำอีก
ดังนั้น
ผู้รู้ทั้งหลาย จึงเลือกที่จะสั่งสมบุญเฉพาะในบุญเขตเท่านั้น
เพราะลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก เหมือนการหว่านข้าวกล้าลงในนาดี ย่อมได้ผลิตผลที่งอกงามไพบูลย์เกินควรเกินคาด
และคำว่าเนื้อนาบุญ หมายถึง ผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ หรือผู้ปฏิบัติเพื่อละราคะ
โทสะ โมหะ จนกระทั่งถึงผู้ที่ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุเป็นสามเณร
เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเข้าถึงธรรมกาย ถือว่าเป็นทักขิไณยบุคคลเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ
ดังนั้น เมื่อปรารภจะสั่งสมบุญแล้ว ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
จึงจะทำให้เราได้อานิสงส์ใหญ่ หวังเทวโลกจะได้เทวโลก หวังพรหมโลกจะได้ไปพรหมโลก
หวังให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานจะสมปรารถนา
คำปรารมภ์
มนุษย์ผู้เกิดมาในโลกนี้ มีรูปพรรณสัณฐานที่เลือกตามใจหวังไม่ได้แล้วแต่เหตุจะแต่งมา
ให้เป็นผู้มีรูปร่างงามบ้าง เลวทรามบ้างต่าง ๆ กัน ผู้ใดมีรูปงามก็เป็นที่นิยมชมชื่นของผู้ที่ได้เห็น
เป็นดุจดอกไม้ที่มีสีสัณฐานงาม ผู้ใดมีรูปเลวทรามก็ไม่เป็นที่ชวนดูของผู้แลเห็น
เช่นกับดอกไม้มีสีสัณฐานไม่งาม รูปงามมีประโยชน์เพียงให้เขาชมว่าสวย ไม่เป็นคุณอะไรอีก ถ้าดอกไม้มีทั้งสีสัณฐานก็งามทั้งกลิ่นก็หอม
ย่อมเป็นที่พอใจรักใคร่ของประชุมชน
ถ้ามีแต่สีและสัณฐานงาม แต่หากกลิ่นหอมมิได้
จะสู้ดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอม
แม้มีสัณฐานไม่งาม ก็ไม่ได้
ถ้ามีกลิ่นเหม็นก็ยิ่งซ้ำร้าย
ถึงจะมีสัณฐานงาม
ก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของใคร ๆ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
คนผู้มีรูปร่างงดงามมีใจดี ย่อมเป็นที่นิยมนับถือของประชุมชน
ถึงจะมีรูปร่างงาม แต่ปราศจากคุณธรรมในใจ
จะสู้คนที่ประกอบด้วยคุณธรรม แม้มีรูปร่างเลวทราม
ก็ไม่ได้ ถ้ามีใจร้ายกาจ
ก็ยิ่งซ้ำร้าย ไม่มีใครพอใจจะสมาคม
ถึงจะมีรูปร่างงามสักปานใด ก็ช่วยแก้ไขไม่ได้
ข้อนี้มีอุปไมยฉันนั้น
รูปพรรณสัณฐานของมนุษย์เป็นมาอย่างใด ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ส่วนใจนั้นก็มักเป็นไปตามพื้นเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทางแก้ไขให้ดีได้ด้วยความตั้งใจอันดี
จงดูตัวอย่างของที่ไม่หอมมาแต่เดิมเขายังอบให้หอมได้
แต่ธรรมดาใจนั้นมักผันแปรไม่แน่ไม่นอนมั่นคงลงได้ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ผู้สั่งสอนให้คนตั้งอยู่ในคุณธรรม จึงได้กำหนดวางแบบแผนแห่งความประพฤติไว้เป็นหลักฐาน
การตั้งใจประพฤติตามบัญญัตินั้น ชื่อว่าศีล
ๆ นั้นเป็นบรรทัดสำหรับให้คนประพฤติความดีให้คงที่
เปรียบเหมือนผู้แรกจะเขียนหนังสือ ต้องอาศัยเส้นบรรทัดเป็นหลักเขียนไปตามนั้น
หนังสือที่เขียนจึงจะมีบรรทัดอันตรง
ถ้าหาไม่ตัวก็จะคดขึ้นคดลงดังงูเลื้อย เมื่อชำนาญแล้ว
ก็เขียนไปได้ ไม่ต้องมีบรรทัดฉันใด
คนแรกจะประพฤติความดี ไม่ได้ถืออะไรเป็นหลัก
ใจไม่มั่นคงอาจเอนเอียงลงหาทุจริตแม้เพราะโมหะครอบงำ เมื่อบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์จนเป็นปกติ มารยาทได้แล้ว
จึงจะประพฤติคุณธรรมอย่างอื่น ก็มักยั่งยืนไม่ผันแปร
ข้อนี้แลเป็นประโยชน์แห่งการบัญญัติศีลขึ้น
ความเบียดเบียนกันในโลก ซึ่งเป็นไปโดยกายทวารย่นลงเป็น
๓ ประการ คือ เบียดเบียนชีวิตร่างกายประการหนึ่ง
เบียดเบียนทรัพย์สมบัติ ประการหนึ่ง เบียดเบียนประเวณี
คือทำเชื้อสายของผู้อื่นให้ผิดลำดับสับสนประการหนึ่ง และความประพฤติเสียด้วยวาจา
มีมุสาวาทกล่าวคำเท็จเป็นที่ตั้ง
คนจะประพฤติดังนั้นก็เพราะความประมาท และความประมาทนั้น ไม่มีมูลอื่นจะสำคัญยิ่งกว่าดื่มน้ำเมา ซึ่งทำให้ความคิดวิปริตลงทันที
เหตุนั้นนักปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานเล็งเห็นเหตุการณ์ดังนี้
จึงปัญญัติศีลมีองค์ ๕ คือ
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต
๒. เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจร
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. เว้นจากกล่าวคำเท็จ
๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา
คือสุราและเมรัย
องค์แห่งศีลอย่างหนึ่ง ๆ เรียกว่า สิกขาบท
ศีลมีองค์ ๕ จึงเป็นสิกขาบท ๕ ประการ
รวมเรียกว่าเบญจศีล ๆ นี้ท่านบัญญัติขึ้นโดยถูกต้องตามคลองธรรม
ด้วยคิดจะให้เป็นประโยชน์แก่กันและกันจึงได้ชื่อว่าเป็นบัญญัติอันชอบธรรม
เป็นคำสอนมีอยู่ในศาสนาที่ดี
เบญจศีลนี้มีกัลยาณธรรมเป็นคู่กัน
แสดงไว้ในพระบาลีที่สรรเสริญความประพฤติของกัลยาณชนว่า เป็นคนมีศีลมีกัลยาณธรรม
ดังนี้ กัลยาณธรรมในที่นี้
ได้แก่ความประพฤติที่เป็นส่วนดีงาม มีเครื่องอุดหนุนศีลให้ย่อใสยิ่งขึ้น ได้ในสิกขาบททั้ง
๕ นี้เอง
๑. เมตตากรุณา
ได้ในสิกขาบทที่ต้น
๒. สัมมาอาชีวะ
หมั่นประกอบการเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ
ได้ในสิกขาบทที่ ๒
๓. ความสำรวมในกาม
ได้ในสิกขาบทที่ ๓
๔. มีความสัตย์
ได้ในสิกขาบทที่ ๔
๕. ความมีสติรอบคอบ
ได้ในสิกขาบทคำรบ ๕
เมื่อจัดวิภาค ศีลได้แก่กิริยาที่เว้นตามข้อห้าม
กัลยาณธรรม ได้แก่ประพฤติธรรมที่ชอบ
มีเป็นคู่กันมาฉะนี้
ในที่นี้ จะยกคุณ ๒
ข้อนี้ตั้งเป็นกระทู้ และพรรณนาความไปตามลำดับดังนี้
เบญจศีล
ในสิกขาบทที่ ๑ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ คือการฆ่า ๑
