ช่วยกันระวังไว้ อย่าไพล่เอาพุทธถอยลงไปเข้าลัทธิลึกลับ
คัดมาบางส่วนจากหนังสือของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ก่อนจะพูดถึงเรื่องลัทธิลึกลับ ควรนึกถึงสภาพทั่วไปทางศาสนาอันเป็นภูมิหลังที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นสักเล็กน้อยสังคมอินเดียยุคใกล้พุทธกาลนั้น
นอกจากอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์แล้ว ก็มีการแสวงหาทางจิตใจกันมากพระพุทธเจ้าเองนอกจากทรงอยู่ในบรรยากาศของสังคมอย่างนั้นแล้วเมื่อออกผนวช
ก็ได้เสด็จไปศึกษาปฏิบัติทดลองวิธีการของสำนักต่างๆบางอย่างก็ทรงนำมาใช้ประโยชน์
แต่หลายอย่างทีเดียวที่ได้ทรงปฏิเสธและทรงพยายามเลิกล้มหรือแก้ไขเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่นิยมกันมากในยุคนั้น
ถึงกับใช้วัดความเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงรังเกียจ ดังที่ตรัส
ในเรื่องปาฏิหาริย์ ๓ (ที.สี.๙/๓๓๘-๓๕๐/๒๗๒-๒๘๓)
และครั้งที่พระมหาสาวกชื่อปิณโฑลภารัทวาช แสดงฤทธิ์ครั้งใหญ่ แก่ชาวเมืองราชคฤห์ด้วยความหวังดีต่อพระศาสนา
ผู้คนพากันเลื่อมใสศรัทธามาก
พระพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิอย่างแรงว่าเป็นการไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
เปรียบเหมือนสตรีที่อวดแสดงของสงวน เพราะเห็นแก่เงินทอง
และทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่คฤหัสถ์
(วินย.๗/๓๑-๓๓/๑๓-๑๖)๑
๑ เนื่องจากยุคนั้นคนนิยมอิทธิปาฏิหาริย์มาก และถึงกับใช้อิทธิปาฏิหาริย์นั้นวัดความเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าในฐานะองค์พระศาสดาผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ต้องทรงผจญกับเรื่องเหล่านี้มาก
จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องทรงมีความสามารถด้านนี้ประกอบด้วย
จึงมีเป็นครั้งคราวที่ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการ
ประกาศพระศาสนา แต่โดยมากทรงใช้ฤทธิ์เพื่อปราบความเมาฤทธิ์
เพื่อให้เขายอมรับฟังและไม่มีการใช้ฤทธิ์เพื่อบันดาลผลที่ปรารถนาให้แก่ผู้ใด พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในแง่ว่าเป็นจริงหรือไม่
แต่ข้อสำคัญคือมีท่าทีเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนว่า ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงจะทำได้จริง
ชาวพุทธก็ไม่หวังพึ่ง และไม่มัววุ่นวายด้วย เพราะมีโทษหลายอย่าง โดยเฉพาะ
๑. ทำให้อ่อนแอ มัวแต่หวังผลจากการดลบันดาล ไม่หวังผลจากการกระทำ
ไม่เพียรทำการให้สำเร็จด้วยเรี่ยวแรงการกระทำของตน (ขัดหลักกรรม)
