นรชนใด ปฏิบัติผิดในมารดา บิดา พระตถาคตสัมมา
สัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระตถาคต นรชนเช่นนั้น
ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลายย่อม
ติเตียนนรชนนั้น ในโลกนี้ทีเดียว เพราะเหตุที่ไม่ประพฤติ
ธรรม ในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมไปสู่
อบาย ส่วนนรชนใดปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในพระ
ตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระตถาคต
นรชนเช่นนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมสรรเสริญนรชนนั้นในโลกนี้ทีเดียว เพราะเหตุที่ประพฤติ
ธรรมในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิง
ในสวรรค์ ฯ
ผู้ใด ย่อมสรรเสริญผู้ที่ควรนินทา หรือย่อมนินทาผู้ที่ควร
สรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมค้นหาโทษด้วยปาก ย่อมไม่ได้
ประสบสุขเพราะโทษนั้น ความพ่ายแพ้การพนันด้วยทรัพย์
ทั้งหมด พร้อมด้วยตน มีโทษน้อย การที่ยังใจให้
ประทุษร้ายในท่านผู้ดำเนินไปดีแล้วนี้แหละ เป็นโทษใหญ่
กว่า (โทษการพนัน) ผู้ที่ตั้งวาจา และใจอันเป็นบาปไว้
ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นแสนสามสิบหกนิรัพ
พุททะ และห้าอัพพุททะ ฯ
ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุตติ ซึ่งไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่า
อันพระโคตม ศาสดาผู้มียศได้ตรัสรู้แล้ว
พระพุทธเจ้าผู้พระศาสดามีจักษุทรงกระทำที่สุดทุกข์
ตรัสรู้
พระธรรมแล้ว
ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย พระองค์เสด็จ
ปรินิพพานแล้ว
ด้วยประการฉะนี้ ฯ
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยังไม่
ปราศจากราคะ มีปรกติบริโภคกาม ชนเหล่านั้นแล ถูก
ตัณหาครอบงำแล้ว เข้าถึงชาติและชราบ่อยๆ ชื่อว่าไป
ตามกระแส เพราะฉะนั้น
ธีรชนในโลกนี้ เป็นผู้มีสติ
ตั้งมั่นแล้วไม่เสพกาม และไม่ทำกรรมอันเป็นบาป แม้
ประกอบด้วยทุกข์ก็ ละกามได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเรียก
บุคคลนั้นว่าไปทวน กระแส
นรชนใดแล ละกิเลส ๕
ประการเสียได้ เป็น ผู้มีการศึกษาบริบูรณ์ มีความไม่เสื่อม
เป็นธรรมดา ถึงความ เป็นผู้ชำนาญในจิต มีอินทรีย์ตั้งมั่น
แล้ว นรชนนั้นแล
นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกว่าผู้มีตนตั้ง
อยู่แล้ว ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศลและอกุศล อันบุคคล
ใดกำจัดหมดแล้ว ถึงซึ่ง
อันตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีอยู่ บุคคล
นั้นเป็นผู้จบเวท อยู่จบ พรหมจรรย์แล้ว ถึงที่สุดแห่งโลก
ถ้าบุคคลแม้มีสุตะน้อย ไม่ตั้งมั่นแล้วในศีล นักปราชญ์
ทั้งหลายย่อมติเตียนเขา
ทั้งโดยศีลและสุตะทั้งสอง ถ้า
บุคคลแม้มีสุตะน้อย
ตั้งมั่นแล้วในศีล นักปราชญ์ย่อม
สรรเสริญเขาโดยศีล
แต่สุตะของเขาไม่สมบูรณ์ ถ้าบุคคล
แม้มีสุตะมาก
ไม่ตั้งมั่นแล้วในศีล นักปราชญ์ย่อมติเตียน
เขาโดยศีล
แต่สุตะของเขาสมบูรณ์ ถ้าบุคคลแม้มีสุตะ
มาก ตั้งมั่นดีแล้วในศีล
นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญเขา ทั้ง
โดยศีล
และสุตะทั้งสอง ใครควรเพื่อจะติเตียนเขาผู้เป็น
พหูสูต ผู้ทรงธรรม เป็นพุทธสาวกผู้มีปัญญา
ผู้เป็นประดุจ
แท่งทอง ชมพูนุช แม้เทวดาก็ย่อมชมเชย แม้พรหมก็
สรรเสริญ ฯ
นักปราชญ์ทั้งหลาย
เรียกว่าผู้ถึงฝั่ง ฯ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตเหล่าใดด้วย พระพุทธเจ้า
ใน อนาคตเหล่าใดด้วย และพระพุทธเจ้าในบัดนี้ด้วย ผู้ยัง
ความโศกของสัตว์เป็นอันมากให้เสื่อมคลาย ล้วนเคารพ
พระสัทธรรมอยู่ นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแหละ กุลบุตรผู้รักษาตน จำนงความเป็น
ใหญ่ เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึง
ทำความเคารพพระสัทธรรม ฯ
อุรุเวลสูตรที่ ๑
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวแรกตรัสรู้เราอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราในอุรุ
เวลาประเทศ เมื่อเราหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ความปริวิตกแห่งใจได้บังเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า บุคคลผู้
ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์คนไหน
หนอแล แล้วอาศัยอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้ปริวิตกต่อไปว่า เราจะพึงสักการะเคารพสมณะ
หรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่เราไม่เห็นสมณะ
หรือพราหมณ์อื่น ผู้มีศีลสมบูรณ์กว่าตน ซึ่งเราจะพึงสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ เราจะพึง
สักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่น แล้วอาศัยอยู่เพื่อความบริบูรณ์แห่งสมาธิขันธ์ ... แห่งปัญญา
ขันธ์ ... แห่งวิมุตติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีสมาธิสมบูรณ์กว่า
ตน ... มีปัญญาสมบูรณ์กว่าตน ... มีวิมุตติสมบูรณ์กว่าตนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เราได้ปริวิตกต่อไปว่า ไฉน
หนอแล เราพึงสักการะเคารพธรรมที่เราตรัสรู้นั้นอาศัยเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าว
สหัมบดีพรหมรู้ความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ ได้อันตรธานจากพรหมโลกไปปรากฏข้างหน้าเรา
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดี
พรหมกระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกมณฑลเข่าเบื้องขวาลงที่แผ่นดินประนมอัญชลีมาทาง
เรา แล้วกล่าวคำนี้กะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดได้มีแล้วในอดีตกาล แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้เหล่านั้นสักการะเคารพพระธรรมนั่นเทียว อาศัยอยู่แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด
จักมีในอนาคตแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็จักสักการะเคารพพระธรรมนั่นเทียวอาศัย
อยู่แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็จงสักการะเคารพพระธรรมนั่นแหละอาศัย
อยู่เถิด ท้าวสหัมบดีพรหม ครั้นได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อ
ไปว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตเหล่าใดด้วย พระพุทธเจ้า
ใน อนาคตเหล่าใดด้วย และพระพุทธเจ้าในบัดนี้ด้วย ผู้ยัง
ความโศกของสัตว์เป็นอันมากให้เสื่อมคลาย ล้วนเคารพ
พระสัทธรรมอยู่ นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแหละ กุลบุตรผู้รักษาตน จำนงความเป็น
ใหญ่ เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึง
ทำความเคารพพระสัทธรรม ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวประพันธ์คาถานี้ ครั้นแล้วอภิวาทเรา
กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้การที่เราทราบการเชื้อเชิญของพรหม
แล้วสักการะเคารพอาศัยธรรมที่เราตรัสรู้นั้นนั่นแหละอยู่ เป็นการสมควรแก่ตน เมื่อใด แม้สงฆ์
ประกอบไปด้วยความเป็นใหญ่แล้ว เมื่อนั้น เราก็เคารพแม้ในสงฆ์ ฯ
อุรุเวลสูตรที่ ๒
[๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวแรกตรัสรู้ เราอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธริมฝั่งแม่น้ำ
เนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้นแล พวกพราหมณ์มากด้วยกันเป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่
ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว เข้าไปหาเรา ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับเรา ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะเราว่า ท่านพระโคดม เราได้สดับ
มาอย่างนี้ว่าพระสมณโคดมไม่อภิวาท ไม่ลุกรับพราหมณ์ผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัย
แล้ว ทั้งไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ข้อนี้เป็นอย่างที่เราได้สดับมาหรือ การที่ท่านพระโคดมไม่อภิวาท
หรือไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ
นั้นไม่สมควรเลย ดูกรภิกษุทั้งหลายความปริวิตกนี้ได้มีแก่เราว่า ท่านเหล่านี้ย่อมไม่รู้ซึ่งเถระ หรือ
ธรรมอันกระทำให้เป็นเถระ ถ้าแม้บุคคลผู้เฒ่ามีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี แต่เกิดมา แต่เขา
มีปรกติพูดในกาลไม่สมควร พูดไม่จริง พูดไม่เป็นประโยชน์ พูดไม่เป็นธรรม พูดไม่เป็นวินัย
กล่าววาจาที่ไม่ควรจดจำไว้ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีขอบเขตไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลไม่
ควร เขาย่อมถึงซึ่งกาลนับว่า เป็นเถระผู้เขลาโดยแท้ ถ้าแม้เด็กกำลังรุ่น มีผมดำสนิท ยังหนุ่ม
แน่น อยู่ในปฐมวัยแต่มีปรกติพูดในกาลอันควร พูดจริง พูดเป็นประโยชน์ พูดเป็นธรรม พูด
เป็นวินัย กล่าววาจาที่ควรจดจำ มีหลักฐาน มีขอบเขต ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร
เขาย่อมถึงซึ่งกาลนับว่า เป็นเถระผู้ฉลาดโดยแท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันกระทำให้เป็นเถระ
๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระ
ปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษอันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษา
อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ เป็นพหูสูต ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมซึ่งสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงจำ
ไว้ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑ เป็นผู้ได้
ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขใน
ปัจจุบัน ๑ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เถรกรณธรรม ๔ ประการ
นี้แล ฯ
ผู้ใดมีจิตฟุ้งซ่าน มีความดำริไม่มั่นคง เช่นกับมฤค ยินดี
ในธรรมของอสัตบุรุษ ย่อมกล่าวคำเพ้อเจ้อเป็นอันมาก ผู้
นั้นมีความเห็นลามก ปราศจากความเอื้อเฟื้อ ตั้งอยู่ไกล
จากความเป็นผู้มั่นคง ส่วนผู้ใด สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้
สดับ มีปฏิภาณ ประกอบในธรรมอันทำความมั่นคง ย่อม
เห็นแจ้งอรรถแห่งอริยสัจด้วยปัญญา เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งธรรม
ทั้งปวง ไม่มีกิเลสอันเป็นประดุจหลักตอ มีไหวพริบ มี
ชาติและมรณะอันละได้แล้ว เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์
สมบูรณ์ เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นเถระ อาสวะของภิกษุใดไม่
มีเพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย เราเรียกภิกษุนั้นว่าเถระ ฯ
จบสูตรที่ ๒
โลกสูตร
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกตถาคตตรัสรู้แล้ว ตถาคตพรากจากโลกแล้ว เหตุ
เกิดแห่งโลกตถาคตตรัสรู้แล้ว เหตุเกิดแห่งโลกตถาคตละได้แล้ว ความดับแห่งโลกตถาคตตรัสรู้
แล้ว ความดับแห่งโลกตถาคตกระทำให้แจ้งแล้วปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ถึงความดับแห่งโลก ตถาคต
ตรัสรู้แล้ว ปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ถึงความดับแห่งโลกตถาคตให้เจริญแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ สัททารมณ์ที่ฟังด้วยหู คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ที่รู้ได้ด้วย
ทวารนั้นๆ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ของหมู่
สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ตถาคตได้บรรลุแล้ว เสาะแสวงหาแล้ว
ค้นคว้าแล้วด้วยใจ ตถาคตตรัสรู้รูปารมณ์ที่เห็นได้ด้วยจักษุเป็นต้นนั้นโดยชอบ เพราะฉะนั้น โลก
จึงเรียกว่า ตถาคต อนึ่งตถาคตย่อมตรัสรู้ซึ่งราตรีใด และย่อมยังราตรีใดให้ดับ ตถาคตย่อมกล่าว
ย่อมทักทาย ย่อมแสดงออกซึ่งคำใดในระหว่างนี้ คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นทีเดียว หาได้
เป็นอย่างอื่นไม่ เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น
ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น
ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์เทวดาและ
มนุษย์ เป็นผู้อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ ผู้เห็นแจ้งโดยแท้ ยังอำนาจให้เป็นไป เพราะฉะนั้น โลก
จึงเรียกว่า ตถาคต ฯ
ผู้ใดรู้ยิ่งแล้วซึ่งโลกทั้งปวง รู้ตามเป็นจริงในโลกทั้งปวง
พรากไปจากโลกทั้งปวง ไม่มีกิเลสนอนเนื่องในสันดานในโลก
ทั้งปวง ผู้นั้นแล เป็นธีรชนผู้ครอบงำอารมณ์ทั้งปวงได้
ปลด เปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งมวลเสียได้ เป็นผู้ถูกต้อง
นิพพานอันมีความสงบอย่างยิ่ง ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ผู้นี้
เป็นพระขีณาสพผู้รู้แล้ว ไม่มีทุกข์ ตัดความสงสัยได้แล้ว
ถึงความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง เป็นผู้หลุดพ้นเพราะความ
สิ้นไปแห่งอุปธิ บุคคลนี้เป็นผู้มีโชค เป็นพุทธะ ชื่อว่า
เป็นสีหะผู้ยอดเยี่ยม ประกาศพรหมจักรให้แก่โลกทั้งเทว
โลก เพราะเหตุนั้น เทวดาและมนุษย์จึงถึงพระพุทธเจ้า
ว่าเป็นสรณะ มาประชุมกันนมัสการพระองค์ผู้เป็นใหญ่
ผู้ปราศจากความขลาด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจัก
นมัสการ พระองค์ผู้เป็นใหญ่ ผู้ปราศจากความขลาด กล่าว
สรรเสริญว่า เป็นผู้ฝึกตนประเสริฐกว่าบรรดาผู้ฝึกตน
ทั้งหลาย เป็นฤาษีผู้สงบกว่าบรรดาผู้สงบทั้งหลาย เป็น
ผู้พ้นชั้นเยี่ยมกว่า บรรดาผู้พ้นทั้งหลาย เป็นผู้ข้ามฝั่ง
ประเสริฐกว่าบรรดาผู้ข้าม ฝั่งทั้งหลาย ในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก จะหาบุคคลเปรียบ ด้วยพระองค์ไม่มี ฯ
จบสูตรที่ ๓
กาฬกสูตร
[๒๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กาฬการาม ใกล้เมืองสาเกต ณ ที่นั้น
แล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ
สัททารมณ์ที่ฟังด้วยหูคันธารมณ์ รสารมณ์ และโผฏฐัพพารมณ์ ที่รู้ได้ด้วยทวารนั้นๆ ธรรมารมณ์
ที่รู้แจ้งด้วยใจ ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ของหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ เราได้บรรลุแล้ว เสาะแสวงหาแล้ว ค้นคว้าแล้วด้วยใจ เราย่อมรู้รูปารมณ์ที่
เห็นได้ด้วยจักษุเป็นต้นนั้นรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ตถาคตรู้รูปารมณ์เป็นต้นนั้นแจ้งชัด รูปารมณ์
เป็นต้นนั้นไม่ปรากฏในตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพึงกล่าวว่า ... เราย่อมรู้รูปารมณ์เป็นต้นนั้น
คำนั้นของเราพึงเป็นคำเท็จ เราพึงกล่าวว่า ... เราย่อมรู้รูปารมณ์เป็นต้นนั้นด้วย ไม่รู้ด้วย แม้คำของ
เรานั้นก็พึงเป็นเช่นนั้นแหละ เราพึงกล่าวว่า ... เรารู้ก็หามิได้ ไม่รู้ก็หามิได้ ซึ่งรูปารมณ์เป็นต้นนั้น
คำนั้นจึงเป็นโทษแก่เรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเห็นรูปที่ควรเห็น ย่อมไม่สำคัญว่าเห็นรูปที่เห็น
แล้ว ย่อมไม่สำคัญว่าเป็นรูปที่ยังไม่มีใครเห็น ย่อมไม่สำคัญว่าเห็นรูปที่ควรเห็น ย่อมไม่สำคัญว่า
เห็นรูปที่ควรเห็น ย่อมไม่สำคัญว่าเห็นรูปที่มหาชนดูกันอยู่ ตถาคตฟังเสียงที่ควรฟัง ย่อมไม่สำคัญ
ว่าฟังเสียงที่ฟังแล้วย่อมไม่สำคัญว่าฟังเสียงที่ยังไม่มีใครฟัง ย่อมไม่สำคัญว่าฟังเสียงที่ควรฟัง ย่อม
ไม่สำคัญว่าฟังเสียงที่มหาชนฟังกันอยู่ ตถาคตรู้คันธารมณ์เป็นต้นที่ควรรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธา
รมณ์เป็นต้นที่รู้แล้ว ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธารมณ์เป็นต้นที่ยังไม่มีใครรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้
คันธารมณ์เป็นต้นที่ควรรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธารมณ์เป็นต้นที่มหาชน รู้กันอยู่ ตถาคตรู้แจ้ธรรมา
รมณ์ที่ควรรู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ยัง
ไม่มีใครรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้ง ธรรมารมณ์ที่ควรรู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่มหาชน
รู้แจ้งกันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้คงที่เช่นนั้นเทียว ในธรรมทั้งหลาย คือ รูปารมณ์
สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ์ และเราย่อมกล่าวว่าบุคคลอื่น
ผู้คงที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าตถาคตผู้คงที่นั้นไม่มี ด้วยประการ ฉะนี้แล ฯ
รูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว หรือหมวด ๓ แห่งอารมณ์
มีคันธารมณ์เป็นต้นที่ทราบแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งอันดูดดื่ม
อันชนเหล่าอื่นสำคัญว่าจริง ตถาคตเป็นผู้คงที่ในรูปเป็น
ต้นเหล่านั้น อันสำรวมแล้วเอง ไม่พึงเชื่อคำคนอื่นทั้ง
จริงและเท็จ เราเห็นลูกศร คือ ทิฐินี้ก่อนแล้ว ย่อมรู้
ย่อมเห็นลูกศร คือ ทิฐิที่หมู่สัตว์หมกมุ่นข้องอยู่เช่นนั้น
ความหมกมุ่นย่อมไม่มีแก่ตถาคตทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๔
พรหมจริยสูตร
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้
เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้ เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้
ก็หามิได้ โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด
เพื่อดับกิเลส ฯ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์อัน
เป็นการละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน
เพื่อสังวร เพื่อละ หนทางนี้อันท่านผู้ใหญ่ผู้แสวงหาคุณ
อันใหญ่ดำเนินไปแล้ว อนึ่ง ชนเหล่าใดย่อมดำเนินไปสู่ทาง
นั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำ
ตาม คำสั่งสอนของศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ
จบสูตรที่ ๕
กุหสูตร
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ลวง เป็นผู้กระด้างเป็นคนประจบ มี
ปรกติวางท่า มีมานะดุจไม้อ้อที่ยกขึ้น เป็นผู้ไม่มั่นคง ภิกษุเหล่านั้นหาใช่เป็นผู้นับถือเราไม่
เป็นผู้ไปปราศจากธรรมวินัยนี้ และย่อมไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ส่วนภิกษุ
เหล่าใด เป็นผู้ไม่ลวง ไม่ประจบ เป็นธีรชน ไม่กระด้าง เป็นผู้มั่นคงดี ภิกษุเหล่านั้นแลชื่อว่า
นับถือเราไม่ไปปราศจากธรรมวินัยนี้ และย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ
ภิกษุเหล่าใด ล่อลวง กระด้าง ประจบ วางท่า มีมานะดุจ
ไม้อ้อ และไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่งอกงามใน
ธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ส่วนภิกษุ
เหล่าใดไม่ ล่อลวง ไม่ประจบ เป็นธีรชน ไม่กระด้าง ตั้ง
มั่นดีแล้ว ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรม อัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๖
สันตุฏฐิสูตร
[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัย ๔ อย่างนี้ ทั้งน้อย หาได้ง่าย และหาโทษมิได้
ปัจจัย ๔ อย่างเป็นไฉน คือ บรรดาจีวร บังสุกุลจีวร ทั้งน้อยหาได้ง่าย และหาโทษมิได้ ๑
บรรดาโภชนะ คำข้าวที่หาได้ด้วยปลีแข็ง ทั้งน้อยหาได้ง่าย และหาโทษมิได้ ๑ บรรดาเสนาสนะ
รุกขมูล ทั้งน้อย หาได้ง่ายและหาโทษมิได้ ๑ บรรดาเภสัช มูตรเน่า ทั้งน้อย หาได้ง่าย และ
หาโทษมิได้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัย ๔ อย่างนี้แล ทั้งน้อย หาได้ง่าย หาโทษมิได้ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัย อันน้อยและหาได้ง่าย เราจึงกล่าวข้อนี้ว่า เป็น
องค์แห่งความเป็นสมณะอย่างหนึ่งของเธอ ฯ
เมื่อภิกษุสันโดษด้วยปัจจัยอันหาโทษมิได้ ทั้งน้อยและหา
ได้ง่าย ปรารภเสนาสนะ จีวร ปานะ และโภชนะ จิตของ
เธอก็ไม่คับแค้นไม่กระทบกระเทือนทุกทิศ และธรรม
เหล่าใดอันภิกษุนั้นกล่าวแล้ว อนุโลมแก่สมณธรรม
ธรรมเหล่านั้นอันภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความสันโดษถือเอา
โดยยิ่ง ฯ
จบสูตรที่ ๗
วังสสูตร
[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔ ประการนี้ นักปราชญ์สรรเสริญว่าเป็นเลิศ มี
มานาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจายไม่เคยกระจัดกระจาย อัน
บัณฑิตย่อมไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจ วิญญูชนทั้งสมณะและพราหมณ์ไม่เกลียด อริยวงศ์ ๔ ประการ
เป็นไฉน คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ มีปรกติกล่าวสรรเสริญ
คุณแห่งสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ย่อมไม่ถึงการแสวงหาอันไม่สมควรเพราะจีวรเป็นเหตุเมื่อ
ไม่ได้ก็ไม่ตกใจ ครั้นได้แล้วก็ไม่ยึดถือ ไม่หมกมุ่น ไม่ห่วงใย มีปรกติเห็นโทษ มีปัญญาเครื่อง
รื้อออกใช้สอยอยู่ ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น จริงอยู่ ภิกษุใด
เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยวงศ์อันเป็นของเก่า ซึ่งนักปราชญ์สรรเสริญ
ว่าเป็นเลิศ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ มีปรกติกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ย่อมไม่ถึงการแสวงหาอันไม่สมควรเพราะ
บิณฑบาตเป็นเหตุ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ตกใจ ครั้นได้แล้วก็ไม่ยึดถือ ไม่หมกมุ่น ไม่ห่วงใย มีปรกติ
เห็นโทษ มีปัญญาเครื่องรื้อออกบริโภคอยู่ และย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษ
ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น จริงอยู่ ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการสันโดษด้วย
บิณฑบาตตามมีตามได้นั้น มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนี้เรากล่าวว่า
เป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยวงศ์อันเป็นของเก่า ซึ่งนักปราชญ์สรรเสริญว่าเป็นเลิศ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเป็นผู้สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ มีปรกติกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งการสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ ย่อมไม่ถึงการแสวงหาอันไม่สมควรเพราะ
เสนาสนะเป็นเหตุ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ตกใจ ครั้นได้แล้วย่อมไม่ยึดถือ ไม่หมกมุ่น ไม่ห่วงใย มี
ปรกติเห็นโทษ มีปัญญาเครื่องรื้อออกบริโภคอยู่และย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษ
ด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น จริงอยู่ ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการสันโดษด้วยเสนาสนะ
ตามมีตามได้นั้น มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ตั้ง
อยู่ในอริยวงศ์อันเป็นของเก่า ซึ่งนักปราชญ์สรรเสริญว่าเป็นเลิศ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในภาวนา มีปหานะ
เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในปหานะ ย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะมีภาวนาเป็นที่มายินดี เพราะ
ยินดีในภาวนา เพราะมีปหานะเป็นที่มายินดีเพราะยินดีในปหานะนั้น จริงอยู่ ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน
ไม่เกียจคร้านในภาวนาและปหานะนั้น มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้
เรากล่าวว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยวงศ์อันเป็นของเก่า ซึ่งนักปราชญ์สรรเสริญว่าเป็นเลิศ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔ ประการนี้แล นักปราชญ์รู้ว่าเลิศมีมานาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะเป็น
ของเก่า ไม่กระจัดกระจาย และไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิตย่อมไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจ
วิญญูชนทั้งสมณะและพราหมณ์ไม่เกลียด ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยอริยวงศ์ ๔ ประการนี้ ถึงแม้อยู่ในทิศตะวันออก
เธอย่อมครอบงำความไม่ยินดีเสียได้ ความไม่ยินดีย่อมไม่ครอบงำเธอได้ ถึงแม้เธออยู่ในทิศตะวัน