การทำร้ายร่างกาย ๑ การ ทรกรรมสัตว์ให้ลำบาก
๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น
ด้วยเพ่งเมตตาจิตเป็นใหญ่
ในสิกขาบทที่ ๒ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ
คือ โจรกรรมประพฤติเป็นโจร
๑ ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
อันเป็นอุบายอุดหนุนโจรกรรม ๑
กิริยาเป็นฉายาโจรกรรมประพฤติเคลือบแฝง เป็นอาการแห่งโจร
๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น
ด้วยเพ่งความประพฤติชอบธรรมในทรัพย์สมบัติของผู้อื่นเป็นใหญ่
ในสิกขาบทที่ ๓ แก้ด้วยข้อห้ามไม่ให้ประพฤติผิดในกามทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง
และประพฤติผิดธรรมดา เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ด้วยเพ่งความประพฤติไม่ผิดประเวณีเป็นใหญ่
ในสิกขาบทที่ ๔ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ คือ มุสา กล่าวคำเท็จ ๑
อนุโลมมุสา กล่าววาจาที่เป็นตามมุสา
๑ ปฏิสสวะ รับแล้วไม่ทำตามรับ
๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ด้วยเพ่งความสัตย์เป็นใหญ่
ในสิกขาบทคำรบ ๕
แก้ด้วยข้อห้าม ๒
ประการ คือ
ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย
๑ เสพฝิ่น
กัญชา และของเมาอย่างอื่นอีก
๑
เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น
ด้วยเพ่งจะไม่ให้เสียความสำราญและ
ความดี
วิรัติ
ในบทนี้ แก้ด้วยวิรัติ คือความละเว้นข้อห้าม ๓ ประการ คือ สัมปัตตวิรัติ ความเว้นจากวัตถุที่จะพึงล่วงได้อันมาถึงเฉพาะหน้า ๑ สมาทานวิรัติ ความเว้นด้วยอำนาจการถือเป็นกิจวัตร ๑
สมุจเฉทวิรัติ ความเว้นด้วยตัดขาดมีอันไม่ทำอย่างนั้นเป็นปกติ
๑ ตามภูมิของคนผู้ปฏิบัติ
กัลยาณธรรม
ในสิกขาบทที่ ๑ แก้ด้วยเมตตากับกรุณา ที่ผู้มีศีลจะพึงแสดงเป็นพิเศษ
ในการเผื่อแผ่ให้ความสุขและช่วยทุกข์ของผู้อื่น
ในสิกขาบทที่ ๒
แก้ด้วยสัมมาอาชีวะ ความหมั่นประกอบการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ
อันเป็นเครื่องอุดหนุนผู้มีศีลให้มั่นคงอยู่ในศีล
ในสิกขาบทที่ ๓
แก้ด้วยความสำรวมในกาม ๒
ประการ คือ
สทารสันโดษ ความยินดีด้วยภรรยาของตน
สำหรับชาย ๑
ปติวัตรความจงรักในสามี สำหรับหญิง ๑
อันเป็นข้อปฏิบัติอุกฤษฏ์ยิ่งขึ้นไปกว่าศีล
ในสิกขาบทที่ ๔
แก้ด้วยความมีสัตย์ ต่างโดยอาการ ๔
สถาน คือ
ความเที่ยงธรรมในกิจการอันเป็นหน้าที่ ๑ ความซื่อตรงต่อมิตร ๑
ความสวามิภักดิ์ในเจ้าของตน ๑
ความกตัญญูในท่านผู้มีบุญคุณแก่ตน ๑ อันอุดหนุนผู้มีศีลให้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติยิ่งขึ้น
ในสิกขาบทที่ ๕ แก้ด้วยความมีสติรอบคอบ ต่างโดยอาการ
๔ สถาน คือ
ความรู้จักประมาณในอาหารที่จะพึงบริโภค ๑ ความไม่เลินเล่อในการงาน
๑ ความมีสัมปชัญญะในการประพฤติตัว
๑ ความไม่ประมาทในธรรม ๑ อันเป็นคุณพิเศษประดับผู้มีศีลให้มีความประพฤติดีงามขึ้น
ข้อเหล่านี้มีพรรณนาโดยพิสดารไปตามลำดับในบทข้างหน้า
เบญจศีล
ปาณาติปาตา เวรมณี
สิกขาบทที่ ๑
สิกขาบทนี้ ( ปาณาติปาตา
เวรมณี ) แปลว่า เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง คือเว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต
สัตว์ ประสงค์ทั้งมนุษย์และเดียรฉานที่ยังเป็นอยู่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงแก่เฒ่า
สิกขาบทนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะให้ปลูกเมตตาจิตในสัตว์ทุกจำพวก
เมื่อเพ่งเมตตาจิตเป็นใหญ่ ดังนั้น
จึงไม่ใช่เฉพาะการฆ่าให้ตายเท่านั้น แม้การทำร้ายร่างกายและการทรกรรม
ก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย
การฆ่า
การฆ่า ได้แก่การทำให้ตาย
โดยวัตถุ คือผู้ถูกฆ่า
มี ๒
อย่าง คือ
ฆ่ามนุษย์ ๑
ฆ่าเดียรฉาน ๑
โดยเจตนา คือความตั้งใจของผู้ฆ่า
มี ๒ อย่าง
คือ จงใจฆ่า ๑ ไม่จงใจฆ่า ๑
การฆ่า สำเร็จด้วยประโยค (
ความพยายาม ) ๒ อย่าง คือ ฆ่าเอง ๑ ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ๑
การใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ทั้งผู้ใช้
และผู้รับใช้มีโทษ ( ความผิด )
ฐานฆ่า ทั้งฝ่ายศาสนาและฝ่ายอาณาจักร
กรรมหนักหรือกรรมเบา
การฆ่า จัดเป็นกรรมหนัก หรือเบา เพราะวัตถุ เจตนา และประโยค
วัตถุ คือผู้ถูกฆ่า การฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิดและผู้มีคุณต่อตน เช่นบิดามารดาหรือผู้มีคุณธรรมต่อสังคม เช่นพระพุทธเจ้า
เป็นต้น มีโทษมาก
เจตนา คือความตั้งใจของผู้ฆ่า
การฆ่าด้วยอำนาจของกิเลส เช่นมิจฉาทิฏฐิ
ไม่เชื่อว่าบาปมีจริง ฆ่าด้วยอำนาจความโลภ
เช่นรับจ้างฆ่าคน ฆ่าด้วยอำนาจความพยาบาท
เช่น โกรธพ่อแม่
แล้วฆ่าเด็กไร้เดียงสา ฆ่าไม่มีเหตุผล
เช่น โกรธนักเรียนคนหนึ่ง
ต่อมาพบนักเรียนโรงเรียนนั้นซึ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไร
ก็ฆ่าเขา เป็นต้น มีโทษมาก
ประโยค คือความพยายามในการฆ่า
การทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดมาก ๆ แล้วจึงฆ่าให้ตาย
ที่เรียกว่า ฆ่าให้ตายทีละน้อย
มีโทษมาก
การทำร้ายร่างกาย
การทำร้ายร่างกาย หมายถึง การทำร้ายผู้อื่น โดยการทำให้พิการ
เสียโฉม หรือเจ็บลำบาก
แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต
ทำให้พิการ คือ
ทำให้เสียอวัยวะเป็นเครื่องใช้การ เช่นทำให้เสียนัยน์ตา
เสียแขน เสียขาเป็นต้น
ทำให้เสียโฉม คือ ทำร่างกายให้เสียรูป เสียงาม ไม่ถึงพิการ เช่นใช้มีดหรือไม้กรีดหรือตีที่ใบหน้าให้เป็นแผลเป็น
