welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

ตามรอยธรรมดีกว่าตามรอยตีน






                                   ที่ข้าพเจ้าได้เปิดหัวข้อออกมาเขียนเกิดจากการที่ได้เห็นการกระทำของบุคคลบางกลุ่มที่ออกมาแสวงหารอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จสัมมาส้มพุทธเจ้ากันเป็นกิจวัตรและทำกันเป็นลำเป็นสันมีการเผยแผ่ทางwebอย่างมามาย อาศัยชื้อเสียงของครูบาอาจารย์เป็นจุดขายว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโน้นหลวงพ่อนี้  นิมิตเห็นว่ารอยหินที่เหมือนรอยตีนเป็นรอยพระพุทธบาทแล้วก็นำญาติโยมมาก่อสร้างศาลาครอบรอยหินอันนั้นไว้  ถึงเวลาก็นำศิษย์ซึ่งส่วนมากเป็นบุคคลที่มีอันจะกินออกนมัสการรอยพระพุทธบาทที่สร้างไว้เป็นการเป็นการแสวงบุญกอบโกยผลประโยชน์กันอย่างมหาศาล  ผลจากการบอกบุญในการตามรอยพระพุทธบาท  จนบัดนี้จากการที่ติดตามอ่านมามีรอยพระพุทธบาทที่เขาตามเจอในประเทศไทยมากถึง ๔๐๐กว่าแห่งแล้วยังจะเจออีกในภายภาคหน้าอีกมากมาย  เมือเบื่อการตามรอยพระพุทธบาทในไทยแล้วท่านก็จะนำลูกศิษย์ออกตามรอยในต่างประเทศอีกเพราะท่านว่ามีอีกเกือบร้อยแห่ง  เราชาวพุทธเราจะยังตามรอยหินพวกนี้กันอีกนานเท่าไร  เมือไรเราจะตามรอยธรรมของพระพุทธเจ้ากันจริงเลียที่  ไม่ได้อิจฉาแต่เห็นว่าพากันไปไม่ถูกทาง ผมเป็นผู้ที่ยังด้อยความรู้ทางศาสนาแต่ได้อ่านหนังสือของพระผู้มีความรู้และประวัติของเกจิอาจารย์มาบ้างพอสมควรตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นหลวงปู่แหวนท่านไม่เห็น จะเห็นความสำคัญกับของอย่างนี้ ท่านมุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สอนแต่ธรรมให้กับชาวบ้านอย่างไม่ต้องการผลตอบแทนอะไรมากนอกอาหารบินฑบาตรที่พอยังชีพหล่อเลียงสังขารไปวันๆ  ทุกวันนี้ผมเจอแต่ข่าวของพระที่ไม่ค่อยที่จะสร้างสรรเท่าไรนักนอกจากบอกบุญสร้างไอ้โน้นไอ้นี่  สอนให้หลงงมง่ายกันไปวันๆ  ผมอ่านเจอในหนังสือของท่าน ป..ปยุตฺโต  ที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งมีใจความที่น่าสนใจดังนี้
ถาม: นี่ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระยุ่งกับวัตถุใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ต้องวุ่นวายกับวัตถุ จะได้อุทิศตัวอุทิศเวลาให้แก่หน้าที่ของตนได้เต็มที่ นั่นด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งเพื่อไม่ให้รบกวนหรือเป็นภาระแก่ชาวบ้าน ดังที่พระองค์ตรัสสอนให้พระภิกษุเป็นผู้เลี้ยงง่าย หรือบางครั้งตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติของคฤหัสถ์ทั้งหลาย เป็น
ของที่เขาเก็บหามาได้ยาก แม้เมื่อได้มาแล้ว ก็ยังต้องคอย
ดูแลรักษาอย่างลำบาก, เมื่อทรัพย์สมบัตินั้นเขาเก็บหามา
ก็ยาก ดูแลรักษาก็ลำบาก พวกเธอโมฆบุรุษ ยังจะเรียกร้อง
มาก ยังจะขอเขาบ่อยอีก . . . การกระทำของพวกเธอไม่เป็นไป
เพื่อความเลื่อมใส . . .” (วินย.๑/๕๐๒/๓๓๗)