ตก ... ในทิศเหนือ ... ในทิศใต้ เธอก็ย่อมครอบงำความไม่ยินดีเสียได้ ความไม่ยินดีย่อมไม่
ครอบงำเธอได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเธอเป็นธีรชนครอบงำความไม่ยินดีและความยินดีได้ ฯ
ความยินดีย่อมครอบงำธีรชนไม่ได้ ความไม่ยินดีไม่อาจ
ครอบงำธีรชน ธีรชนย่อมครอบงำความไม่ยินดีได้ เพราะ
ธีรชนเป็นผู้ครอบงำความไม่ยินดี กิเลสอะไรจะมากั้นกาง
บุคคลผู้บรรเทากิเลสเสียได้ มีปรกติละกรรมทั้งปวงได้
เด็ดขาด ใครควรเพื่อจะติเตียนบุคคลนั้นผู้เป็นประดุจแท่ง
ทองชมพูนุทแม้เทวดาก็เชยชม แม้พรหมก็สรรเสริญ ฯ
จบสูตรที่ ๘
ธรรมปทสูตร
[๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทธรรม ๔ ประการนี้ บัณฑิตสรรเสริญว่าเลิศ เป็นของมี
มานาน เป็นประเพณีของพระอริยะเป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย บัณฑิต
ย่อมไม่รังเกียจ และจักไม่รังเกียจอันวิญญูชนทั้งสมณะและพราหมณ์ไม่เกลียด บทธรรม ๔
ประการเป็นไฉน คือบทธรรมคืออนภิชฌา ๑ บทธรรมคืออพยาบาท ๑ บทธรรมคือสัมมาสติ ๑
บทธรรมคือสัมมาสมาธิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทธรรม ๔ ประการนี้แล บัณฑิตสรรเสริญว่าเลิศ
เป็นของมีมานาน เป็นประเพณีของพระอริยะเป็นของเก่าไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย
นักปราชญ์ย่อมไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจวิญญูชนทั้งสมณะและพราหมณ์ไม่เกลียด ฯ
บุคคลไม่พึงเป็นผู้มากไปด้วยความเพ่งเล็ง มีใจไม่พยาบาท
มีสติ มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งตั้งมั่นด้วยดีในความเป็น
กลางอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๙
ปริพาชกสูตร
[๓๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ก็โดย
สมัยนั้นแล พวกปริพาชกผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มากด้วยกันอาศัยอยู่ในปริพาชการามใกล้ฝั่งแม่น้ำ
สิปปินีคือ อันนภารปริพาชก วธรปริพาชกและสุกุลทายิปริพาชก รวมทั้งปริพาชกผู้มีชื่อเสียง
โด่งดังเหล่าอื่นด้วย ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปทาง
ปริพาชการามริมฝั่งแม่น้ำสิปปินี ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ถวาย
ครั้นประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสกะปริพาชกเหล่านั้นว่า ดูกรปริพาชกทั้งหลาย บทแห่งธรรม ๔ ประการ
นี้ บัณฑิตสรรเสริญว่าเป็นเลิศ เป็นของมีมานาน เป็นประเพณีของพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่
กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจายนักปราชญ์ย่อมไม่รังเกียจจักไม่รังเกียจ วิญญูชนทั้งสมณะ
และพราหมณ์ไม่เกลียดบทแห่งธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ บทแห่งธรรมคืออนภิชฌา ๑ บท
แห่งธรรมคือ อพยาบาท ๑ บทแห่งธรรม คือ สัมมาสติ ๑ บทแห่งธรรมคือสัมมาสมาธิ ๑ดูกร
ปริพาชกทั้งหลาย บทแห่งธรรม ๔ ประการนี้แล บัณฑิตสรรเสริญว่าเป็นเลิศเป็นของมีมานาน
เป็นประเพณีของพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจายไม่เคยกระจัดกระจาย บัณฑิตย่อม
ไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจ วิญญูชนทั้งสมณะและพราหมณ์ไม่เกลียด บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
เราบอกคืนบทแห่งธรรมคืออนภิชฌานี้แล้ว จักบัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มากไปด้วยอภิชฌา ผู้มี
ราคะแรงกล้าในกามทั้งหลาย ดังนี้ เราพึงกล่าวในเพราะคำนั้นกะบุคคลนั้น อย่างนี้ว่า จงมา จงกล่าว
จงพูดเถิด เราจักดูอานุภาพของเขา ดังนี้ข้อที่บุคคลนั้นแล บอกคืนบทแห่งธรรมคืออนภิชฌา
แล้ว จักบัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มากไปด้วยอภิชฌา มีราคะแรงกล้าในกามทั้งหลาย นั่นไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้ บุคคลใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราบอกคืนบทแห่งธรรมคืออพยาบาทนี้แล้ว จัก
บัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันเศร้าหมอง เราพึงกล่าวในเพราะ
คำนั้นกะบุคคลนั้นอย่างนี้ว่า จงมา จงกล่าว จงพูดเถิด เราจักดูอานุภาพของเขา ดังนี้ ข้อที่
บุคคลนั้นแลบอกคืนบทแห่งธรรม คืออพยาบาทแล้ว จักบัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีจิตพยาบาท
มีความดำริแห่งใจอันเศร้าหมอง นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ บุคคลใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราบอก
คืนบทแห่งธรรมคือสัมมาสตินี้แล้ว จักบัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีสติหลงลืมผู้ไม่มีสัมปชัญญะ
ดังนี้ เราพึงกล่าวในเพราะคำนั้นกะบุคคลนั้นอย่างนี้ว่า จงมาจงกล่าว จงพูดเถิด เราจักดูอานุภาพ
ของเขา ดังนี้ ข้อที่บุคคลนั้นแลบอกคืนบทแห่งธรรมคือสัมมาสติแล้ว จักบัญญัติสมณะหรือ
พราหมณ์ผู้มีสติหลงลืม ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ บุคคลใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
เราบอกคืนบทแห่งธรรมคือสัมมาสมาธิแล้ว จักบัญญัติสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นผู้มีจิต
หมุนเวียน ดังนี้ เราพึงกล่าวในเพราะคำนั้นกะบุคคลนั้นอย่างนี้ว่า จงมาจงกล่าว จงพูดเถิด
เราจักดูอานุภาพของเขา ดังนี้ ข้อที่บุคคลนั้นแลบอกคืนบทแห่งธรรมคือสัมมาสมาธิแล้ว จักบัญญัติ
สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นผู้มีจิตหมุนเวียน นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ
บุคคลใดแลพึงสำคัญบทแห่งธรรม ๔ ประการนี้ว่า ควรติเตียน ควรคัดค้าน ฐานะอัน
บัณฑิตพึงติเตียน ซึ่งกระทบกระเทือนวาทะอันประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมมาถึงบุคคลนั้น
ในปัจจุบันเทียว บทแห่งธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ ถ้าบุคคลย่อมติเตียน ย่อมคัดค้านบท
แห่งธรรม คือ อนภิชฌาและสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเป็นผู้มากไปด้วยอภิชฌา มีราคะแรงกล้า
ในกามทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น บุคคลนั้นยกย่องบูชาและสรรเสริญ ถ้าบุคคลย่อม
ติเตียน ย่อมคัดค้านบทแห่งธรรม คืออพยาบาท สมณะหรือพราหมณ์ ผู้มีจิตพยาบาท มีความดำริ
แห่งใจอันเศร้าหมอง บุคคลนั้นยกย่องบูชาและสรรเสริญถ้าบุคคลย่อมติเตียน ย่อมคัดค้าน
บทแห่งธรรม คือ สัมมาสติ สมณะหรือพราหมณ์ ผู้มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ บุคคลนั้นยกย่อง
บูชาและสรรเสริญ ถ้าบุคคลย่อมติเตียน ย่อมคัดค้านบทแห่งธรรม คือ สัมมาสมาธิ สมณะหรือ
พราหมณ์ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ผู้มีจิตหมุนเวียน บุคคลนั้นยกย่องบูชาและสรรเสริญ ฯ
บุคคลใดพึงสำคัญบทแห่งธรรม ๓ ประการนี้ว่า ควรติเตียน ควรคัดค้านฐานะอัน
บัณฑิตพึงติเตียน ซึ่งกระทบกระเทือนวาทะอันประกอบด้วยธรรม๔ ประการนี้ ย่อมเข้าถึงบุคคลนั้น
ในปัจจุบันเทียว ปริพาชกชื่อวัสสะและภัญญะผู้อยู่ในอุกกลชนบทเป็นอเหตุกวาทะ อกิริยวาทะ
นัตถิกวาทะ ได้สำคัญบทแห่งธรรม ๔ ประการนี้ว่าไม่ควรติเตียน ไม่ควรคัดค้าน ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะกลัวต่อนินทา กลัวต่อความกระทบกระเทือน และกลัวต่อความติเตียน ฯ
บุคคลผู้ไม่พยาบาท มีสติในกาลทุกเมื่อ มีจิตตั้งมั่นใน
ภายใน ศึกษาในความกำจัดอภิชฌาอยู่ เราเรียกว่าเป็นผู้
ไม่ประมาท ฯ
จบอุรุเวลวรรคที่ ๓
จักกวรรคที่ ๔
จักกสูตร
[๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้ เป็นเครื่องเป็นไปแก่มนุษย์และเทวดา
ผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความ
ไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนักจักร ๔ ประการเป็นไฉน คือ ปฏิรูปเทสวาสะ
การอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๑สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ ๑ อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ๑
และปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายจักร ๔
ประการนี้แล เป็นเครื่องเป็นไปแก่เทวดาและมนุษย์ผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่มนุษย์และเทวดา
ประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนัก ฯ
นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงกระทำอริยชนให้เป็นมิตร
ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีบุญได้กระทำไว้แล้วใน
ปางก่อน ธัญชาติ ทรัพย์ ยศ ชื่อเสียง และความสุข
ย่อมหลั่งไหลมาสู่นรชนนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๑
สังคหสูตร
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ทาน
การให้ ๑ เปยยวัชชะ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ อัตถจริยา ความประพฤติประโยชน์ ๑ สมานัตตา
ความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แล ฯ
การให้ ๑ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ ความประพฤติ
ประโยชน์ ในโลกนี้ ๑ ความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอในธรรม
นั้นๆ ตาม สมควร ๑ ธรรมเหล่านั้นแล เป็นเครื่อง
สงเคราะห์โลก ประดุจสลักเพลาควบคุมรถที่แล่นไปอยู่ไว้ได้
ฉะนั้น ถ้าธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้ ไม่พึงมีไซร้มารดา
หรือบิดาไม่ พึงได้ความนับถือหรือบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร
ก็เพราะเหตุที่ บัณฑิตพิจารณาเห็นธรรมเครื่องสงเคราะห์
เหล่านี้ ฉะนั้นพวกเขาจึงถึงความเป็นใหญ่ และเป็นที่
น่าสรรเสริญ ฯ
จบสูตรที่ ๒
สีหสูตร
[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหมฤคราช ย่อมออกจากที่อาศัยเวลาเย็น ครั้นออกจากที่
อาศัยแล้ว ย่อมเหยียดหยัด ครั้นเหยียดหยัดแล้ว ย่อมเหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ ครั้นเหลียวดู
ทิศทั้ง ๔ โดยรอบแล้ว ย่อมบันลือสีหนาท ๓ครั้ง แล้วย่อมก้าวหน้าไปหาเหยื่อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดแลได้ฟังเสียงของสีหมฤคราชผู้บันลืออยู่ สัตว์เหล่านั้นโดยมากย่อมกลัว
สลดใจและหวาดสะดุ้ง จำพวกอยู่โพรงก็เข้าโพรง จำพวกอาศัยน้ำก็ลงน้ำ จำพวกอาศัยป่าก็เข้าป่า
จำพวกมีปีกย่อมบินขึ้นสู่อากาศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐแห่งพระราชาแม้เหล่าใด
ที่ถูกผูกไว้ในคามนิคมและราชธานีทั้งหลายด้วยเครื่องผูก คือเชือกหนังอันมั่นคง ช้างตัวประเสริฐ
แม้เหล่านั้น พึงทำลายเครื่องผูกเหล่านั้นขาดไป มีความกลัว ถึงถ่ายมูตรและกรีสหนีไปตามทางที่
จะไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหมฤคราชมีฤทธิ์มากอย่างนี้แล มีศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าเหล่าสัตว์
ดิรัจฉาน ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ตถาคตบังเกิดขึ้นในโลก เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่
ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบาน
แล้ว ในกาลนั้นย่อมแสดงธรรมว่า สักกายะดังนี้ เหตุแห่งสักกายะดังนี้ ความดับแห่งสักกายะ
ดังนี้ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งสักกายะดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาแม้เหล่าใดมีอายุยืน
มีรัศมี มีความสุขมาก สถิตอยู่ยั่งยืนในวิมานอันสูงเทวดาแม้เหล่านั้น ฟังธรรมเทศนาของตถาคต
แล้ว โดยมากย่อมกลัว สลดใจหวาดสะดุ้งว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่าพวกเราไม่เที่ยงหนอ
อย่าได้สำคัญว่าเที่ยง พวกเราไม่ยั่งยืนหนอ อย่าได้สำคัญว่ายั่งยืน พวกเราไม่คงที่หนอ อย่าได้
สำคัญว่าคงที่ ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเราไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงที่นับเนื่องในสักกายะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้แล เป็นผู้มีศักดานุภาพยิ่งใหญ่อย่างนี้ กว่าโลก