เป็นต้น
ทำให้เจ็บลำบาก คือ ทำร้ายไม่ถึงเสียโฉม
เป็นแต่เสียความสำราญ
การทำร้ายร่างกายทั้งหมดนี้ เป็นอนุโลมปาณาติบาต
ถูกห้ามด้วยสิกขาบทนี้
ทรกรรม
ข้อนี้ จะกล่าวเฉพาะเดียรฉาน
เพราะมนุษย์ไม่เป็นวัตถุอันใคร ๆ จะพึงทรกรรมได้ทั่วไป
ทรกรรม หมายความว่า
ประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์ ไม่ปราณี ดังจะชี้ตัวอย่างให้เห็นตามที่จัดเป็นแผนกดังนี้
ใช้การ หมายถึงใช้สัตว์ไม่มีปราณี
ปล่อยให้อดอยากซูบผอม ไม่ให้กิน
ไม่ให้นอน ไม่ให้หยุดพักผ่อนตามกาล
ขณะใช้งานก็เฆี่ยนตี ทำร้ายร่างกายโดยไม่มีเมตตาจิต
หรือใช้การเกินกำลังของสัตว์ เช่นให้เข็นภาระอันหนักเหลือเกิน เป็นต้น
จัดเป็นทรกรรมในการใช้การ
กักขัง หมายถึง กักขังให้อดอยาก อิดโรย หรือผูกรัดไว้จนไม่สามารถจะผลัดเปลี่ยนอิริยาบถได้
จัดเป็นทรกรรมในการกักขัง
นำไป พึงเห็นในการผูกมัด เป็ด ไก่ สุกร
หิ้วหามเอาศีรษะลง เอาเท้าขึ้น
ผู้ทำเช่นนี้จัดเป็นทรกรรมในการนำไป
เล่นสนุก พึงเห็นในการทึ้งปีก
ทึ้งขาของสัตว์ มีตั๊กแตน และจิ้งหรีด เป็นต้น เพื่อความสนุกของตน
ผจญสัตว์ พึงเห็นในการชนโค ชนกระบือ ชนแพะ ชนแกะ
ตีไก่กัดปลา กัดจิ้งหรีด
เป็นต้น
การทรกรรมสัตว์ทุกอย่าง จัดเป็นอนุโลมปาณาติบาต
ถูกห้ามด้วยสิกขาบทนี้ เช่นกัน
อทินนาทานา เวรมณี
สิกขาบทที่ ๒
สิกขาบทนี้ ( อทินนาทานา
เวรมณี ) แปลว่า เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
กิริยาที่ถือเอา หมายความว่า
ถือเอาด้วยอาการเป็นโจร
สิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ หมายความว่า
สิ่งของที่มีเจ้าของทั้งที่เป็นสวิญญาณกทรัพย์ ทั้งที่เป็น
อวิญญาณกทรัพย์อันผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ยกให้เป็นสิทธิ์ขาด
หรือสิ่งของที่ไม่ใช่ของใคร (โดยเฉพาะ)
แต่มีผู้รักษาหวงแหน ได้แก่
สิ่งของที่อุทิศบูชาปูชนียวัตถุในศาสนานั้น ๆ ของกลางในชุมชน
ของสงฆ์และของมหาชนในสโมสรสถานนั้น ๆ
สิกขาบทนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะให้เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ
เว้นจากการเบียดกันและกัน คือไม่เบียดเบียนทรัพย์สินผู้อื่น
เมื่อเพ่ง ความประพฤติชอบธรรมในทรัพย์สมบัติของผู้อื่นเป็นใหญ่
ดังนั้น จึงไม่ใช่แต่โจรกรรมเท่านั้น แม้ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
และกิริยาเป็นฉายาโจรกรรมก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย
โจรกรรม
โจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่ไม่มีผู้ให้ ด้วยอาการเป็นโจร
เช่น ปล้นสะดม ลักขโมย
ตีชิงวิ่งราว กรรโชค คือใช้อาชญาข่มขู่
และทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น
ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
อนุโลมโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่แสวงหาทรัพย์พัสดุในทางไม่บริสุทธิ์อันไม่ถึงเป็นโจรกรรม
ตัวอย่างเช่น
สมโจร ได้แก่กิริยาที่อุดหนุนโจรกรรม
เช่นรับซื้อของโจร เป็นต้น
ปอกลอก ได้แก่กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์
มุ่งหมายจะเอาแต่ทรัพย์สมบัติของเขาถ่ายเดียว เมื่อเขาหมดตัวแล้ว ก็ทิ้งไป
รับสินบน ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุที่เขาให้
เพื่อช่วยทำธุระให้แก่เขาในทางที่ผิด
เช่น เจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้ร้ายแล้วปล่อยให้พ้นความผิด
เป็นต้น
ทรัพย์พัสดุที่ได้มาด้วยมิจฉาชีพเช่นนี้
ก็เป็นดุจเดียวกันกับของที่ได้มาด้วยโจรกรรมไม่ทำความสุขให้เกิดแก่ผู้ได้
กลับเป็นปัจจัยแห่งความเสื่อมของผู้นั้น ให้เสียทรัพย์
เสียชื่อเสียง เสียยศศักดิ์ผู้รักตัวควรเว้นความหาเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรมนี้เสีย
แสวงหาทรัพย์พัสดุเลี้ยงตนและคนที่ควรจะเลี้ยงในทางที่ชอบด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม
ข้อนี้ ได้แก่กิริยาที่ทำทรัพย์พัสดุของผู้อื่นให้สูญเสีย
และเป็นสินใช้ตกอยู่แก่ตน มีประเภทดังนี้
ผลาญ ได้แก่ กิริยาทำอันตรายแก่ทรัพย์พัสดุของผู้อื่น เช่น
เผาบ้านเผารถยนต์ เผาไร่
เผานา หรือแกล้งตัดเงินเดือนและค่าจ้าง
เป็นต้น
หยิบฉวย ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุของผู้อื่นด้วยความง่าย
เช่นบุตรหลาน ผู้ประพฤติเป็นพาล เอาทรัพย์ของมารดา
บิดา ปู่ย่า ตายายไปใช้เสีย
ญาติมิตร เอาทรัพย์ของญาติมิตรไปใช้
โดยมิได้บอกให้เจ้าของรู้ เป็นต้น
ผู้หวังความสวัสดีแก่ตน
พึงเว้นกิริยาที่เป็นฉายาโจรกรรมเช่นนั้นเสีย นับถือกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นในความเป็นเจ้าของพัสดุ
ให้เหมือนตนประสงค์จะให้ผู้อื่นเขานับถือตนฉะนั้น
กรรมหนักหรือกรรมเบา
เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม อทินนาทาน จัดเป็นโทษหนักเป็นชั้นกันโดยวัตถุ
เจตนา และประโยค
โดยวัตถุนั้น ถ้าของที่ทำโจรกรรมมีราคามาก
ทำฉิบหายให้แก่เจ้าของทรัพย์มาก ก็มีโทษมาก
โดยเจตนานั้น ถ้าถือเอาด้วยโลภเจตนากล้า
ก็มีโทษมาก
โดยประโยคนั้น ถ้าถือเอาด้วยฆ่าหรือทำร้ายเจ้าของทรัพย์
หรือประทุษร้าย เคหะสถาน
และพัสดุของเขา ก็มีโทษหนัก
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี
สิกขาบทที่ ๓
สิกขาบทนี้ (กาเมสุมิจฉาจารา
เวรมณี ) แปลว่าเว้นจากประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
คำว่า กาม ในที่นี้