๒. ทำให้ไม่มุ่งมั่นแน่วแน่ไปในการฝึกฝนพัฒนาตน
ที่จะทำให้สามารถทำการให้สำเร็จด้วยกำลังสติปัญญาของตน เมื่อไม่คิดไม่ทำ
พฤติกรรมจิตใจและปัญญาก็ไม่พัฒนา(ขัดหลักไตรสิกขา)
๓. ทำให้ติดนิสัยหวังพึ่งผู้อื่น หรือรอคอยอำนาจบันดาลผลจากภายนอก
ต้องพึ่งพานอกจากเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว วงการศาสนาและผู้คนที่เข้ามาสัมผัสกับศาสนา
มักจะโน้มเอียงไปทางด้านความรู้สึกหรือในเรื่องที่เป็นด้านอารมณ์มาก
คือชื่นชมหรือไปติดอยู่กับความรู้สึกที่ดีๆ อย่างลึกซึ้งดื่มด่ำหรือรุนแรง
โดยเฉพาะ
๑. ศรัทธา เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง เลื่อมใส เชื่อมั่น มีกำลังใจขนลุกขนพอง
ตื่นเต้น อัศจรรย์ เห็นตาม คล้อยตาม จนถึงยึดมั่นว่าจะต้องให้เป็นอย่างนั้น
๒. สุขซึ้ง มีความรู้สึกอิ่มใจ เอิบอาบซาบซ่าน ดื่มด่ำ รู้สึกว่าเข้าถึงอะไรบางอย่าง
และเป็นสุขอย่างลึกซึ้งความรู้สึก ๒ อย่างนี้ เป็นคุณค่าทางจิตใจ ที่ดีงาม เป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างสูง
เป็นจุดเด่นของความรู้สึกทางศาสนาแต่ก็มีด้านลบที่เป็นโทษด้วย
และบ่อยทีเดียวที่โทษร้ายแรงมากอย่างคาดคิดไม่ถึง
ศรัทธาที่แรงกล้า อาจหลงงมงาย และกลายเป็นความ
ยึดมั่นรุนแรง จนถึงกับเขม้นหมายว่าจะต้องให้เป็นอย่างที่ตนเชื่อ
อาจถึงกับไปบังคับข่มคนอื่นให้เชื่อตาม หรือเชื่อจนไม่คิดพิจารณา
เขาจะบอกให้ทำอะไร ก็ทำได้ทุกอย่าง จะไปรบราฆ่าฟันทำ
สงครามอย่างไรก็ได้ ดังที่ได้เกิดสงครามศาสนาที่โหดเหี้ยม
ร้ายแรงกันเรื่อยมาตลอดประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ
ขึ้นต่อความช่วยเหลือ พึ่งตนเองไม่ได้ และไม่เป็นอิสระ
(ขัดหลักพึ่งตนและหลุดพ้นเป็นอิสระ)
๔. ทำให้ปล่อยเวลาเสียไปเปล่า เพราะมัวหมกมุ่นวุ่นวาย
หรือเพราะรอคอยผลที่ตนทำเองไม่ได้ เกิดนิสัยย่อหย่อนเฉื่อยชา ตกอยู่ในความประมาท
(ขัดหลักอัปปมาทะ)
เพราะฉะนั้นผลที่ได้จึงไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะแก่ชีวิตและสังคมในระยะยาวในซีกโลกตะวันตก
ความรู้สึกสุขอย่างลึกซึ้ง ดื่มด่ำเอิบอาบทั่วสรรพางค์ อาจ
ส่งผลไปเสริมศรัทธาให้มั่นยิ่งขึ้น บางทีก็ทำให้หลงผิด เข้าใจว่า
ตนได้บรรลุผลวิเศษที่เป็นจุดหมายอย่างนั้นๆ เช่น เป็นนิพพาน
หรือแล้วแต่อาจารย์หรือผู้สอนจะบอก อาจทำให้หลงเพลิดเพลิน
อยากปลีกตัวไม่ยุ่งกับใคร หรือปล่อยทิ้งกิจการงาน หรือลืมปัญหา
ใช้เป็นที่หลบทุกข์ และตกอยู่ในความประมาท
ศาสนาในอินเดียยุคพุทธกาล นับได้ว่าไม่มีปัญหาจาก
ความรู้สึกอย่างแรกคือศรัทธา ในแง่ที่จะไปบีบคั้นเบียดเบียน
บังคับฆ่าฟันกันหรือก่อการรุนแรง เพราะโน้มเอียงหนักไปทางด้าน