ทั้งเทวโลก ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดา หาบุคคลเปรียบมิได้ ตรัสรู้
แล้ว ทรงประกาศธรรมจักรแก่โลกทั้งเทวโลก ทรงแสดง
ธรรมคือสักกายะ ได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความ
ดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันมีปรกติ
ยังสัตว์ให้ถึงความระงับทุกข์ ฉันใด เทวดาผู้มีอายุยืนแม้
เหล่าใด มีรัศมี มียศ เป็นผู้กลัวถึงความสะดุ้ง ดุจ
มฤคที่กลัวต่อราชสีห์ ก็ฉันนั้น เทวดาเหล่านั้น เป็นผู้
ก้าวล่วงสักกายะเพราะสดับถ้อยคำของพระอรหันต์ ผู้
หลุดพ้นผู้คงที่ว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า พวกเราไม่เที่ยง ฯ
จบสูตรที่ ๓
ปสาทสูตร
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเท้าก็ตาม ๒ เท้าก็ตาม๔ เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตาม มีรูป
หรือไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ตาม มีประมาณ
เพียงใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันชาวโลกกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ชนเหล่าใด
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้
เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด อริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอริยมรรคอันประกอบด้วย
องค์ ๘ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด วิราคะคือ ธรรมอันย่ำยี
ความเมา ธรรมเครื่องกำจัดความกระหาย ความถอนเสียซึ่งความอาลัย ความเข้าไปตัดวัฏฏะ ธรรม
เป็นที่สิ้นตัณหา ความคลายกำหนัดความดับ นิพพาน เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชน
เหล่าใดเลื่อมใสในวิราคะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชน
ผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ดี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด พระสงฆ์สาวกของ
ตถาคต คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ คือ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของ
คำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เรากล่าวว่าเลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชน
เหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้แล ฯ
บุญที่เลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุข และพละ
อันเลิศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใส
โดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้
เป็นทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ
ซึ่งเป็นธรรมปราศจากราคะ สงบและเป็นสุข เลื่อมใส
ในพระสงฆ์ผู้เลิศ ซึ่งเป็นบุญเขตชั้นเยี่ยม ถวายทานใน
ท่านผู้เลิศนั้น ผู้มีปัญญาตั้งมั่นแล้วในธรรมอันเลิศ ให้ทาน
แก่ท่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์
ก็ตาม ย่อมถึงความเป็นผู้เลิศ บันเทิงอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๔
วัสสการสูตร
[๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของพระเจ้ากรุงมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นเครื่องให้
ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระ
โคดมผู้เจริญ เราย่อมบัญญัติผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้สดับเรื่องที่สดับแล้วนั้นๆ
มาก ย่อมรู้อรรถแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ ๑ เป็นผู้มี
สติ ระลึก ตามระลึกซึ่งสิ่งที่กระทำคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ ๑ เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านใน
กรณียกิจอันเป็นของคฤหัสถ์ ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นทางดำเนินใน
กรณียกิจนั้น สามารถเพื่อจะทำ สามารถจะจัดแจงได้ ๑ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม
๔ ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์พึงอนุโมทนา
ขอท่านพระโคดมทรงอนุโมทนาแก่ข้าพระองค์ แต่ถ้าข้าพระองค์พึงคัดค้าน ขอท่านพระโคดมทรง
คัดค้านแก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาแก่ท่านเลยเราไม่คัดค้านเลย
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญา
ใหญ่ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
แก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่
ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม ๑ บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึก
วิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อม
ดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึง
ความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ ๑ เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนา
ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ กระทำ
ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ๑ ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาและไม่คัดค้านแก่ท่านเลย เราย่อมบัญญัติ
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ฯ
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว
พระโคดมผู้เจริญตรัสคำนี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จะจำไว้ซึ่งพระโคดมผู้เจริญ ว่าประกอบด้วยธรรม ๔
ประการนี้ แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชน
หมู่มาก ทรงยังประชุมชนหมู่มากให้ตั้งอยู่ในญายธรรมอันประเสริฐ คือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม
ความเป็นผู้มีกุศลธรรม แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมทรงตรึกวิตกนั้นได้
ไม่ทรงจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ทรงตรึกวิตกนั้นได้ทรงจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมทรงดำริ
สิ่งที่พึงดำรินั้นได้ ไม่ทรงจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมไม่ทรงดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ แท้จริง
พระโคดมผู้เจริญทรงถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ
ทรงมีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นธรรม
เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านกล่าววาจารับสมอ้างแน่แท้แล และเราจักพยากรณ์แก่ท่าน
แท้จริง เราเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มากเพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชน
หมู่มากให้ตั้งอยู่ในญายธรรมอันประเสริฐคือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม
แท้จริง เราย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้นได้ ไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึก
วิตกนั้นได้ ย่อมจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ ไม่จำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึง
ดำริใด ย่อมไม่ดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ แท้จริง เราเป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตก
ทั้งหลาย แท้จริง เราเป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อัน
มีในจิตยิ่ง เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แท้จริง เรากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
บุคคลใด รู้แจ้งหนทางอันจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวงเสีย
จากบ่วงแห่งมัจจุ ประกาศไญยธรรมอันเกื้อกูลแก่เทวดา
และ มนุษย์ อนึ่ง ชนเป็นอันมากย่อมเลื่อมใสเพราะเห็น
หรือสดับ บุคคลใด เราเรียกบุคคลนั้นซึ่งเป็นผู้ฉลาดต่อ
ธรรมอันเป็น ทางและมิใช่ทาง ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะ
มิได้ เป็นผู้รู้ แล้ว มีสรีระในภพเป็นที่สุดว่า เป็น
มหาบุรุษ ฯ
จบสูตรที่ ๕
โทณสูตร
[๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและ
เมืองเสตัพยะ แม้โทณพราหมณ์ก็เดินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและเมืองเสตัพยะ โทณ
พราหมณ์ได้เห็นรอยกงจักรในรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคมีซี่ตั้งพัน ประกอบด้วยกงและดุม
บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงครั้นเห็นแล้วจึงรำพึงว่า อัศจรรย์จริงหนอท่านผู้เจริญ สิ่งไม่เคยมีมามี
ขึ้น รอยเท้าเหล่านี้ชะรอยจักไม่ใช่รอยเท้ามนุษย์ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออก
จากทาง ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ครั้ง
นั้น โทณพราหมณ์ติดตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคน
ไม้แห่งหนึ่ง น่าพอใจ ควรแก่ความเลื่อมใส มีพระอินทรีย์อันสงบ มีพระทัยอันสงบ ถึงความ
ฝึกฝนและความสงบอันยอดเยี่ยมมีตนอันฝึกแล้วคุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์อันรักษาแล้ว เป็นผู้
ประเสริฐ ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ แล้วทูลถามว่า ท่านผู้เจริญเป็นเทวดาหรือพระผู้มี
พระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นเทวดา ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นคนธรรพ์หรือ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นคนธรรพ์ ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นยักษ์หรือ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นยักษ์ ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นมนุษย์ใช่ไหม ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นมนุษย์
โท. เราถามท่านว่า เป็นเทวดาหรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นคนธรรพ์หรือ
ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นยักษ์หรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นมนุษย์หรือ ท่านก็
ตอบว่าไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นท่านผู้เจริญเป็นอะไรแน่ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นเทวดา เพราะยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้ อาสวะเหล่านั้น
เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นคนธรรพ์ ... เราพึงเป็นยักษ์ ... เราพึงเป็นมนุษย์ เพราะ
ยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาล
ยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนดอก
อุบล ดอกปทุม หรือดอกบัวขาว เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่พ้นน้ำ แต่น้ำมิได้แปดเปื้อน
แม้ฉันใด ดูกรพราหมณ์ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลกเติบโตขึ้นในโลก อยู่ครอบงำโลก
อันโลกมิได้แปดเปื้อน ดูกรพราหมณ์ ท่านจงทรงจำเราไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
ความบังเกิดเป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ ผู้เที่ยวไปในเวหา
พึงมีแก่เราด้วยอาสวะใด เราพึงถึงความเป็นยักษ์ และ
เข้าถึงความเป็นมนุษย์ด้วยอาสวะใด อาสวะเหล่านั้นของ
เรา สิ้นไปแล้ว เรากำจัดเสียแล้ว กระทำให้ปราศจาก
เครื่องผูกพัน ดอกบัวตั้งอยู่พ้นน้ำ ย่อมไม่แปดเปื้อน
ด้วยน้ำ ฉันใดเราก็ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยโลก ฉันนั้น
ดูกรพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
จบสูตรที่ ๖
อปริหานิสูตร
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อม
รอบ ชื่อว่าย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ๑เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ เป็นผู้รู้
ประมาณในโภชนะ ๑ เป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งมีความเพียรเครื่องตื่นอยู่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท
ทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารใน
อินทรีย์ทั้งหลายอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอา
โดยอนุพยัญชนะย่อมประพฤติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศล
ธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมใน
จักขุนทรีย์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา
และโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุเป็นผู้คุ้มครอง
ทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วย่อมกลืนกินซึ่งอาหารมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะ
มัวเมา มิใช่เพื่อประเทืองผิวมิใช่เพื่อจะตกแต่ง เพียงเพื่อร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อ
ยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยหวังว่า จักกำจัดเวทนา
เก่าและจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้บังเกิดขึ้น ความเป็นไป ความที่ร่างกายไม่มีโทษ และความอยู่
สำราญจักมีแก่เรา ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก
ธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี ย่อมสำเร็จสีหไสยาโดยข้าง
เบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ มนสิการความสำคัญในอันจะลุกขึ้น ตลอด
มัชฌิมยามแห่งราตรี ลุกขึ้นแล้วย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วย
การนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อมรอบ ชื่อว่า
ย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
ภิกษุผู้ดำรงอยู่ในศีล สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณ
ในโภชนะ และย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียร
เครื่องตื่น อยู่ ภิกษุผู้มีปรกติพากเพียรอยู่อย่างนี้ ไม่
เกียจคร้านตลอดวันและคืน บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อถึง
ความเกษมจากโยคะภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาทหรือ
มีปรกติเห็นภัยในความ ประมาทเป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อม
ชื่อว่าประพฤติใกล้ นิพพานทีเดียว ฯ
จบสูตรที่ ๗
ปฏิลีนสูตร
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้ว มีการ
แสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว มีกายสังขารอันสงบระงับ เราเรียกว่าผู้มีการหลีกออกเร้นอยู่ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วอย่างไร ทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่าง
เป็นอันมาก ของสมณพราหมณ์ผู้มีกิเลสหนาแน่นเหล่าใด คือ เห็นว่า โลกเที่ยง หรือว่าโลก
ไม่เที่ยง โลกมีที่สุด หรือว่าโลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพเป็นอื่นสรีระ
ก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ทิฏฐิสัจจะเหล่านั้นทั้งหมดอันภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรเทา
ได้แล้ว สละแล้วคายออกแล้ว ปล่อยแล้ว ละได้แล้ว สละคืนแล้ว ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิสัจจะ
แต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวง อันสละแล้วอย่างไร ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ มีการแสวงหากามอันละได้แล้ว มีการแสวงหาภพอันละได้แล้ว มีการแสวงหา
พรหมจรรย์อันสงบแล้ว ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ละอัสมิมานะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วนกระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้น
อีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิ
สัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วมีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
เราเรียกว่าผู้หลีกออกเร้นอยู่ ฯ
การแสวงหากาม การแสวงหาภพ กับการแสวงหา
พรหมจรรย์ อันภิกษุในธรรมวินัยนี้ สละคืนแล้ว การ
เชื่อถือสัจจะ และ ฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย อันภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ถอนขึ้นแล้วด้วยประการดังนี้ ภิกษุผู้สำรอก
ราคะทั้งปวง ผู้หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา สละคืนการ
แสวงหา ถอนฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย ได้แล้ว ภิกษุนั้นแล
เป็นผู้สงบ มีสติ ระงับกายสังขารเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้
เป็นผู้ตรัสรู้เพราะรู้เท่าถึงมานะ เราเรียกว่า เป็นผู้หลีกออก
เร้นอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๘
อุชชยสูตร
[๓๙] ครั้งนั้นแล อุชชยพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับ
พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
ทูลถามว่า แม้พระโคดมผู้เจริญก็กล่าวสรรเสริญยัญของพวกข้าพเจ้าหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์เรามิได้สรรเสริญยัญไปทุกอย่าง และก็มิได้ติเตียนยัญไปทุกอย่าง ดูกรพราหมณ์
ในยัญชนิดใดมีการ ฆ่าโค ฆ่าแพะ แกะ ฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดถูกฆ่าดูกรพราหมณ์
เราไม่สรรเสริญยัญเห็นปานนี้แล อันประกอบด้วยความริเริ่มข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระ
อรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมัค ย่อมไม่เกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันประกอบด้วยความริเริ่ม แต่
ในยัญชนิดใด ไม่มีการฆ่าโคไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดไม่ถูกฆ่า
เราย่อมสรรเสริญยัญเห็นปานนั้นแล อันปราศจากความริเริ่ม คือ นิจทาน อนุกุลยัญข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะพระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันปราศจาก
ความริเริ่ม ฯ
มหายัญที่มีการริเริ่มใหญ่ คือ อัสสเมธ ปุริสเมธ การบูชา
ชื่อสัมมาปาสวาชเปยยะ และนิรัคคละ เหล่านั้น ไม่มี
ผลมาก ในยัญใดมีการฆ่าแพะ แกะ โค และสัตว์ต่างๆ
พระอริยะ ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ย่อม
ไม่เกี่ยวข้องยัญนั้น แต่ยัญใดไม่มีการริเริ่ม เป็นอนุกุล
ยัญที่ชนทั้งหลาย บูชาเสมอ และแพะ แกะ โค สัตว์ต่างๆ
ไม่ถูกฆ่าในยัญใด พระอริยะทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้
แสวงหาคุณใหญ่ย่อมสรรเสริญยัญนั้น นักปราชญ์
ย่อมบูชาอย่างนี้ ยัญนี้มีผลมาก เพราะเมื่อบุคคลบูชาอยู่
อย่างนี้ ย่อมมีแต่ความดีไม่มีความชั่ว และยัญย่อมไพบูลย์
ทั้งเทวดาย่อมเลื่อมใส ฯ
จบสูตรที่ ๙
อุทายสูตร
[๔๐] ครั้งนั้นแล อุทายพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระ
ผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า แม้พระโคดมผู้เจริญย่อมกล่าวสรรเสริญยัญของพวกข้าพเจ้าหรือ พระ
ผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรพราหมณ์ เรามิได้สรรเสริญยัญไปทุกอย่าง และก็มิได้ติเตียนยัญไปทุกอย่าง
ดูกรพราหมณ์ ในยัญชนิดใด มีการฆ่าโค ฆ่าแพะ แกะ ฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดถูกฆ่า เรา
ไม่สรรเสริญยัญเห็นปานนี้ อันประกอบด้วยความริเริ่ม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระอรหันต์
หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมไม่เกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันประกอบด้วยความริเริ่ม แต่ในยัญ
ชนิดใดไม่มีการฆ่าโค ไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดไม่ถูกฆ่า เราย่อม
สรรเสริญยัญเห็นปานนี้ อันปราศจากความริเริ่ม ได้แก่นิจทาน อนุกุลยัญ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะพระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเกี่ยวข้องยัญเห็นปานนี้อันปราศจากความริเริ่ม ฯ
ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว ย่อม
สรรเสริญยัญชนิดที่กระทำเป็นหมวด ไม่มีความริเริ่ม ควร
โดยกาลเช่นนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ผู้ฉลาดต่อบุญ ผู้มีกิเลส
เพียงดังว่าหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ผู้ล่วงเลยตระกูล
และคติไปแล้ว ย่อมสรรเสริญยัญชนิดนี้ ถ้าบุคคลกระ
ทำการบูชาในยัญ หรือในมตกทานตามสมควร มีจิตเลื่อมใส
บูชา ในเนื้อนาอันดี คือ พรหมจารีบุคคลทั้งหลาย ยัญที่
บุคคล บูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว อัน
บุคคลกระทำแล้วในทักขิเณยยบุคคลทั้งหลาย ย่อมเป็น
ยัญไพบูลย์ และเทวดาย่อมเลื่อมใส บัณฑิตผู้มีเมธาเป็น
ผู้มีศรัทธา มีใจ อันสละแล้ว บูชายัญอย่างนี้แล้ว ย่อม
เข้าถึงโลก อันปราศจาก ความเบียดเบียน เป็นสุข ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบจักกวรรคที่ ๔
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
สมาธิสูตร
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สมาธิ
ภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันมีอยู่ ๑
สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่
๑ สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ ๑
สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะมีอยู่ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็น
สุขในปัจจุบันเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็น
ธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะสรรเสริญว่า ผู้
ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละ
ทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ได้มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา
อธิษฐานทิวาสัญญา ว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือน กลางคืน มีใจอันสงัด ปราศ
จากเครื่องรัดรึง อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคล
เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้แจ้ง
เวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป รู้แจ้งสัญญาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่ตั้ง
อยู่ รู้แจ้งสัญญาที่ดับไป รู้แจ้งวิตกที่เกิดขึ้นรู้แจ้งวิตกที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่ดับไป ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้น
อาสวะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน
อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนา
เป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้ สัญญาเป็นดังนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
เป็นดังนี้ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้ วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ความดับ
แห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลายสมาธิภาวนา ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง คำต่อไปนี้ เรากล่าวแล้วในปุณณปัญหาในปรายนวรรค หมายเอาข้อความนี้ว่า
ความหวั่นไหวไม่มีแก่บุคคลใด ในโลกไหนๆ เพราะ
รู้ความสูงต่ำในโลก บุคคลนั้นเป็นผู้สงบปราศจากควันคือ
ความโกรธ เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้หมดหวัง
เรากล่าวว่า ข้าม ชาติและชราได้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๑
ปัญหาสูตร
[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญหาพยากรณ์ ๔ อย่างนี้ ๔ อย่างเป็นไฉน คือ ปัญหา
ที่พึงพยากรณ์โดยส่วนเดียวมีอยู่ ๑ ปัญหาที่พึงจำแนกพยากรณ์มีอยู่ ๑ ปัญหาที่ต้องสอบถามแล้ว
พยากรณ์มีอยู่ ๑ ปัญหาที่ควรงดมีอยู่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายปัญหาพยากรณ์ ๔ อย่าง นี้แล ฯ
๑. กล่าวแก้โดยส่วนเดียว ๒. จำแนกกล่าวแก้ ๓. ย้อน
ถาม กล่าวแก้ ๔. การงดกล่าวแก้ อนึ่ง ภิกษุใดย่อมรู้ความ
สมควรแก่ธรรมในฐานะนั้นๆ แห่งปัญญาเหล่านั้น บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวภิกษุอย่างนั้นว่า เป็นผู้ฉลาดต่อปัญหาทั้ง ๔