ได้แก่ กิริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี
ข้อนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะป้องกันความแตกร้าวในหมู่มนุษย์
และทำเขาให้ไว้วางใจกันและกัน
เมื่อเพ่งความไม่ประพฤติผิดเป็นใหญ่ จึงได้หญิงเป็นวัตถุที่ห้ามของชาย
๓ จำพวก คือ
ภรรยาท่าน ๑ หญิงผู้อยู่ในพิทักษ์รักษา
เช่น หญิงอยู่ในปกครองของบิดามารดาหรือญาติทั้งหลายผู้อยู่ในฐานะเช่นนั้น
๑ หญิงที่จารีตห้าม เช่น แม่ชี
หรือที่กฎหมายบ้านเมืองห้าม เป็นต้น ๑
หญิง ๓ จำพวกนี้
จะมีฉันทะร่วมกัน หรือมิร่วมกันไม่เป็นประมาณชายร่วมสังวาสด้วย
ก็คงเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ชายผู้ข่มขืนหญิงนอกนี้
คงไม่พ้นกาเมสุมิจฉาจาร เช่นเดียวกัน
ส่วนชายก็เป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงเหมือนกัน เมื่อยกขึ้นกล่าวก็ได้ ๒ จำพวก คือ
ชายอื่นจากสามีเป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงมีสามี
ชายที่จาริตห้ามเช่นนักบวช นักพรต เป็นต้น เป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงทั้งปวง
มุสาวาทา เวรมณี
สิกขาบทที่ ๔
สิกขาบทนี้ (มุสาวาทา
เวรมณี) แปลว่า เว้นจากมุสาวาท
ความเท็จได้ชื่อว่า มุสา
กิริยาที่พูดหรือแสดงอาการมุสา ได้ชื่อว่ามุสาวาทในที่นี้
ข้อนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะห้ามความตัดประโยชน์ทางวาจา
เพราะคนทั้งหลายย่อมชอบและนับถือความจริงด้วยกันทุกคน
ผู้พูดมุสาแก่คนอื่นจึงเป็นการตัดประโยชน์ท่าน จัดว่าเป็นบาป
เมื่อเพ่งความจริงเป็นใหญ่ ดังนั้น
จึงมิใช่แต่มุสาเท่านั้น แม้อนุโลมมุสาและปฎิสสวะ
ก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย
มุสา
ข้อนี้พึงกำหนดรู้ด้วยลักษณะอย่างนี้ วัตถุ
(เรื่อง) ที่จะกล่าวนั้นไม่เป็นจริง
ผู้กล่าวจงใจกล่าว และกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
เพื่อผู้ฟังเข้าใจผิด
การแสดงความเท็จ เพื่อผู้อื่นเข้าใจผิดนั้น
ไม่เฉพาะด้วยวาจาอย่างเดียว แม้การเขียนหนังสือ การใช้มือให้สัญญาณ
การสั่นศีรษะ เป็นต้น ก็จัดเป็นมุสาวาทได้
มุสานั้น มีประเภทที่จะพึงพรรณนาให้เห็นเป็นตัวอย่าง
ดังนี้
ปด ได้แก่มุสาจัง ๆ ไม่อาศัยมูลเลย เช่นเห็นแล้วบอกว่าไม่เห็นเป็นต้น
เรียกชื่อต่างกันตามความมุ่งหมายของผู้พูด เช่นเพื่อยุให้เขาแตกกัน
เรียกว่าส่อเสียด เพื่อจะโกงท่านเรียกว่าหลอก
เพื่อจะยกย่อง เรียกว่ายอ
พูดไว้แล้วไม่รับคำ เรียกว่า กลับคำ
เป็นตัวอย่าง
ทนสาบาน ได้แก่ กิริยาที่เสี่ยงสัตย์ว่า
จะพูด หรือจะทำตามคำสาบานแต่ไม่ได้ตั้งใจจริงดังนั้น
เช่นพยานทนสาบานแล้วเบิกคำเท็จ เป็นตัวอย่าง
ทำเล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่
กิริยาที่อวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ อันไม่เป็นจริง
เช่น อวดรู้วิชาคงกระพันว่าฟันไม่เข้า
ยิงไม่ออก เป็นต้น เพื่อให้คนหลงเชื่อถือ และพากันนิยมในตัว
เป็นอุบายหาลาภ
มารยา ได้แก่กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง
เช่นเป็นคนทุศีล ทำท่าทางให้เขาเห็นว่า
เป็นคนมีศีล
ทำเลศ ได้แก่พูดเล่นสำนวน เช่นเดินไปพบคนหนึ่งสวนทางมา แล้วเดินเลยไปจากที่พบนั้น
สมมติว่า ๒๐ วา มีคนมาถามว่า เห็นคนหนึ่งสวนทางไปไหม
ตอบว่า ข้าพเจ้าเดินมาตรงนี้ไม่เห็นใครเลยนอกจากผู้ถาม
เสริมความ ได้แก่พูดมุสาอาศัยมูลเดิม
แต่เสริมให้มากกว่าที่เป็นจริง เช่น
โฆษณาเครื่องดื่มหรืออาหารเสริมบางอย่างว่า เป็นยาชูกำลัง หรือรักษาโรคมะเร็งได้
เป็นตัวอย่าง
อำความ ได้แก่พูดมุสาอาศัยมูลเดิม
แต่ตัดข้อความที่ไม่ประสงค์จะให้รู้ออกเสีย
เพื่อทำความเข้าใจให้เป็นอย่างอื่น เช่น นักเรียนกลับจากโรงเรียนแล้วไปบ้านเพื่อน
ผู้นิสัยเหมือนกัน แล้วพากันไปเที่ยวแหล่งอบายมุข
กลับบ้านผิดเวลา บิดา มารดาถามว่า
เหตุไฉนจึงกลับบ้านเช้า เขาตอบว่าไปบ้านเพื่อน
เป็นตัวอย่าง
กรรมหนักหรือกรรมเบา
เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม มุสาวาท
จัดว่ามีโทษหนักเป็นชั้นกันโดยวัตถุ เจตนา และประโยค
โดยวัตถุ ได้แก่กล่าวมุสาแก่ท่านผู้มีคุณแก่ตน
คือ พ่อ แม่
ครู เจ้านาย และผู้มีคุณต่อส่วนรวม
คือ ผู้มีศีลธรรมมีโทษหนัก
โดยเจตนา คือ ถ้าผู้พูดคิดให้ร้ายแก่ท่าน
เช่น ทนสาบานเบิกความเท็จ กล่าวใส่ความท่าน หลอกลวงเอาทรัพย์ท่าน
เป็นต้น มีโทษหนัก
โดยประโยค คือ ถ้าผู้พูดพยายามสร้างเรื่องเท็จ เช่น
มุสาว่าจะสร้างวัด แล้วพิมพ์ใบฎีกาเรี่ยไร อ้างสถาบัน
อ้างองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาหลอกลวงทรัพย์
สินเงินทองชาวบ้านมีโทษหนัก
อนุโลมมุสา
ข้อนี้พึงกำหนดรู้ด้วยลักษณะอย่างนี้ วัตถุ
(เรื่อง) ที่จะกล่าวนั้น ไม่เป็นจริง แต่ผู้กล่าวไม่จงใจจะกล่าวให้ผู้ฟังเข้าใจผิด มีประเภทที่จะพึงพรรณนาให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดังนี้
เสียดแทง ได้แก่กิริยาที่ว่าผู้อื่นให้เจ็บใจ
ด้วยอ้างวัตถุที่ไม่เป็นจริง กล่าวยกให้สูงกว่าพื้นเพของเขา
เรียกว่า ประชด หรือกล่าวทำให้เป็นคนเลวกว่าพื้นเพของเขา
เรียกว่าด่า
สับปลับ ได้แก่พูดปดด้วยความคะนองวาจา
แต่ผู้พูดไม่ได้จงใจจะให้เขา เข้าใจผิด เช่นรับปาก หรือปฏิเสธใครง่าย ๆ แล้วไม่ปฏิบัติตามที่รับหรือปฏิเสธนั้น
ปฏิสสวะ
ปฏิสสวะ คือ เดิมรับท่านด้วยเจตนาบริสุทธิ์
คิดจะทำตามรับไว้จริง แต่ภายหลังหาทำอย่างนั้นไม่ พึงเห็นตัวอย่างดังนี้
ผิดสัญญา ได้แก่ทั้งสองฝ่ายทำสัญญาแก่กันไว้ว่า
