มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคาม
เอาแล้ว ย่อมยึดถื อเอาภูเขาบ้าง ป่ าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง
สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ :
นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำาความเกษมให้ได้เลย, นั่ นไม่ใช่ที่ พึ่ง
อันสูงสุด; ผู ้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้น
ไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง
คื อ เห็นทุกข์ , เห็ นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ ้นแห่งทุกข์,
เห็นความกลัวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรคประกอบ
ด้วยองค์แปดอันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้มไป
สงบระงับแห่งทุกข์ : นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม, นั่นคือ
ที่พึ่งอันสูงสุด; ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น
ไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้.
ธ. ขุ. ๒๕/๔๐/๒๔.
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำาคัญความข้อนี้
ว่าอย่างไร : ฝุ่นนิดหนึ่งที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้กับ
มหาปฐพีนี้ ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดิน
ที่มากกว่า. ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้
เป็นของมีประมาณน้อย. ฝุ่นนั้นเมื่อนำาเข้าไปเทียบกับมหาปฐพี
ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำานวณได้ เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่ง
กะละภาค (ส่วนเสี้ยว)
ภิกษุทั้งหลาย ! อุปมานี ้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น :
สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์ มีน้อย สัตว์ที่เกิดกลับมา
เป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้ . ข้อนั้น
เพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้น เพราะความที่
สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่าง คือ :-
อริยสัจคือทุกข์
อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อริยสัจคือทางดำาเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอ
พึงประกอบโยคกรรม1 อันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
“ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุ เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่ างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทางดำาเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้” ดังนี้.
มหาวาร. สำ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.
1. โยคกรรม คือ การกระทำาอย่างเป็นระบบ.
การรู้อริยสัจเป็นของไม่เหลือวิสัย
พระอริยบุคคล จึงมีปริมาณมาก
วัจฉะ ! ภิกษุ ผู้สาวกของเรา บรรลุเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ได้กระทำาให้แจ้งแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน
ทิฏฐธรรมนี้ มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่
สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้ อย มี อยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
วัจฉะ ! ภิกษุณี ผู้สาวิกาของเรา บรรลุเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ได้กระทำาให้แจ้งแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน
ทิฏฐธรรมนี้ มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่
สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้ อย มี อยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
๓
วัจฉะ ! อุบาสก ผู้ สาวกของเรา พวกเป็ น
คฤหัสถ์นุ่งขาว อยู่ประพฤติกับผู้ประพฤติพรหมจรรย์,
เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี) มีปกติปรินิพพานในภพที่
ไปเกิดนั้น ไม่เวียนกลับจากภพนั้นเป็นธรรมดา, เพราะ
ความสิ้นไปแห่งสัญโญชน์ มีส่วนในเบื้องต่ำาห้าอย่าง ก็มี
อยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
วัจฉะ ! อุบาสก ผู้สาวกของเรา พวกเป็น
คฤหัสถ์นุ ่งขาว ยังบริโภคกาม เป็นผู้ ทำ ตามคำสอน
เป็นผู้ สนองโอวาท มีความสงสัยอันข้ามได้แล้ว ไม่ต้อง
กล่าวด้วยความสงสัยว่า นี่อะไรๆ เป็นผู้ปราศจากความ
ครั่นคร้าม ไม่ใช่ผู้ต้องเชื่อตามคำาของผู้อื่น อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในศาสนาของพระศาสดา ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว
ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามากโดยแท้.
7 ฉบับ ๓ ก้าวย่างอย่างพุทธะ
วัจฉะ ! อุบาสิกา ผู ้สาวิกาของเรา พวกเป็นหญิง
คฤหัสถ์นุ่งขาว อยู่ประพฤติกับผู้ประพฤติพรหมจรรย์,
เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี ) มี ปกติปรินิพพานในภพที่
ไปเกิดนั้น ไม่เวียนกลับจากภพนั้นเป็นธรรมดา,
เพราะความสิ้นไปแห่งสัญโญชน์ มีส่วนในเบื้องต่ำา
ห้าอย่าง ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่
มากกว่ามากโดยแท้.