ภิกษุผู้ที่ใครๆ ไล่ปัญหาได้ยาก ครอบงำได้ยาก เป็นผู้ลึก
ซึ้งให้พ่ายแพ้ได้ยาก และเป็นผู้ฉลาดต่อประโยชน์ทั้ง ๒
คือ ทั้งในด้านเจริญและในด้านเสื่อม ย่อมเป็นผู้ฉลาดงด
เว้นทางเสื่อม ถือเอาทางเจริญ เป็นธีรชนเพราะรู้จัก
ประโยชน์ ชาวโลกขนานนามว่า บัณฑิต ฯ
จบสูตรที่ ๒
โกธสูตรที่ ๑
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ เป็นผู้หนักในความโกรธ ไม่หนักในสัทธรรม ๑เป็นผู้หนักในความลบหลู่ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑ เป็นผู้หนักในลาภ ไม่หนักในสัทธรรม ๑ เป็นผู้หนักในสักการะ ไม่หนักในสัทธรรม
๑ บุคคล ๔จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่
ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ เป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในความโกรธ ๑ เป็นผู้หนักใน
สัทธรรม ไม่หนักในความลบหลู่ ๑ เป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในลาภ ๑ เป็นผู้หนักใน
สัทธรรม ไม่หนักในสักการะ ๑บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ภิกษุผู้หนักในความโกรธ และความลบหลู่ หนักในลาภ
และสักการะ พวกเธอย่อมไม่งอกงามในธรรมอันพระ
สัมมาสัมพุทธะแสดงแล้ว ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้หนัก
ใน สัทธรรมอยู่แล้ว และกำลังเป็นผู้หนักในสัทธรรมอยู่
ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรมอันพระสัมมา
สัมพุทธะ ทรงแสดงแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๓
โกธสูตรที่ ๒
[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสัทธรรม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความ
เป็นผู้หนักในความโกรธ ไม่เป็นผู้หนักในสัทธรรม ๑ความเป็นผู้หนักในความลบหลู่ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑ ความเป็นผู้หนักในลาภไม่หนักในสัทธรรม ๑ ความเป็นผู้หนักในสักการะ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑อสัทธรรม ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็น
ไฉน คือ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในความโกรธ ๑ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่
หนักในความลบหลู่ ๑ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในลาภ ๑ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม
ไม่หนักในสักการะ ๑สัทธรรม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภิกษุผู้หนักในความโกรธและความลบหลู่ หนักในลาภ
และ สักการะ ย่อมไม่งอกงามในพระสัทธรรม ดุจพืชที่
หว่านไว้ในนาไม่ดี ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้หนักใน
สัทธรรมอยู่แล้วและกำลังเป็นผู้หนักในสัทธรรม ภิกษุ
เหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรม ประดุจต้นไม้อาศัย
ยางงอกงามอยู่ ฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๔
โรหิตัสสสูตรที่ ๑
[๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแลโรหิตัสสเทวบุตร เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มี
รัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์
ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติในโอกาสใดหนอแล พระองค์
อาจหรือหนอเพื่อจะทรงทราบ เพื่อจะทรงเห็นหรือเพื่อจะทรงถึงซึ่งที่สุดแห่งโลกด้วยการเสด็จไป
ในโอกาสนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย
ย่อมไม่จุติย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลกที่ควรรู้
ควรเห็น ควรถึงด้วยการไป ฯ
โร. อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัส
พระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตายย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วย
การไป เป็นอันตรัสดีแล้วข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิ
ตัสสะเป็นบุตรนายบ้าน มีฤทธิ์ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้นเปรียบได้กับนายขมัง
ธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษาดีแล้ว เชี่ยวชาญ เคยแสดงให้ปรากฏแล้ว พึงยิงลูกศรอันเบาให้
ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้โดยไม่สู้ยาก ฉะนั้นการยกย่างเท้าแต่ละก้าวของข้าพระองค์ เปรียบด้วย
สมุทรด้านตะวันตกไกลจากสมุทรด้านตะวันออก ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็น
ปานนี้ว่า เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็ว
เห็นปานนั้น และด้วยการยกย่างเท้าเห็นปานนั้น ข้าพระองค์นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว
การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับและการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย
เป็นผู้มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปีในคราวที่มนุษย์มีอายุร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุดแห่งโลก ได้ทำ
กาละเสียในระหว่างทีเดียว น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้นพระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มี
พระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโสสัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ
ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควร
ถึงด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
พ. ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป
และเราย่อมไม่กล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก
เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่ง
โลก ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีใจนี้เท่านั้น ฯ
ในกาลไหนๆ ที่สุดแห่งโลก อันใครๆ ไม่พึงถึงด้วย
การไป และการเปลื้องตนให้พ้นจากทุกข์ ย่อมไม่มีเพราะ
ไม่ถึงที่สุดแห่งโลก เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก
มีเมธาดี ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็น
ผู้มีบาป อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว ย่อมไม่หวังโลกนี้
และ โลกหน้า ฯ
จบสูตรที่ ๕
โรหิตัสสสูตรที่ ๒
[๔๖] ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีนั้นผ่านไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว โรหิตัสสเทวบุตร มีรัศมีงามยิ่ง
นัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทเราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง แล้วได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตายย่อม
ไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดหนอแล พระองค์อาจหรือหนอเพื่อจะทรงทราบ เพื่อจะทรงเห็น
หรือเพื่อจะทรงถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไปในโอกาสนั้นดังนี้ เมื่อเทวบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว เรา
ได้กล่าวกะเทวบุตรนั้นว่า ดูกรอาวุโสสัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อม
ไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควร
ถึงด้วยการไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว โรหิตัสสเทวบุตรได้กล่าวกะเราว่า น่า
อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้าเท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า สัตว์
ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าว
โอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิตัสสะเป็นบุตรนายบ้านมีฤทธิ์
ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้น เปรียบได้กับนายขมังธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษา
ดีแล้ว เคยแสดงให้ปรากฏแล้วพึงยิงลูกศรอันเบาให้ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้โดยไม่สู้ยาก ฉะนั้น
การยกย่างเท้าแต่ละก้าวของข้าพระองค์ เปรียบด้วยสมุทรด้านตะวันตกไกลจากสมุทรด้านตะวันออก
ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็นปานนี้ว่า เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป ดังนี้
ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์นั้น ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็วเห็นปานนั้น และด้วยการยกย่างเท้าเห็นปานนั้น
ข้าพระองค์นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
เว้นจากการหลับและการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปีในคราวที่มนุษย์มีอายุ
ร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุดแห่งโลก ได้ทำกาละเสียในระหว่างทีเดียว น่าอัศจรรย์
พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่
อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วย
การไป ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเทวบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะเทวบุตรว่า ดูกรอาวุโส
สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าว
โอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไปและเราย่อมไม่กล่าวการ
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความ
ดับแห่งโลก ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลก ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีจิต
นี้เท่านั้น
ในกาลไหนๆ ที่สุดแห่งโลกอันใครๆ ไม่พึงถึงด้วย
การไปและการเปลื้องทุกข์ย่อมไม่มี เพราะไม่ถึงที่สุด
แห่งโลก เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก มีเมธาดี
ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็นผู้มีบาป
อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลก แล้ว ย่อมไม่หวังโลกนี้ และ
โลกหน้า ฯ
จบสูตรที่ ๖
สุวิทูรสูตร
[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไกลกันแสนไกล ๔ ประการ นี้ ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฟ้ากับแผ่นดิน นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกลประการที่ ๑ ฝั่งนี้และฝั่งโน้นแห่ง
สมุทร นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกลประการที่ ๒ พระอาทิตย์ยามขึ้นและยามอัสดงคตนี้เป็นสิ่งที่
ไกลกันแสนไกลประการที่ ๓ ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษ นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกล
ประการที่ ๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไกลกันแสนไกล ๔ ประการนี้แล ฯ
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน ฝั่งสมุทร
ก็ไกลกัน พระอาทิตย์ส่องแสงยามอุทัยกับยามอัสดงคต
ไกลกัน บัณฑิตกล่าวว่า ธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของ
อสัตบุรุษไกลกันยิ่งกว่านั้น การสมาคมของสัตบุรุษ
มั่นคงยืดยาว ย่อมเป็นอย่างนั้นตราบเท่ากาลที่พึงดำรงอยู่
ส่วนการสมาคมของอสัตบุรุษ ย่อมจืดจางเร็ว เพราะฉะนั้น
ธรรมของสัตบุรุษ จึงไกลจากธรรมของอสัตบุรุษ ฯ
จบสูตรที่ ๘
วิสาขสูตร
[๔๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านวิสาขปัญจาลิบุตร ได้ชี้แจงภิกษุ
ทั้งหลาย ในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็น
วาจาของชาวเมืองสละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่
อิงวัฏฏะ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้นในสายัณห์สมัย เสด็จไปยังอุปัฏฐานศาลา
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครหนอ
ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
อันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องใน
นิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านวิสาขปัญจาลิบุตร ชี้แจง
ภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอัน
เป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวยปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน
ไม่อิงวัฏฏะครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลิบุตรว่า ดีละ ดีละวิสาขะ
เป็นการดีแล้ววิสาขะ ที่เธอชี้แจงภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวยปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับ
เนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ฯ
คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือ
บัณฑิต ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่า เป็นผู้แสดง
อมตบท บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธง
ของฤาษี ทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะ
ว่าธรรมเป็น ธงของพวกฤาษี ฯ
จบสูตรที่ ๘
วิปัลลาสสูตร
[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔ประการนี้ ๔
ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส
จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส
ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑
ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ
เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญ
ผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่ง
ที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
และสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อ
ว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษม
จากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร
ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด
ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้
เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา
ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้ว ได้จิตของตน
ควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็น
สิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่ เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความ
เป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่
ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม สมาทานสัมมาทิฐิ จึง
ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ
จบสูตรที่ ๙
อุปกิเลสสูตร
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องมัวหมองของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุ
ให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่ส่องแสง ไม่ไพโรจน์มี ๔ ประการนี้ ๔ ประการ
เป็นไฉน คือ เมฆ ๑ หมอก ๑ ควันและละออง ๑ราหูจอมอสูร ๑ เครื่องมัวหมองของ
พระจันทร์และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่สว่างไสว
ไม่ไพโรจน์ ๔ ประการนี้แลดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันเป็นเหตุ
ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ก็มี ๔ ประการ ฉันนั้นเหมือนกัน
๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุราและเมรัย ไม่งดเว้น
จากการดื่มสุราและเมรัย นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๑ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
เสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๒ มีสมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน นี้เป็นอุปกิเลสของสมณ
พราหมณ์ประการที่ ๓ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ
นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๔ ดูกรภิกษุทั้งหลายอุปกิเลสของสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ฯ
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ถูกราคะและโทสะ ปกคลุมแล้ว
อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว เพลิดเพลินรูปที่น่ารัก ย่อมดื่มสุรา
และเมรัย เสพเมถุน เป็นผู้ไม่รู้แจ้ง ยินดีรับทองและเงิน
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ
อุป กิเลสอันเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่
รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์
มีธุลีคือกิเลส เป็นผู้อันความมืดรัดรึงแล้ว เป็นทาส
แห่งตัณหา อันตัณหานำไปด้วยดี ย่อมยังอัตภาพอัน
หยาบให้เจริญ ย่อมยินดีภพใหม่เหล่านี้ อันพระพุทธเจ้า
ผู้เป็น เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ตรัสไว้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบโรหิตัสสวรรคที่ ๕
จักกสูตร
[๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้ เป็นเครื่องเป็นไปแก่มนุษย์และเทวดา
ผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความ
ไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนักจักร ๔ ประการเป็นไฉน คือ ปฏิรูปเทสวาสะ
การอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๑สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ ๑ อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ๑
และปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายจักร ๔
ประการนี้แล เป็นเครื่องเป็นไปแก่เทวดาและมนุษย์ผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่มนุษย์และเทวดา
ประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนัก ฯ
นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงกระทำอริยชนให้เป็นมิตร
ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีบุญได้กระทำไว้แล้วใน
ปางก่อน ธัญชาติ ทรัพย์ ยศ ชื่อเสียง และความสุข
ย่อมหลั่งไหลมาสู่นรชนนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๑
สังคหสูตร
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ทาน
การให้ ๑ เปยยวัชชะ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ อัตถจริยา ความประพฤติประโยชน์ ๑ สมานัตตา
ความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แล ฯ
การให้ ๑ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ ความประพฤติ
ประโยชน์ ในโลกนี้ ๑ ความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอในธรรม
นั้นๆ ตาม สมควร ๑ ธรรมเหล่านั้นแล เป็นเครื่อง
สงเคราะห์โลก ประดุจสลักเพลาควบคุมรถที่แล่นไปอยู่ไว้ได้
ฉะนั้น ถ้าธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้ ไม่พึงมีไซร้มารดา
หรือบิดาไม่ พึงได้ความนับถือหรือบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร
ก็เพราะเหตุที่ บัณฑิตพิจารณาเห็นธรรมเครื่องสงเคราะห์
เหล่านี้ ฉะนั้นพวกเขาจึงถึงความเป็นใหญ่ และเป็นที่
น่าสรรเสริญ ฯ
จบสูตรที่ ๒
สีหสูตร
[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหมฤคราช ย่อมออกจากที่อาศัยเวลาเย็น ครั้นออกจากที่
อาศัยแล้ว ย่อมเหยียดหยัด ครั้นเหยียดหยัดแล้ว ย่อมเหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ ครั้นเหลียวดู
ทิศทั้ง ๔ โดยรอบแล้ว ย่อมบันลือสีหนาท ๓ครั้ง แล้วย่อมก้าวหน้าไปหาเหยื่อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดแลได้ฟังเสียงของสีหมฤคราชผู้บันลืออยู่ สัตว์เหล่านั้นโดยมากย่อมกลัว
สลดใจและหวาดสะดุ้ง จำพวกอยู่โพรงก็เข้าโพรง จำพวกอาศัยน้ำก็ลงน้ำ จำพวกอาศัยป่าก็เข้าป่า
จำพวกมีปีกย่อมบินขึ้นสู่อากาศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐแห่งพระราชาแม้เหล่าใด
ที่ถูกผูกไว้ในคามนิคมและราชธานีทั้งหลายด้วยเครื่องผูก คือเชือกหนังอันมั่นคง ช้างตัวประเสริฐ
แม้เหล่านั้น พึงทำลายเครื่องผูกเหล่านั้นขาดไป มีความกลัว ถึงถ่ายมูตรและกรีสหนีไปตามทางที่
จะไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหมฤคราชมีฤทธิ์มากอย่างนี้แล มีศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าเหล่าสัตว์
ดิรัจฉาน ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ตถาคตบังเกิดขึ้นในโลก เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่
ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบาน
แล้ว ในกาลนั้นย่อมแสดงธรรมว่า สักกายะดังนี้ เหตุแห่งสักกายะดังนี้ ความดับแห่งสักกายะ
ดังนี้ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งสักกายะดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาแม้เหล่าใดมีอายุยืน
มีรัศมี มีความสุขมาก สถิตอยู่ยั่งยืนในวิมานอันสูงเทวดาแม้เหล่านั้น ฟังธรรมเทศนาของตถาคต
แล้ว โดยมากย่อมกลัว สลดใจหวาดสะดุ้งว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่าพวกเราไม่เที่ยงหนอ
อย่าได้สำคัญว่าเที่ยง พวกเราไม่ยั่งยืนหนอ อย่าได้สำคัญว่ายั่งยืน พวกเราไม่คงที่หนอ อย่าได้
สำคัญว่าคงที่ ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเราไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงที่นับเนื่องในสักกายะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้แล เป็นผู้มีศักดานุภาพยิ่งใหญ่อย่างนี้ กว่าโลก
ทั้งเทวโลก ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดา หาบุคคลเปรียบมิได้ ตรัสรู้
แล้ว ทรงประกาศธรรมจักรแก่โลกทั้งเทวโลก ทรงแสดง
ธรรมคือสักกายะ ได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความ
ดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันมีปรกติ
ยังสัตว์ให้ถึงความระงับทุกข์ ฉันใด เทวดาผู้มีอายุยืนแม้
เหล่าใด มีรัศมี มียศ เป็นผู้กลัวถึงความสะดุ้ง ดุจ
มฤคที่กลัวต่อราชสีห์ ก็ฉันนั้น เทวดาเหล่านั้น เป็นผู้
ก้าวล่วงสักกายะเพราะสดับถ้อยคำของพระอรหันต์ ผู้
หลุดพ้นผู้คงที่ว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า พวกเราไม่เที่ยง ฯ
จบสูตรที่ ๓
ปสาทสูตร
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเท้าก็ตาม ๒ เท้าก็ตาม๔ เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตาม มีรูป
หรือไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ตาม มีประมาณ
เพียงใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันชาวโลกกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ชนเหล่าใด
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้
เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด อริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอริยมรรคอันประกอบด้วย
องค์ ๘ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่งมีประมาณเท่าใด วิราคะคือ ธรรมอันย่ำยี
ความเมา ธรรมเครื่องกำจัดความกระหาย ความถอนเสียซึ่งความอาลัย ความเข้าไปตัดวัฏฏะ ธรรม
เป็นที่สิ้นตัณหา ความคลายกำหนัดความดับ นิพพาน เรากล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ชน
เหล่าใดเลื่อมใสในวิราคะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชน
ผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ดี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด พระสงฆ์สาวกของ
ตถาคต คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ คือ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของ
คำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เรากล่าวว่าเลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั้น ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชน
เหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในสิ่งเลิศ และวิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย ความเลื่อมใสในสิ่งเลิศ ๔ ประการนี้แล ฯ
บุญที่เลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุข และพละ
อันเลิศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใส
โดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้
เป็นทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ
ซึ่งเป็นธรรมปราศจากราคะ สงบและเป็นสุข เลื่อมใส
ในพระสงฆ์ผู้เลิศ ซึ่งเป็นบุญเขตชั้นเยี่ยม ถวายทานใน