จะทำเช่นนั้น ๆ แต่ภายหลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามข้อที่สัญญาไว้
เสียสัตย์ ได้แก่ให้สัตย์แก่ท่านฝ่ายเดียว
ว่าจะทำหรือไม่ทำเช่นนั้น แต่ภายหลังไม่ทำตามนั้น
เช่นให้สัตย์ว่าจะเลิกค้ายาบ้า แต่พอได้โอกาสก็ค้าอีกเป็นต้น
คืนคำ ได้แก่รับปากท่านว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
แต่ไม่ทำตามพูด เช่นรับปากจะให้สิ่งนั้น
ๆ แก่ท่านแล้วหาให้ไม่
สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี
สิกขาบทคำรบ ๕
สิกขาบทนี้ (สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา
เวรมณี) แปลว่าเว้นจากดื่มน้ำเมา
คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
โทษของสุราและสิ่งมึนเมา
สุราทำ
ให้เกิดความเมา
ความเมา
ทำให้ขาดสติ
ความขาดสติ ทำให้หลงผิด
ความหลงผิด เป็นเหตุให้พูดผิดและทำผิด
ผู้พูดผิด ทำผิด
ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะฉะนั้น สุราและสิ่งมึนเมาทุกชนิด
จึงไม่ควรดื่ม และไม่ควรเสพ
แต่นักดื่ม และนักเสพสิ่งเสพติดทั้งหลายมักจะเห็นผิดเป็นชอบ
มองเห็นสิ่งที่มีโทษว่ามีคุณ มองสุราว่าทำให้ลืมความทุกข์ได้
จึงตั้งชื่อว่า บรมสร่างทุกข์
มองฝิ่นว่าเสพแล้วทำให้เป็นคนอารมณ์เยือกเย็น ไม่อาทรร้อนใจอะไร จึงตั้งชื่อให้ว่า สุขไสยาศน์ มองกัญชาว่า สูบแล้วทำให้จิตไร้วิตกกังวล นอนหลับได้สนิท
จึงตั้งชื่อให้ว่า เทวราชบรรทม
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น การที่เขาลืมความทุกข์ก็ดี
การที่เขานอนอย่างมีความสุขก็ดี การที่จิตใจของเขาไร้ความวิตกกังวลกับสิ่งต่าง
ๆ ก็ดี ล้วนเป็นผลมาจากการเมาสุราและยาจนขาดสติสัมปชัญญะ
ที่จะรู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีทั้งสิ้น
เมื่อฤทธิ์สุราและยาหมดไป จิตใจก็กลับทุกข์อย่างเดิม
ต้องเสียทรัพย์ไปซื้อหาสิ่งเหล่านั้นมาเสพอีก ทั้งทำให้เป็นคนเกียจคร้าน ไม่ประกอบอาชีพการงาน
มีแต่ล้างผลาญทรัพย์อย่างเดียว
ดังนั้น ที่ถูกสุราควรตั้งชื่อว่า บรมสร้างทุกข์ ฝิ่นควรตั้งชื่อว่าสุขพินาศ
กัญชาควรตั้งชื่อว่า ปีศาจน์บรรทม
รวมสุราและยาเสพติดทุกอย่างควรตั้งชื่อว่า บรมล้างผลาญ เพราะผลาญทรัพย์สิน
เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง
และคุณงามความดี จนหมดสิ้น เพราะฉะนั้น สุราและสิ่งเสพติดทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรดื่ม
ไม่ควรเสพ หรือแม้แต่เพียงจะทดลอง
วิรัติคือความละเว้น
บุคคลผู้เว้นจากข้อห้ามในสิกขาบท ๕ ประการนั้น
ได้ชื่อว่า ผู้มีศีล
กิริยาที่เว้นเรียกว่าวิรัตินั้นมี ๓
ประเภท คือ ๑.
สัมปัตตวิรัติ ๒.
สมาทานวิรัติ ๓. สมุจเฉทวิรัติ
๑. สัมปัตตวิรัติ แปลว่า ความละเว้นจากวัตถุอันถึงเข้า
โดยไม่ได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ล่วงหน้า
แต่บุคคลนั้นพิจารณาเห็นการที่ทำดังนั้นไม่สมควรแก่ตนโดยชาติตระกูล ยศศักดิ์ ทรัพย์ บริวาร ความรู้ หรือมีใจเมตตาปรานี
คิดถึงเราบ้าง เขาบ้าง มีหิริ คือความละอายแก่ใจ มีโอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวจะได้บาป หรือคิดเห็นประโยชน์ในการเว้นอย่างอื่น ๆ อีก
และเขาไม่กระทำกรรมเห็นปานนั้น
ส่วนบุคคลผู้ไม่มีโอกาสจะทำ เช่น
คนหัวขโมยยังไม่ได้ท่วงที ยังลักของเขาไม่ได้
จึงเว้นไว้ก่อน ดังนี้ ไม่จัดว่าเป็นวิรัติเลย
๒. สมาทานวิวัติ แปลว่า ความละเว้นด้วยการสมาทาน
ได้แก่ความละเว้นของพวกคนจำศีล เช่น
ภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา เป็นต้น
การงดเว้นจากวัตถุอันถึงเข้า ด้วยเห็นว่า
ไม่สมควรจะทำ และการงดเว้นด้วยการสมาทาน
คือ การไม่ล่วงข้อห้ามของนักบวช
นักพรตทั้งหลาย นอกจากจะจัดเป็นวัติแล้ว
ยังจัดเป็นพรต คือ ข้อควรประพฤติของเขาด้วย
๓. สมุจเฉทวิรัติ
แปลว่า ความละเว้นด้วยตัดขาด
ได้แก่ ความเว้นของพระอริยเจ้า ผู้มีปกติไม่ประพฤติล่วงข้อห้ามเหล่านั้นจำเดิมแต่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า
ศีล ๕ ประการนี้ เป็นวินัยในพระพุทธศาสนา
สาธารณะแก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ทั้งสองฝ่าย
ผู้ถือพระพุทธศาสนาแท้จริง ย่อมรักษายิ่งบ้าง หย่อนบ้าง ตามภูมิของเขา ฝ่ายผู้ไม่ได้รักษาเสียเลย จะเป็นได้ดีที่สุดก็แต่เพียงผู้สรรเสริญพระพุทธศาสนาเท่านั้น
เบญจกัลยาณธรรม
ผู้เว้นจากข้อห้ามทั้ง ๕ ดังกล่าวมา ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีศีล ผู้มีศีลย่อมไม่ทำหรือพูดอะไรที่สร้างความทุกข์
ความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง และผู้อื่น
แต่จะได้ชื่อว่ามีกัลยาณธรรมทั่วทุกคน
หามิได้ ต่างว่าคนมีศีลผู้หนึ่ง
พบคนเรือล่มว่ายน้ำอยู่เขาสามารถจะช่วยได้ แต่หามีจิตกรุณาช่วยเหลือไม่ และคนนั้นไม่ได้ความช่วยเหลือจึงจมน้ำตาย
เช่นนี้ ศีลของเขาไม่ขาด แต่ปราศจากกรุณา ยังเป็นที่น่าติเตียน
เพราะส่วนนั้น จะจัดว่าเขามีกัลยาณธรรมไม่ได้
ถ้าเขาเห็นดังนั้นแล้ว มีกรุณาเตือนใจ
หยุดช่วยคนนั้นให้พ้นอันตรายเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่า
มีทั้งศีล มีทั้งกัลยาณธรรม
กัลยาณธรรมนั้น แปลว่า ธรรมอันงาม กล่าวโดยความก็คือ ข้อปฏิบัติพิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าศีล ได้ในสิกขาบทนั้น
ๆ เอง
ในสิกขาบทที่ ๑ ได้กัลยาณธรรม
คือ เมตตากับกรุณา
ในสิกขาบทที่ ๒ ได้กัลยาณธรรม
คือ สัมมาอาชีวะ
ในสิกขาบทที่ ๓ ได้กัลยาณธรรม
คือ ความสำรวมในกาม
ในสิกขาบทที่ ๔ ได้กัลยาณธรรม
คือ ความมีสัตย์