ความรู้สึกอย่างที่สอง คือความสุขดื่มด่ำ ดังพวกโยคีฤาษีดาบส
ที่ปลีกตนเก็บตัวอยู่ในป่า ดื่มด่ำอยู่ในฌานสมาบัติ และแนวโน้มนี้
ดูเหมือนจะตกทอดเรื่อยมาในศาสนาสายอินเดีย ถ้าไม่ศึกษา
พระพุทธศาสนาให้ชัดเจน ก็จะแยกไม่ออก และจะพลอยทำให้
พระพุทธศาสนาตกลงไปในกระแสนั้นด้วย
การเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนามีจุดเด่นที่ต่าง หรือจะเรียกว่า
เติมขึ้นมาจากศาสนาทั้งหลาย คือการก้าวไปสู่ปัญญา และถือ
ปัญญาเป็นองค์ธรรมสำคัญที่สุด
ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบตั้งแต่เริ่มต้น และต้องนำไปสู่
ปัญญา จึงจะไม่หลงงมงาย และไม่นำไปสู่ความรุนแรง หรือการ
ฆ่าฟันเบียดเบียนกัน
ความสุขดื่มด่ำลึกซึ้งที่ชวนติดเพลินสยบปัญญา ต้องพลิกกลับ
ให้เป็นฐานแก่การทำจิตให้เหมาะหรือพร้อมแก่การใช้งาน แล้ว
นำจิตนั้นไปใช้งานทางปัญญา เอาปัญญามาปลดปล่อยจิตให้เป็น
อิสระ แล้วเป็นอยู่กับชีวิตในโลกที่เป็นจริง ด้วยความรู้ ตื่น เบิกบาน
ถ้าไม่ก้าวถึงปัญญา ก็ยังไม่ถึงพระพุทธศาสนา และคุณค่า
ด้านจิตที่ว่าดีว่าเลิศ ไม่ว่าจะเป็นศรัทธา สมาธิ หรือความสุข ก็อาจ
จะกลายเป็นก่อโทษที่รุนแรงเฉพาะหน้า หรือไม่ก็ลึกซึ้งยาวไกล
ความโน้มเอียงของหมู่ชนในวงการศาสนาอีกอย่างหนึ่งคือ
ความตื่นเต้นชอบใจ น้อมไปในเรื่องลึกลับ
การได้รู้ได้เห็นสิ่งที่คนอื่น
หรือคนทั่วไปเขาไม่ได้สัมผัสหรือไม่เข้าถึง การได้อยู่ในกลุ่มพิเศษ
ที่ได้รับการเลือกสรรที่จะเข้าถึงสิ่งเลิศวิเศษบางอย่าง
การได้รับคำสอน
ในเรื่องเร้นลับ หรือความรู้เรื่องวิเศษ การเป็นศิษย์วงในเป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจสภาพเช่นนี้ ที่มีอยู่เดิมในสังคม
ศาสนาพราหมณ์ เช่น การผูกขาดการศึกษาว่าคนวรรณะสูง
จึงเรียนพระเวทได้ คนวรรณะต่ำอย่างพวกศูทรต้องห้าม (ต่อมา
ในมนูธรรมศาสตร์ ถึงกับตรากฎลงโทษ เช่นว่า ถ้าคนวรรณะศูทร
ฟังสาธยายพระเวท ให้เอาตะกั่วหลอมหยอดหู ฯลฯ) พระเวทนั้น
จะต้องรักษาไว้ด้วยภาษาพระเวทที่เป็นต้นเดิมของภาษาสันสกฤต
ตลอดจนหวงวิชา และมีการสอนแบ่งแยกสงวนเฉพาะ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าไม่ทรงยอมรับการแบ่งแยกคนว่าสูงต่ำด้วยชาติ
กำเนิดตามระบบวรรณะ ๔ พระองค์ตรัสสอนว่า คนไม่ใช่สูงหรือทราม
เพราะกำเนิด แต่จะสูงหรือทรามก็ด้วยการกระทำของเขาเอง
ทรงเปิดรับทุกคนที่พร้อมเข้าบวชเรียนในธรรมวินัย อย่าง
เสมอภาคกันในระบบไร้วรรณะ โดยถือว่า ใครก็ตามที่ฝึกศึกษา
พัฒนาตนสิ้นกิเลสแล้ว เป็นผู้เลิศสูงสุดกว่าทุกวรรณะและให้
พระสาวกจาริกไปประกาศธรรมทั่วทุกหนแห่ง
เคยมีพระภิกษุที่ออกบวชจากวรรณะพราหมณ์ เข้ามาทูลเสนอ
ขอให้ยกพุทธพจน์ขึ้นรักษาไว้ด้วยภาษาสันสกฤตแบบพระเวท