วัจฉะ ! อุบาสิกา ผู ้สาวิกาของเรา พวกเป็นหญิง
คฤหัสถ์นุ่ งขาว ยั งบริโภคกาม เป็นผู้ ทำตามคำสอน
เป็นผู้ สนองโอวาท มีความสงสัยอันข้ามได้แล้ว ไม่ต้อง
กล่าวด้วยความสงสัยว่า นี่อะไรๆ เป็นผู้ปราศจากความ
ครั่นคร้าม ไม่ใช่ผู้ต้องเชื่อตามคำาของผู้อื่น อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในศาสนาของพระศาสดา ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว
ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามากโดยแท้.
ม. ม. ๑๓/๒๕๑-๒๕๔/๒๕๕-๒๕๖.
เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้,
สุตตันตะเหล่าใด
ที่กวีแต่งขึ้นใหม่
เป็นคำาร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
มีอักษรสละสลวย
มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นเรื่องนอกแนว
เป็นคำกล่าวของสาวก,
เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่;
เธอจักไม่ฟังด้วยดี
ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก
มีความหมายซึ้ง
เป็นชั้นโลกุตตระว่าเฉพาะเรื่องสุญญตา,
เมื่อมีผู้นาสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่;
เธอย่อมฟังด้วยดี
ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
จึงพากันเล่าเรียน
ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า
“ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ?” ดังนี้.
ด้วยการทำดังนี้
เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้,
ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ
เธอก็จะทําให้ปรากฏได้,
ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย
เธอก็บรรเทาลงได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า
บริษัทที่มีการลุล่วงไปได้
ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง,
หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่าง
ของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่
(ปฏิปุจฺฉาวินีตา
ปริสา โน อุกฺกาจิตวินีตา);
จัดเป็นบริษัทที่เลิศ
แล.
ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒.
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ
ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร
ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
คนเรา
ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป
ว่าคนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว
ไม่มีเลวเลย.
อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.
ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
ทรงแสดงเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เกี่ยวกับพระองค์เอง
ภิกษุทั้งหลาย ! สมมติว่ามหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้
มีน้ำท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก
(ไม้ไผ่
) ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียว ลงไปในน้ำนั้น;
ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตก
พัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไป
ทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ อยู่ดังนี้.
ในน้ำนั้นมีเต่าตัวหนึ่งตาบอด
ล่วงไปร้อยๆ ปี มันจะผุด
ขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญ
ความข้อนี้ว่าอย่างไร : จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอด ร้อยปี
จึงจะผุดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
จะพึงยื่นคอ เข้าไปในรู ซึ่งมี
อยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น ?
“ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น
ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียง
รูเดียวในแอกนั้น”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน
ที่ใครๆ
จะพึงได้ความเป็นมนุษย์;
ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน
ที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
จะเกิดขึ้นในโลก;
ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน
ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.
ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่าบัดนี้ความเป็นมนุษย์ก็ได้แล้ว;
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
ก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว; และ
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้
พวกเธอพึงกระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่า“นี้ ทุกข์,
นี้ เหตุให้เกิดทุกข์,
นี้ ความดับแห่งทุกข์,
นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์” ดังนี้เถิด.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.
มนุษย์เป็นอันมาก
ได้ ยึดถือเอาที่พึ่งผิดๆ
มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก
ถูกความกลัวคุกคาม
เอาแล้ว
ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง
สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง
รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ :
นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่ พึ่ง
อันสูงสุด; ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้น
ไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนผู้ใด
ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นที่พึ่งแล้ว
เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง
คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์,
เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรคประกอบ
ด้วยองค์แปดอันประเสริฐ
ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไป
สงบรำงับแห่งทุกข์ นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม,
นั่นคือ
ที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น
ไปจากทุกข์ทั้งปวงได้แท้
ธ. ขุ. ๒๕/๔๐/๒๔.
สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อย
เพราะไม่รู้อริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้
ว่าอย่างไร : ฝุ่นนิดหนึ่งที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้กับ
มหาปฐพีนี้
ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดิน
ที่มากกว่า. ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้
เป็นของมีประมาณน้อย. ฝุ่นนั้นเมื่อนำเข้าไปเทียบกับมหาปฐพี
ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำนวณได้
เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่ง
กะละภาค (ส่วนเสี้ยว)”.