ในสิกขาบทที่ ๕ ได้กัลยาณธรรม
คือ ความมีสติรอบคอบ
กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ต้น
เมตตา ได้แก่ ความคิดปรารถนาจะให้เขานั้นเป็นสุข
ตนได้สุขสำราญแล้ว ก็อยากให้ผู้อื่นได้บ้าง
คุณข้อนี้เป็นเหตุให้สัตว์คิดเกื้อกูลกันและกัน
วัด โรงเรียน โรงพยาบาล โรงเลี้ยงเด็ก
สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ มูลนิธิการกุศลต่าง ๆ
เป็นต้น ล้วนเกิดมาจากความคิดเผื่อแผ่ความสุขให้แก่ผู้อื่นทั้งสิ้น
จึงได้บริจาคทรัพย์ของตนสร้าง ปฏิสังขรณ์หรือทำนุบำรุง สถานที่นั้น ๆ
สำหรับผู้อื่นได้รับประโยชน์บ้าง
ผู้ใด ถึงเวลาที่ผู้อื่นควรจะได้เมตตาจากตัว
อาจอยู่และหาเหตุขัดข้องมิได้ แต่หาแสดงไม่ เช่นมีลูกแล้วยังไม่เอาเป็นธุระเลี้ยงดูรักษา
พบคนขัดสนอดข้าวไม่มีจะบริโภคมาถึงเฉพาะหน้าและตนอาจอยู่ แต่หาให้ไม่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าคนใจจืด
เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวมีหนี้ของโลกติดตัวอยู่เพราะได้รับอุปการะของโลกมาก่อนแล้ว
เมื่อถึงเวลาเข้าบ้างไม่ตอบแทน
กรุณา ได้แก่ ความคิดปรารถนาจะให้เขาปราศจากทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์เกิดแก่ผู้อื่น
ก็พลอยหวั่นใจไปด้วย คุณข้อนี้เป็นเหตุให้สัตว์คิดช่วยทุกข์ภัยของกันและกัน
การแสดงกรุณานี้ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนควรกระทำ
เพราะตนเองก็เคยได้รับกรุณาแต่ท่านผู้อื่นมาแล้ว เป็นต้นว่า เมื่อยังเล็กมารดา
บิดา หรือท่านผู้อื่นผู้บำรุงเลี้ยงก็คอยป้องกันอันตรายต่าง
ๆ ที่จะพึงมีมา เช่น
เจ็บไข้ก็ขวนขวายหาหมอรักษา เป็นต้น
และตนเองก็ยังหวังกรุณาดังนั้นของท่านผู้อื่นต่อไปข้างหน้าอีก
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องแสดงกรุณาแก่ ผู้อื่นเช่นนั้นบ้าง
จึงควรทำ
ผู้ใดอาจอยู่แต่หาแสดงไม่ เช่นเห็นคนเรือล่มที่น่ากลัวจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
และไม่ช่วยดังแสดงมาแล้วในหนหลัง
หรือพบคนเจ็บไข้ตามหนทางไม่มีใครอุปถัมภ์ผ่านไปด้วยไม่สมเพชและไม่ขวนขวายอย่างหนึ่งอย่างใด
ผู้นั้นได้ชื่อว่าคนใจดำ มีแต่เอาเปรียบโลก มีแต่หวังอุปการะของโลกข้างเดียว
เมื่อถึงเวลาเขาบ้าง เฉยเสียไม่ตอบแทน
การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การไถ่ชีวิตสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์
การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นต้น ล้วนเกิดจากจิตใจที่มีความกรุณาทั้งสิ้น
ความมีเมตตากรุณาแก่กันและกัน เป็นธรรมอันงามก็จริง
ถึงอย่างนั้น ผู้จะแสดงควรเป็นคนฉลาดในอุบาย ประโยชน์จึงจะสำเร็จ ถ้าไม่ฉลาด
มุ่งแต่จะเมตตากรุณาอย่างเดียว บางอย่างก็เกิดโทษได้
เช่นเห็นเขาจับผู้ร้ายมา คิดแต่จะให้ผู้ร้ายรอดจากอาญาแผ่นดิน
และเข้าแย่งชิงให้หลุดไปดังนี้ เป็นการเมตตากรุณาที่ผิด
และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย จึงเป็นกิจที่ไม่สมควรทำ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรตั้งอยู่ในอุเบกขา
ถือเสียว่า เขามีกรรมเป็นของเขา
การแสดงเมตตากรุณานี้ บุคคลประกอบให้ถูกที่แล้ว
ย่อมอำนวยผลอันดีให้แก่ผู้ประกอบและผู้ได้รับ ทำความปฏิบัติของผู้มีศีลให้งามขึ้น เหมือนดังเรือนแหวน
ประดับหัวแหวนให้งามขึ้น ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า
เป็นกัลยาณธรรม ในสิกขาบทที่ต้น
กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๒
สัมมาอาชีวะ ได้แก่ความเพียรเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ
คุณข้อนี้ อุดหนุนผู้มีศีลให้สามารถรักษาศีลให้มั่นคง
แท้จริง ผู้มีศีลแม้เว้นการหาเลี้ยงชีวิต
โดยอุบายที่ผิดแล้ว ก็ยังต้องประกอบด้วยกิริยาที่ประพฤติเป็นธรรม
ในการหาเลี้ยงชีวิตด้วย
กิริยาที่ประพฤติเป็นธรรมในการหาเลี้ยงชีวิตนี้ พึงเห็นในกิจการในบุคคล และในวัตถุดังจะพรรณนาไปตามลำดับ
ความประพฤติเป็นธรรมในกิจการนั้น เช่นผู้ใด
เป็นลูกจ้างก็ดี หรือได้รับผลประโยชน์เพราะทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี
ผู้นั้น ย่อมทำการอันเป็นหน้าที่ของตนนั้น
ด้วยความอุตสาหะเอาใจใส่ และด้วยความตั้งใจจะให้การนั้นสำเร็จด้วยดี
และ การทำเต็มเวลาที่กำหนดไว้สำหรับทำการ มาเช้าก่อนกำหนด เลิกทีหลังกำหนด
และในกำหนดที่ทำก็ไม่บิดพลิ้ว หลีกเลี่ยงจากการงาน
ดังนี้ได้ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในกิจการ
ความประพฤติเป็นธรรมในบุคคลนั้น เช่นบุคคลได้เป็นผู้ดูการ
มีผู้อื่นเป็นลูกมืออยู่ใต้บังคับ ผู้นั้น
เมื่อจับจ่ายค่าจ้าง ย่อมให้ตามสัญญา
หรือตามแรงของเขา อีกอย่างหนึ่ง
เช่นผู้ขายของ เมื่อซื้อสินค้าแล้ว
กำหนดว่า จะเอากำไรร้อยละเท่าไรแล้ว
และกำหนดราคาสิ่งของลงไว้ผู้ใด ผู้หนึ่งมาซื้อ
เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงก็ตาม เป็นคนสามัญก็ตาม
ก็ขายเท่าราคานั้นยั่งยืนเสมอไป
ไม่ประพฤติเป็นคนเห็นแก่ได้ เช่นเห็นคนเซอะซะมา
ไม่รู้ราคาสิ่งของก็บอกผ่านราคาแพง ๆ ถ้าเห็นคนซื้อมีไหวพริบก็ขายตามตรง
ดังนี้ได้ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในบุคคล
ความประพฤติเป็นธรรมในวัตถุนั้น เช่นคนขายของ
ขายสิ่งอะไร เช่น นม เนย น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง
เป็นต้น เป็นของแท้หรือของปน
ก็บอกตามตรงไม่ขายของปนอย่างของแท้ การขายของปลอม