พระพุทธเจ้ากลับทรงตำหนิ และทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามการผูกขาด
จำกัดแคบเช่นนั้น และทรงให้เล่าเรียนพุทธพจน์ด้วยภาษาของตน
คำสอนของพระองค์เปิดกว้างแก่ประชาชนทุกคน จึงปรากฏต่อมาว่า
พระสงฆ์ไปถึงไหน มีวัดขึ้นที่ใด การศึกษาก็ไปถึงที่นั่น พร้อมด้วย
ระบบบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำให้การเกิดขึ้น
ของพระพุทธศาสนาเป็นที่มาของการศึกษามวลชน ที่ไม่จำกัดชาติ
ชั้นวรรณะเพศวัย
เมื่อจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงลักษณะคำสอน
ของพระองค์ไว้อย่างชัดเจนว่า
พระพุทธศาสนาและการศึกษามวลชนเจริญแพร่หลายมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง ๒๑๘ ปีหลังพุทธกาล
พระเจ้าอโศกมหาราชขึ้นครองชมพูทวีป เมื่อเปลี่ยนมานับถืพระพุทธศาสนา
ใน พ.ศ. ๒๒๖ แล้ว ได้ทรงเริ่มนโยบายธรรมวิชัยตามแนวทางของพระพุทธศาสนาโปรดให้สร้างวัด
๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วราชอาณาจักรซึ่งกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดียและโปรดให้เขียนศิลาจารึกประกาศธรรมไปทุกหนแห่ง
มีวัดภิกษุและวัดภิกษุณีให้การศึกษาแก่ประชาชนทั้งหญิงชาย
หนังสืออ้างอิงสำคัญบางฉบับถึงกับเขียนไว้ว่า สถิติคนรู้หนังสือของอินเดียขึ้นสูงถึงร้อยละ
๖๐ ต่อมาเมื่อพราหมณ์ยึดอำนาจคืนได้แล้ว ศาสนาฮินดูก็จำกัดการศึกษาตามระบบวรรณะอีก
และขมวดระบบวรรณะนั้นให้เข้มงวดยิ่งขึ้นจนตึงจัด
กับทั้งเกิดความนิยมให้คนแต่งงานแต่วัยเด็ก การศึกษาเสื่อมโทรมลงจนกระทั่งเมื่อตอนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่
๒ สถิติคนรู้หนังสือของอินเดีย ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐
“ดูกรอานนท์ ธรรมอันเราแสดงแล้ว ไม่มีใน ไม่มีนอก
(คือไม่แบ่งแยก
ไม่จำกัด และไม่กีดกั้น ไม่มีวงนอก-วงใน
เช่น ไม่จำเพาะบุคคล ไม่จำเพาะพวกหรือกลุ่ม)
ดูกรอานนท์ ตถาคตไม่มีอาจริยมุฏฐิ (กำมือของอาจารย์
คือคำสอนที่ซ่อนเร้น เป็นความลับ หรือสงวนไว้) ในธรรม
ทั้งหลาย”
(ที.ม.๑๐/๙๓/๑๑๗)
ที่พูดมานี้เป็นตัวอย่างลักษณะคำสอนในพระพุทธศาสนา
ทั้งในแง่ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งให้รู้ความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ
เป็นเรื่องเปิดเผยเรียบง่าย๑พร้อมทั้งมิติเชิงเสรีในทางสังคม
ซึ่งชาวพุทธควรจะระลึกตระหนักไว้ให้ชัดเจนมั่นคง เพื่อไม่ให้ถูก
ความรู้สึกเชิงศาสนาแบบทั่วไปมายั่วยวนล่อหลอก ให้ดึงพระพุทธ-
ศาสนากลับลงไปในกระแสศาสนาแห่งศรัทธาและเพียงความรู้สึก
ทางจิตใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น