ภิกษุทั้งหลาย ! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น :
สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์
มีน้อย; สัตว์ที่เกิดกลับมา
เป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์
มีมากกว่าโดยแท้ . ข้อนั้น
เพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้น เพราะความที่
สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.
อริยสัจสี่
อย่างไรเล่า ? สี่อย่าง คือ :-
อริยสัจคือทุกข์
อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอ
พึงประกอบโยคกรรม1 อันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
“ทุกข์
เป็นอย่างนี้, เหตุ เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้” ดังนี้.
มหาวาร. สำ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.
1. โยคกรรม คือ การกระทำาอย่างเป็นระบบ.
การรู้อริยสัจเป็นของไม่เหลือวิสัย
พระอริยบุคคล จึงมีปริมาณมาก
วัจฉะ ! ภิกษุ ผู้สาวกของเรา บรรลุเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ได้กระทำให้แจ้งแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน
ทิฏฐธรรมนี้ มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่
สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย มี อยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
วัจฉะ ! ภิกษุณี ผู้สาวิกาของเรา บรรลุเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ได้กระทำให้แจ้งแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน
ทิฏฐธรรมนี้ มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่
สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย มี อยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
๓
วัจฉะ ! อุบาสก ผู้ สาวกของเรา พวกเป็น
คฤหัสถ์นุ่งขาว อยู่ประพฤติกับผู้ประพฤติพรหมจรรย์,
เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี)
มีปกติปรินิพพานในภพที่
ไปเกิดนั้น ไม่เวียนกลับจากภพนั้นเป็นธรรมดา, เพราะ
ความสิ้นไปแห่งสัญโญชน์ มีส่วนในเบื้องต่ำห้าอย่าง ก็มี
อยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ฯลฯ
ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามาก
โดยแท้.
วัจฉะ ! อุบาสก ผู้สาวกของเรา พวกเป็น
คฤหัสถ์นุ่งขาว ยังบริโภคกาม เป็นผู้ ทำ ตามคาสอน
เป็นผู้ สนองโอวาท มีความสงสัยอันข้ามได้แล้ว ไม่ต้อง
กล่าวด้วยความสงสัยว่า นี่อะไรๆ เป็นผู้ปราศจากความ
ครั่นคร้าม ไม่ใช่ผู้ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่น อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในศาสนาของพระศาสดา ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว
ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามากโดยแท้.
วัจฉะ ! อุบาสิกา ผู้สาวิกาของเรา พวกเป็นหญิง
คฤหัสถ์นุ่งขาว อยู่ประพฤติกับผู้ประพฤติพรหมจรรย์,
เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี
) มี ปกติปรินิพพานในภพที่
ไปเกิดนั้น ไม่เวียนกลับจากภพนั้นเป็นธรรมดา,
เพราะความสิ้นไปแห่งสัญโญชน์ มีส่วนในเบื้องต่ำ
ห้าอย่าง ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่
มากกว่ามากโดยแท้.
วัจฉะ ! อุบาสิกา ผู้สาวิกาของเรา พวกเป็นหญิง
คฤหัสถ์นุ่งขาว ยังบริโภคกาม เป็นผู้ ทาตามคำสอน
เป็นผู้ สนองโอวาท มีความสงสัยอันข้ามได้แล้ว ไม่ต้อง
กล่าวด้วยความสงสัยว่า นี่อะไรๆ เป็นผู้ปราศจากความ
ครั่นคร้าม ไม่ใช่ผู้ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่น อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในศาสนาของพระศาสดา ก็มีอยู่ไม่ใช่ร้อยเดียว
ฯลฯ ไม่ใช่ห้าร้อย มีอยู่มากกว่ามากโดยแท้.
ม. ม. ๑๓/๒๕๑-๒๕๔/๒๕๕-๒๕๖.
ให้พึ่งตน พึ่งธรรม
อานนท์ ! เราได้กล่าวเตือนไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือ
ว่า “ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น
จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี; อานนท์ ! ข้อนั้น
จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว
เป็นแล้ว อันปัจจัย
ปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา, สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย
ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้”.