เช่นนี้ไม่เป็นเพียงลวงให้ผู้ซื้อเสียทรัพย์เต็มราคา ยังหักประโยชน์ของผู้ซื้อให้เสียด้วย เช่นจะต้องการน้ำผึ้งแท้ไปทำยา
ได้น้ำผึ้งปนมาทรัพย์ก็ต้องเสียเท่าราคาน้ำผึ้งแท้ และน้ำผึ้งปนนั้น ก็เป็นกระสายยาไม่ดี
มิเหมือนน้ำผึ้งแท้
อนึ่ง ของกินที่ล่วงเวลาเป็นของเสียแล้ว
จะให้โทษแก่ผู้กิน ก็ไม่แต่งปลอมเป็นของดีขาย
ขายของเช่นนี้ร้ายกว่าข้างต้น อาจทำให้ผู้กินเสียชีวิต
หรือเจ็บไข้ได้ทุกข์ ข้อนี้พึงเห็นตัวอย่างในแกงที่ค้างคืนบูดแล้วอุ่นขายอีก
อีกอย่างหนึ่ง เช่นทำสัญญารับจะสร้างเรือน
และมีกำหนดว่า จะใช้ของชนิดนั้น ๆ
ก็ทำตรงตามสัญญา ไม่ยักเยื้องไม่ผ่อนใช้ของชั้นที่
๒ แทนของชั้นที่ ๑ ดังนี้ ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในวัตถุ
ควรเว้นการงานอันประกอบด้วยโทษ
ผู้จะเลือกหาการงาน ควรเว้นการงานอันประกอบด้วยโทษเสีย
แม้เป็นอุบายจะได้ทรัพย์มาก เหตุทรัพย์ที่เกิดเพราะการงานประกอบด้วยโทษนั้น
ไม่ยังประโยชน์ของทรัพย์ให้สำเร็จเต็มที่
อีกข้อหนึ่ง การงานที่ต้องเสีย
เช่น การพนัน ก็ไม่ควรเลือก
เหตุว่า พลาดท่าก็ฉิบหาย ถ้าได้ ทรัพย์นั้นก็ไม่ถาวรด้วยเหตุ
๒ ประการ (๑) เป็นของได้มาง่าย ความเสียดายน้อย จับจ่ายง่าย
เก็บไม่ค่อยอยู่ (๒) ความอยากได้ไม่มีที่สุด ได้มาแล้วก็คงอยากได้อีก
เคยได้ในทางใด ก็คงหาในทางนั้นอีก
เมื่อลงเล่นการพนันไม่หยุด จะมีเวลาพลาดท่าลงสักคราวหนึ่งก็เป็นได้
เหตุดังนั้น ควรเลือกหาการงานที่จะต้องออกกำลังกาย
กำลังความคิดหรือออกทรัพย์ที่ให้ผู้นั้นรู้สึกว่า ต้องลงทุน เมื่อได้ทรัพย์มาจะได้รู้จักเสียดาย
ไม่ใช้สอยสุรุ่ยสุร่ายเสีย
ควรรักษาทรัพย์ให้พ้นอันตรายและใช้จ่ายพอสมควร
ทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่นทำการงานนั้น จะเจริญมั่งคั่งก็เพราะเจ้าของเอาใจใส่รักษาให้พ้นอันตรายต่าง ๆ
ที่เกิดแต่เหตุภายในคือตนเอง หรือบุตรภรรยาใช้สอยให้สิ้นเสีย
เพราะเหตุไม่ จำเป็น
และเกิดแต่เหตุภายนอก เช่น
โจรนำไปเสียหรือไฟผลาญเสีย เป็นต้น และเจ้าของควรจับจ่ายใช้สอยแต่พอสมควรไม่ฟูมฟายเกินกว่าที่หาได้
หรือเกินกว่าที่ต้องการ และไม่เบียดกรอจนถึงกับ
อดอยาก
ขยันทำงานสนับสนุนการรักษาศีล
ผู้ประกอบการงาน พึงมีอุตสาหะอย่าท้อถอย
จงดูเยี่ยงแมลงผึ้งบินหาเกสรดอกไม้ นำมาทีละน้อย ๆ
ยังอาจทำน้ำผึ้งไว้เลี้ยงตัว และลูกน้อยได้ตลอดฤดูหนาวที่กันดารด้วยดอกไม้
เมื่อเขาหมั่นทำการงาน ได้ทรัพย์มาจับจ่ายเลี้ยงตนและครอบครัวบ้าง
เก็บไว้เพื่อเหตุการณ์ข้างหน้าบ้างเสมอไป
ถึงไม่มากแต่เพียงคราวละน้อย ๆ ก็พอจะทำตนให้เป็นสุขสำราญ
และไม่ต้องประกอบการทุจริตเพราะความเลี้ยงชีวิตเข้าบีบคั้น
เป็นอันรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้
ดังนี้แล สัมมาอาชีวะ เป็นคุณอุดหนุนศีลให้บริสุทธิ์มั่นคง
จึงได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทที่
๒
กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๓
ความสำรวมในการนั้น ได้แก่กิริยาที่ระมัดระวัง
ไม่ประพฤติมักมากในกามคุณข้อนี้ส่องความบริสุทธิ์ผ่องใสของชายหญิง
ให้กระจ่างแจ่มใส เพราะชายหญิงผู้เว้นจากกาเมสุมิจฉาจารแล้ว
แต่ยังประพฤติมักมากอยู่ในกาม ย่อมไม่มีสง่าราศรีตกอยู่ในมลทิน
ไม่พ้นจากความติฉันไปได้
ธรรมข้อนี้แยกตามเพศของคน ดังนี้
สทารสันโดษ คือ ความสันโดษด้วยด้วยภรรยาของตน เป็นคุณสำหรับประดับชาย
ปติวัตร คือ ประพฤติเป็นไปในสามีของตน เป็นคุณสำหรับประดับหญิง
ชายได้ภรรยาแล้ว มีความพอใจด้วยภรรยาของตน
ช่วยกันหาเลี้ยงชีวิต เลี้ยงดูกันไปไม่ละทิ้ง ไม่ผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่นอีกต่อไป ดังนี้ ได้ชื่อว่า
สันโดษด้วยภรรยาของตนเป็นอย่างอุกกฤษฏ์
ฝ่ายหญิง ได้สามีแล้ว
เอาใจใส่บำเรอสามีของตนทุกอย่างตามที่ภรรยาจะทำให้ดีที่สุด
ผูกสมัครรักใคร่แต่ในสามีของตน ที่สุดสามีของตนตายไปก่อนแล้ว
ด้วยอำนาจความรักใคร่นับถือในสามีผู้ตายไปแล้ว เขาคงตัวเป็นหม้ายอยู่ดังนั้นไม่มีสามีใหม่
ไม่ผูกสมัครรักใคร่ในชายอื่นด้วยความปฏิพัทธ์อีกต่อไป หญิงผู้นี้ ได้ชื่อว่า มีปติวัตร
ประพฤติเป็นไปในสามีของตน
ความสำรวมในกาม ส่องความประพฤติดีงามของชายหญิงยิ่งขึ้น
จึงได้ชื่อว่า กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่
๓
กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๔
ความมีสัตย์นั้น ได้แก่กิริยาที่ประพฤติตนเป็นคนตรงมีอาการที่จะพึงเห็นในข้อต่อไปนี้
ความเที่ยงธรรม คือประพฤติเป็นธรรมในกิจการอันเป็นหน้าที่ของตน
ไม่ทำให้ผิดกิจ ด้วยอำนาจอคติ
๔ ประการ คือ ฉันทาคติ ความเห็นแก่กัน ๑ โทสาคติ ความเกลียดชังกัน ๑ โมหาคติ ความหลงไม่รู้ทัน ๑ ภยาคติ ความกลัว พึงเห็นตัวอย่างผู้พิพากษา
ผู้วินิจฉัยอรรถคดีโดยเที่ยงธรรม เป็นต้น
ความซื่อตรง คือความประพฤติตรงต่อบุคคลผู้เป็นมิตร
ด้วยการอุปการะเกื้อหนุนร่วมสุขร่วมทุกข์ คอยตักเตือนให้สติ แนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์
มีความรักใคร่กันจริง ไม่คิดร้ายต่อมิตร
เช่น ปอกลอกเอาทรัพย์สินเงินทองเป็นต้น
มิตรเช่นนี้ได้ชื่อว่า ซื่อตรงต่อมิตร
ความสวามิภักดิ์ คือความรักในเจ้า
(เจ้านายผู้ใหญ่) ของตน เมื่อได้ยอมยกบุคคลใดเป็นเจ้าของตนแล้ว ก็ประพฤติซื่อสัตย์ไม่คิดคดต่อบุคคลนั้น
มีใจจงรัก เป็นกำลังในสรรพกิจ
และป้องกันอันตราย แม้ชีวิตก็ยอมตายแทนได้
ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้วแก่ตน เป็นคู่กับความกตเวที
คือ ความตอบแทนให้ท่านทราบว่า ตนรู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้ว