พระองค์ไม่ทรงต้องการให้พระสงฆ์มัววุ่นวายกับเรื่องด้านวัตถุ แม้แต่ที่เป็นการทำเพื่อพระองค์ ที่เรียกว่า เป็นการบูชา คือไม่ให้พระสงฆ์ยุ่งกับอามิสบูชา แต่ให้มุ่งทำปฏิบัติบูชา แม้แต่เมื่อพระองค์จะปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จะให้จัดการพระพุทธสรีระอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ เธอทั้งหลายจงอย่าขวนขวายในการ
บูชาสรีระของตถาคตเลย, ขอให้เธอทั้งหลาย ขมักเขม้น
ประกอบในหน้าที่ของตน จงเป็นผู้ไม่ประมาทในหน้าที่ของตน
มีความเพียร อุทิศตนเถิด; ขัตติยบัณฑิตก็ดี พราหมณบัณฑิต
ก็ดี คหบดีบัณฑิตก็ดี ที่เลื่อมใสในตถาคต มีอยู่, คนเหล่านั้น
จักทำการบูชาสรีระของตถาคตเอง” (ที.ม.๑๐/๑๓๓/๑๖๔)
หลังจากปรินิพพาน และถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วกษัตริย์และผู้ครองแคว้นทั้งหลายก็ตกลงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน นำไปสร้างสถูปเจดีย์เป็นอนุสรณ์และเป็นที่บูชาไว้ในแว่นแคว้นของตน ถือเป็นประเพณีสืบมาว่า เรื่องการสร้างสถูปเจดีย์ก็ทำนองเดียวกับสร้างวัด เป็นหน้าที่ของฝ่ายคฤหัสถ์ที่จะจัดดำเนินการในเมืองไทยเรา ประเพณีนี้ก็ออกมาเป็นกฎหมาย การที่จะสร้างวัด ก็เริ่มด้วยมีคฤหัสถ์ไปยื่นเอกสารแสดงความจำนงถวายที่ดินและขออนุญาตสร้างวัด
ถาม: อย่างนี้ก็เหมือนกับว่ามีการแบ่งหน้าที่กันระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้าน ใช่ไหม?
ตอบ: ท่านแบ่งให้ไว้ตั้งแต่เดิมแล้ว สังคมชาวพุทธนั้นเป็นระบบพุทธบริษัท ๔ จัดเป็น ๒ ฝ่าย คือ พระสงฆ์กับคฤหัสถ์ หรือพระกับชาวบ้าน เมื่อสองฝ่ายนี้ทำหน้าที่ต่อกัน แบบพึ่งพาอาศัยกัน(อัญโญญญนิสิต) สังคมทั้งหมดก็จะเกษมศานติ์มีความสุข
ก. พระสงฆ์ ให้ธรรมทาน คือฝึกตนในไตรสิกขา และเผยแผ่สั่งสอนธรรมให้ประโยชน์เกิดขึ้น โดยไม่เรียกร้องรบกวนใคร ตามคติของพระพุทธเจ้าที่ว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพหูชน, นำประชาชนให้เป็นผู้มีกัลยาณธรรม มีกุศลธรรม
ข. คฤหัสถ์ ถวายอามิสทาน คือแสดงศรัทธาและจัดสรรเครื่องอุดหนุนทางวัตถุ ให้พระสงฆ์ปฏิบัติกิจหน้าที่โดยไม่ต้อง
พะวักพะวงห่วงกังวลความเป็นอยู่ด้านปัจจัย ๔
ถาม: เอ้อ ชักจะยากเสียแล้ว คนไม่ไปวัด ก็ว่าห่างวัด พอไปวัดกันมาก ก็ไม่แน่ว่าดี อย่างนี้คนก็จะท้อกันหมด
ตอบ: คนไปวัดมากน่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี เรื่องนี้ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่คนไปวัดแต่ปัญหาอยู่ที่วัด คือไม่ใช่ปัญหาเพราะคนที่ไป แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากวัดว่าวัดทำอะไรกับคนที่ไป หรือวัดให้อะไรแก่คนที่ไปถ้าแก้ปัญหาทางฝ่ายวัดให้ถูกต้อง คนที่ไปมากก็จะยิ่งได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าวัดให้อะไรที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งคนไปวัดมาก