อานนท์ ! เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มี
แก่นเหลืออยู่ ส่วนใดเก่าคร่ำกว่าส่วนอื่น ส่วนนั้นพึง
ย่อยยับไปก่อน, ข้อนี้ ฉันใด;
อานนท์ ! เมื่อภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่มีธรรมเป็นแก่นสารเหลืออยู่, สารีบุตร
ปรินิพพานไปแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ! ข้อนั้น
จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว
เป็นแล้ว อันปัจจัย
ปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย
ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้.
๔
อานนท์ !
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้
พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป
มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ;
จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ.
อานนท์ ! ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็น
สรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป
มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่;
มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
อานนท์ ! ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็น
ประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรม
เป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
เป็นอยู่.
อานนท์ !
ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี
ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป
มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ;
มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่
อานนท์ !
ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา,
ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู ่ในสถนะอันเลิศที่สุด.
มหาวาร .สำ. ๑๙/๒๑๖-๒๑๗/๗๓๗-๗๔๐.
ตรัสแก่ท่านพระอานนท์ ผู้เศร้าสลดในข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร
ซึ่งจุนทสามเณรนำามาบอกเล่า ที่พระอารามเชตวันใกล้นครสาวัตถี.
ผู้ไม่หลงเอาสิ่งอื่นมาเป็นแก่น
ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์นี้
มิใช่มีลาภ
สักการะและเสียงเยินยอเป็นอานิสงส์, พรหมจรรย์นี้
มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยศีลเป็นอานิสงส์, พรหมจรรย์นี้
มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยสมาธิเป็นอานิสงส์, พรหมจรรย์นี้
มิใช่มีความถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็เจโตวิมุตติ1 ที่ไม่กำเริบอันใด
มีอยู่, พรหมจรรย์นี้ สิ่งนั้น นั่นแหละเป็นประโยชน์ที
่
มุ ่งหมาย เป็นแก่นสาร เป็นผลสุดท้ายของพรหมจรรย์แล.
1. เจโตวิมุตติ คือ การบรรลุอรหัตตผลโดยมีน้ำหนักของการทำสมาธิ
มากกว่าการกระทำด้านอื่นๆ.
แบบของการหลุดพ้นยังมีอย่างอื่นอีก เช่น สัทธาวิมุตติ, ปัญญาวิมุตติ
เป็นต้น.
๕
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมื
อนบุรุ ษผู้ต้องการ
ด้วยแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้ เที่ยวค้นหาแก่นไม้ จนถึง
ต้นไม้ใหญ่มี แก่นแล้ ว ตัดเอาแก่นถือไปด้วยมั่นใจว่า
‘นี่เป็นแก่นแท้’ ดังนี้. บุรุษมีตาดี
เห็นคนนั้นเข้าแล้ว ก็
กล่าวว่า “ผู้เจริญคนนี้ ช่างรู้จักแก่น, รู้จักกระพี้, รู้จัก
เปลือกสด, รู ้จักสะเก็ดแห้งตามผิวเปลือก, รู ้จักใบอ่อนที่
ปลายกิ่ง. จริงดังว่า ผู้เจริญคนนี ้ ต้องการแก่นไม้
เสาะหา
แก่นไม้ เที่ยวค้นหาแก่นไม้ จนถึงต้นไม้ใหญ่มีแก่นแล้ว
ก็ตัดเอาแก่นแท้ถือไปด้วยมั่นใจว่า ‘นี่ เป็นแก่นแท้’ ดังนี้.
สิ่งที่เขาจะต้องทำาด้วยแก่นไม้ จักสำาเร็จประโยชน์เป็นแท้”
ดังนี้.
มู. ม. ๑๒/๓๗๑-๓๗๓/๓๕๒,๓๕๔.
มีใครมีวิทยุพุทธวจนบ้างไหมครับจะขอเปืดให้คนป่วยฟังที่โรงพยาบาลพหลกาญจนบุรี
ตอบลบฟังบทนี้ได้ครับในยูทูป https://youtu.be/e1WIpa3aUGI
ลบ