บุคคลผู้ได้รับอุปการะจากท่านผู้ใดแล้ว ยกย่องนับถือท่านผู้นั้น
ตั้งไว้ในที่ผู้มีบุญคุณ เช่น มารดา บิดา
อาจารย์ เจ้านายเป็นต้น
ไม่แสดงอาการลบหลู่ และยกตนเทียบเสมอ
ได้ชื่อว่าคนกตัญญู
ความมีสัตย์ ทำผู้มีศีลให้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติยิ่งขึ้น
ดังนี้ จึงได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๔
กัลยาณธรรมสิกขาบทคำรบ ๕
ความมีสติรอบคอบนั้น ได้แก่ความมีสติ
ตรวจตราไม่เลินเล่อ มีอาการที่จะพึงเห็นในข้อต่อไปนี้
๑. ความรู้จักประมาณในอาหารที่จะพึงบริโภค
หมายถึง รู้จักเว้นอาหารที่แสลงโรค
บริโภคอาหารแต่พอดี และรู้จักประมาณในการจับจ่ายหาอาหาร
บริโภคแต่พอสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้
๒. ความไม่เลินเล่อในการงาน
คือไม่ทอดธุระเพิกเฉยเสีย เอาใจใส่คอยประกอบให้ชอบแก่กาลเทศะ
ไม่ปล่อยให้อากูลเสื่อมเสีย เช่นทำนาก็ต้องทันฤดู
ค้าขายก็ต้องรู้คราวที่คนต้องการหรือไม่ต้องการของนั้น ๆ
รับราชการก็ต้องเข้าใจวิธีดำเนินและรักษาระเบียบ เป็นต้น
๓. ความมีสติสัมปชัญญะในการประพฤติตัว
หมายถึงความรอบคอบ รู้จักระวังหน้าระวังหลัง
จะประกอบกิจใด ๆ ก็ตริตรองให้เห็นก่อนว่า
จะมีคุณหรือมีโทษ จะมีประโยชน์หรือจะเสียประโยชน์
อันจะควรทำหรือไม่ควรทำ ถ้าเห็นว่าไม่ควรทำก็งดเสียถ้าเห็นว่าควรทำ
จึงทำ
ถึงจะพูดอะไรก็ระวังวาจา ลั่นออกมาแล้วไม่ต้องคืนคำ
และไม่ให้นำแต่ความเสียหายมาให้ตัวและผู้อื่น
ถึงจะคิดอะไรก็อาศัยหลักฐาน ไม่ปล่อยให้พล่านไปตามกำลังความฟุ้ง
บุคคลมีสัมปชัญญะ ตรวจทางได้ทางเสียก่อนแล้วจึงทำกิจนั้น
ๆ เช่นนี้
ย่อมมีปกติทำอะไรไม่ผิดในกิจที่เป็นวิสัยของคน
๔. ความไม่ประมาทในธรรมะ
หมายถึงไม่ประมาทในธรรม คือสภาวะอันเป็นอยู่ตามธรรมดาของโลก
อธิบายว่า กิริยาที่ร่างกายวิปริตแปรผัน
จากหนุ่มสาวมาเป็น ผมหงอก ฟันหลุดเนื้อหนังหย่อนเป็นเกลียว
ตกกระ หลังโกง ตามืด หูตึง ใจฟั่นเฟือนหลงใหล
มีกำลังน้อยถอยลง ชื่อว่าชรา ความไม่ผาสุกเจ็บไข้ไปต่าง ๆ
ของสังขารร่างกาย ชื่อว่า
พยาธิ กิริยาที่ธาตุทั้ง ๔ ชราพยาธิ และมรณะทั้ง ๓ นี้ เป็นสภาวะของสังขารอย่างหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีอุบายแก้ไขให้ไม่แก่ไม่เจ็บ
ไม่ตาย ตั้งแต่กาลนานมา จนถึงปัจจุบันนี้
ผู้หยั่งรู้ธรรมดาของสังขารเช่นนี้แล้ว ไม่เลินเล่อมัวเมาในวัย
ในความสำราญ และในชีวิต
เตรียมตัวที่จะรับทุกข์ ๓ อย่างนี้ อันจะมาถึง เมื่อยังเป็นเด็ก รีบศึกษาแสวงหาวิชาความรู้ไว้เป็นเครื่องมือ
เติบใหญ่หมั่นทำการงาน สั่งสมเมื่อชรา
พยาธิ ครอบงำ ไม่อาจทำการหาเลี้ยงชีพได้ ก็จะได้อาศัยทรัพย์และชื่อเสียงคุณความดี
ที่ได้สั่งสมไว้เลี้ยงชีพให้ตลอดไปโดย ผาสุข
เมื่อมรณะมาถึง ก็จะได้ไม่ห่วงใยพะวักพะวน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการของคนหลงตายเช่นนี้ได้ชื่อว่า
ไม่ประมาทในธรรม คือสภาวะอันเป็นอยู่ตามธรรมดาของโลก
อีกประการหนึ่ง ทุจริต
คือ ความประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา และใจ
ย่อมให้ ผลแก่ผู้กระทำ
ล้วนแต่เป็นส่วนที่ไม่น่าปรารถนา รักใคร่ พึงใจใคร ๆ จะเลินเล่อเสียว่า
ตนทำแต่เล็กน้อยไม่เป็นไร ไม่พอจะให้ผลทำให้ตนเสีย
ดังนั้นไม่ชอบ มากมาแต่ไหน
ก็มาแต่น้อยก่อน เขาทำทีละน้อยย่ามใจเข้า
ความชั่วก็สะสมมากขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง สุจริต คือ ความประพฤติชอบด้วยกาย
วาจา ใจ ย่อมให้ผลแก่ผู้ทำ
ล้วนแต่ส่วนที่น่าให้ปรารถนา รักใคร่
พึงใจ ใคร ๆ จะเห็นว่า
ทำแต่เพียงเล็กน้อย ที่ไหนจะให้ผล
ดังนี้แล้ว จะท้อถอยและทอดธุระเสีย
ไม่สมควร แต่หมั่นทำบ่อย ๆ เข้า
ความดีก็ สะสมมากขึ้น
น้ำฝนที่ตกทีละหยาด ๆ ยังเต็มภาชนะที่รองได้ ควรถือเป็นเยี่ยงอย่าง ผู้ไม่วางธุระ
คอยระวังตัว
ไม่ให้เกลือกกลั้วด้วยทุจริต หมั่นสั่งสมสุจริต
เช่นนี้ก็ได้ชื่อว่า ไม่ประมาทในธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
อีกประการหนึ่ง คนทั้งหลายผู้เกิดมา
ได้ชื่อว่าที่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ
ก็เป็นธรรมดาที่จะได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นที่น่าปรารถนาบ้าง
ไม่ปรารถนาบ้าง เรียกว่า โลกธรรม
แปลว่า ธรรมสำหรับโลก
ส่วนที่น่าปรารถนา คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้ความสรรเสริญ
ได้สุข ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา
คือ ขาดลาภ ขาดยศ
ได้นินทา ได้ทุกข์ เปรียบเหมือนคนเดินทางไปไหน ๆ ก็ย่อมจะได้พบสิ่งต่าง
ๆ ในระหว่างทางที่น่าดูน่าชมบ้าง ไม่น่าดูไม่น่าชมบ้าง
โลกธรรมนี้เป็นสิ่งที่จะพึงประสบชั่วเวลา
ไม่ควรจะเก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นเหตุทะเยอทะยาน
หรือซบเซาด้วยอำนาจความยินดียินร้ายให้เกินกว่าที่ควรจะเป็น เช่น แสดงอาการด้วยกายหรือวาจาให้ปรากฏ
เมื่อทำเช่นนั้นไป ก็แสดงความมีใจอ่อนแอของตนเองหาสมควรไม่
ผู้ไม่เลินเล่อ คอยระวังไม่ให้โลกธรรมครอบงำใจ
จนถึงแสดงวิการให้ปรากฏ เช่นนี้ได้ชื่อว่า
ไม่ประมาทในธรรมที่มีสำหรับโลก ความมีสติรอบคอบประดับผู้มีศีล
ให้มีความประพฤติดีงามขึ้น จึงได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทคำรบ
๕
คนผู้ตั้งอยู่ในกัลยาณธรรม ได้ชื่อว่า
กัลยาณชน คือคนมีความประพฤติดีงาม
ควรเป็นที่นิยมนับถือ และเป็นเยี่ยงอย่างของคนทั้งปวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น