ก็ยิ่งเป็นโทษตามจำนวนคนที่ไปมากเพราะฉะนั้น อย่าเอาแค่ว่าคนไปวัดมาก หรือมีอะไรใหญ่โตหลักทางธรรมก็มีอยู่แล้วว่า อย่าดูที่รูปร่าง แต่ให้ดูที่การกระทำถ้าเป็นชาวพุทธ จะมองอะไร ก็ต้องรู้จักใช้ปัญญา อย่าให้เขาพูดได้ว่า เป็นคนตื้น เลยตื่นง่ายไปกับภาพความใหญ่โตหรือจำนวนมากๆ จำไว้ว่าพุทธศาสนาสอนไม่ให้ตัดสินด้วยรูปร่างหน้าตาว่าเป็นอย่างไร แต่ให้ดูว่าเขาทำอะไรอย่ามัวท้อ นี่แหละเป็นบทเรียนให้ได้ฝึกใช้ปัญญาเรื่องคนมากคนน้อยนี้ ขอเติมคำเตือนไว้หน่อย ขอให้หมั่นระลึกถึงพระพุทธจริยากันไว้ จะได้รู้ว่าแนวทางพุทธแท้เป็นอย่างไรเมื่อพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระศาสนา ถ้าพระองค์มุ่งให้ได้คนมากๆ พระองค์ก็ต้องทรงสนับสนุนพระมหาเถระปิณโฑลภารัทวาชและให้พระสาวกองค์อื่นๆ ทำตามคงจำได้ว่า พระปิณโฑลภารัทวาชแสดงฤทธิ์เหาะเหนือเมืองราชคฤห์ ชาวเมืองนั้นตื่นเต้น แตกตื่น พากันเลื่อมใส แห่ตามกันอึงถ้าแสดงฤทธิ์อีกอย่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเอาคนเท่าไรก็ได้แต่แทนที่จะทรงส่งเสริม พระพุทธเจ้ากลับทรงประชุมสงฆ์แล้วทรงตำหนิอย่างแรง และทรงบัญญัติห้ามพระภิกษุ ไม่ให้แสดงฤทธิ์แก่คฤหัสถ์จึงขอฝากให้คิดว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้โอกาสหาศิษย์หรือสาวกให้มากด้วยวิธีอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พระองค์เองก็เก่งอย่างยิ่งในเรื่องฤทธิ์นี้จุดที่ควรมองก็คือ พระพุทธเจ้าไม่ทรงต้องการให้ใครมาเลื่อมใส โดยไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาความจริงแห่งคำสอนของพระองค์ พระพุทธเจ้าต้องการให้คนพัฒนา ไม่ใช่มาด้วยเครื่องล่อขอให้สังเกตว่า อุบายแบบเครื่องล่อนั้น พระพุทธเจ้าทรงใช้ในกรณีเฉพาะตัวหรือรายบุคคล เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าจะเป็นเครื่องช่วยสร้างความพร้อมให้แก่เขา แต่ไม่ทรงใช้ในงานทั่วไปหรือกับคนหมู่ใหญ่นอกจากนั้น เมื่อทรงใช้อุบาย ก็จะทรงดูแลเขาอยู่ใกล้ชิดและติดตามวางข้อปฏิบัติเฉพาะตัวให้เหมาะกับเขาไปตลอดจนสำเร็จนอกจากนั้น ขอให้สังเกตด้วยว่า ถ้าพระองค์เห็นความพร้อมหรือประโยชน์ที่จะเกิดแก่คนผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเด็ก หรือเป็นชาวบ้านคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป พระองค์จะทรงยอมสละเวลาทั้งวัน และทรงยอมเหน็ดเหนื่อยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดเขาผู้นั้นแม้จะเป็นเพียงคนเดียว แต่ถ้าคนอื่นที่อยู่ใกล้จะพลอยได้ประโยชน์ด้วย ก็ยิ่งดี

                              นี่เป็นบางส่วนที่น่าสนใจจากหนังสือของท่าน ป..ปยุตฺโต  จะเห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ต้องการให้สาวกของพระองค์ตามรอยอะไรนอกจากรอยธรรม





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น