ท่านผู้เลิศนั้น ผู้มีปัญญาตั้งมั่นแล้วในธรรมอันเลิศ ให้ทาน
แก่ท่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์
ก็ตาม ย่อมถึงความเป็นผู้เลิศ บันเทิงอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๔
วัสสการสูตร
[๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของพระเจ้ากรุงมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นเครื่องให้
ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระ
โคดมผู้เจริญ เราย่อมบัญญัติผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้สดับเรื่องที่สดับแล้วนั้นๆ
มาก ย่อมรู้อรรถแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ ๑ เป็นผู้มี
สติ ระลึก ตามระลึกซึ่งสิ่งที่กระทำคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ ๑ เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านใน
กรณียกิจอันเป็นของคฤหัสถ์ ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นทางดำเนินใน
กรณียกิจนั้น สามารถเพื่อจะทำ สามารถจะจัดแจงได้ ๑ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม
๔ ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์พึงอนุโมทนา
ขอท่านพระโคดมทรงอนุโมทนาแก่ข้าพระองค์ แต่ถ้าข้าพระองค์พึงคัดค้าน ขอท่านพระโคดมทรง
คัดค้านแก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาแก่ท่านเลยเราไม่คัดค้านเลย
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญา
ใหญ่ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
แก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่
ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม ๑ บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึก
วิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อม
ดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึง
ความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ ๑ เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนา
ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ กระทำ
ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ๑ ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาและไม่คัดค้านแก่ท่านเลย เราย่อมบัญญัติ
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ฯ
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว
พระโคดมผู้เจริญตรัสคำนี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จะจำไว้ซึ่งพระโคดมผู้เจริญ ว่าประกอบด้วยธรรม ๔
ประการนี้ แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชน
หมู่มาก ทรงยังประชุมชนหมู่มากให้ตั้งอยู่ในญายธรรมอันประเสริฐ คือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม
ความเป็นผู้มีกุศลธรรม แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมทรงตรึกวิตกนั้นได้
ไม่ทรงจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ทรงตรึกวิตกนั้นได้ทรงจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมทรงดำริ
สิ่งที่พึงดำรินั้นได้ ไม่ทรงจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมไม่ทรงดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ แท้จริง
พระโคดมผู้เจริญทรงถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ
ทรงมีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นธรรม
เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แท้จริง พระโคดมผู้เจริญ ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านกล่าววาจารับสมอ้างแน่แท้แล และเราจักพยากรณ์แก่ท่าน
แท้จริง เราเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มากเพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชน
หมู่มากให้ตั้งอยู่ในญายธรรมอันประเสริฐคือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม
แท้จริง เราย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้นได้ ไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึก
วิตกนั้นได้ ย่อมจำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึงดำริใด ย่อมดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ ไม่จำนงเพื่อดำริสิ่งที่พึง
ดำริใด ย่อมไม่ดำริสิ่งที่พึงดำรินั้นได้ แท้จริง เราเป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตก
ทั้งหลาย แท้จริง เราเป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อัน
มีในจิตยิ่ง เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แท้จริง เรากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
บุคคลใด รู้แจ้งหนทางอันจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวงเสีย
จากบ่วงแห่งมัจจุ ประกาศไญยธรรมอันเกื้อกูลแก่เทวดา
และ มนุษย์ อนึ่ง ชนเป็นอันมากย่อมเลื่อมใสเพราะเห็น
หรือสดับ บุคคลใด เราเรียกบุคคลนั้นซึ่งเป็นผู้ฉลาดต่อ
ธรรมอันเป็น ทางและมิใช่ทาง ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะ
มิได้ เป็นผู้รู้ แล้ว มีสรีระในภพเป็นที่สุดว่า เป็น
มหาบุรุษ ฯ
จบสูตรที่ ๕
โทณสูตร
[๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและ
เมืองเสตัพยะ แม้โทณพราหมณ์ก็เดินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและเมืองเสตัพยะ โทณ
พราหมณ์ได้เห็นรอยกงจักรในรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคมีซี่ตั้งพัน ประกอบด้วยกงและดุม
บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงครั้นเห็นแล้วจึงรำพึงว่า อัศจรรย์จริงหนอท่านผู้เจริญ สิ่งไม่เคยมีมามี
ขึ้น รอยเท้าเหล่านี้ชะรอยจักไม่ใช่รอยเท้ามนุษย์ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออก
จากทาง ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ครั้ง
นั้น โทณพราหมณ์ติดตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคน
ไม้แห่งหนึ่ง น่าพอใจ ควรแก่ความเลื่อมใส มีพระอินทรีย์อันสงบ มีพระทัยอันสงบ ถึงความ
ฝึกฝนและความสงบอันยอดเยี่ยมมีตนอันฝึกแล้วคุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์อันรักษาแล้ว เป็นผู้
ประเสริฐ ครั้นเห็นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ แล้วทูลถามว่า ท่านผู้เจริญเป็นเทวดาหรือพระผู้มี
พระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นเทวดา ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นคนธรรพ์หรือ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นคนธรรพ์ ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นยักษ์หรือ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นยักษ์ ฯ
โท. ท่านผู้เจริญเป็นมนุษย์ใช่ไหม ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นมนุษย์
โท. เราถามท่านว่า เป็นเทวดาหรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นคนธรรพ์หรือ
ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นยักษ์หรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นมนุษย์หรือ ท่านก็
ตอบว่าไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นท่านผู้เจริญเป็นอะไรแน่ ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นเทวดา เพราะยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้ อาสวะเหล่านั้น
เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นคนธรรพ์ ... เราพึงเป็นยักษ์ ... เราพึงเป็นมนุษย์ เพราะ
ยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาล
ยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนดอก
อุบล ดอกปทุม หรือดอกบัวขาว เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่พ้นน้ำ แต่น้ำมิได้แปดเปื้อน
แม้ฉันใด ดูกรพราหมณ์ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลกเติบโตขึ้นในโลก อยู่ครอบงำโลก
อันโลกมิได้แปดเปื้อน ดูกรพราหมณ์ ท่านจงทรงจำเราไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
ความบังเกิดเป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ ผู้เที่ยวไปในเวหา
พึงมีแก่เราด้วยอาสวะใด เราพึงถึงความเป็นยักษ์ และ
เข้าถึงความเป็นมนุษย์ด้วยอาสวะใด อาสวะเหล่านั้นของ
เรา สิ้นไปแล้ว เรากำจัดเสียแล้ว กระทำให้ปราศจาก
เครื่องผูกพัน ดอกบัวตั้งอยู่พ้นน้ำ ย่อมไม่แปดเปื้อน
ด้วยน้ำ ฉันใดเราก็ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยโลก ฉันนั้น
ดูกรพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
จบสูตรที่ ๖
อปริหานิสูตร
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อม
รอบ ชื่อว่าย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ๑เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ เป็นผู้รู้
ประมาณในโภชนะ ๑ เป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งมีความเพียรเครื่องตื่นอยู่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท
ทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารใน
อินทรีย์ทั้งหลายอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอา
โดยอนุพยัญชนะย่อมประพฤติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศล
ธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมใน
จักขุนทรีย์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา
และโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุเป็นผู้คุ้มครอง
ทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วย่อมกลืนกินซึ่งอาหารมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะ
มัวเมา มิใช่เพื่อประเทืองผิวมิใช่เพื่อจะตกแต่ง เพียงเพื่อร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อ
ยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยหวังว่า จักกำจัดเวทนา
เก่าและจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้บังเกิดขึ้น ความเป็นไป ความที่ร่างกายไม่มีโทษ และความอยู่
สำราญจักมีแก่เรา ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก
ธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี ย่อมสำเร็จสีหไสยาโดยข้าง
เบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ มนสิการความสำคัญในอันจะลุกขึ้น ตลอด
มัชฌิมยามแห่งราตรี ลุกขึ้นแล้วย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้นด้วยการเดินจงกรม ด้วย
การนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อมรอบ ชื่อว่า
ย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
ภิกษุผู้ดำรงอยู่ในศีล สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณ
ในโภชนะ และย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียร
เครื่องตื่น อยู่ ภิกษุผู้มีปรกติพากเพียรอยู่อย่างนี้ ไม่
เกียจคร้านตลอดวันและคืน บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อถึง
ความเกษมจากโยคะภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาทหรือ
มีปรกติเห็นภัยในความ ประมาทเป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อม
ชื่อว่าประพฤติใกล้ นิพพานทีเดียว ฯ
จบสูตรที่ ๗
ปฏิลีนสูตร
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้ว มีการ
แสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว มีกายสังขารอันสงบระงับ เราเรียกว่าผู้มีการหลีกออกเร้นอยู่ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วอย่างไร ทิฏฐิสัจจะแต่ละอย่าง
เป็นอันมาก ของสมณพราหมณ์ผู้มีกิเลสหนาแน่นเหล่าใด คือ เห็นว่า โลกเที่ยง หรือว่าโลก
ไม่เที่ยง โลกมีที่สุด หรือว่าโลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพเป็นอื่นสรีระ
ก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ทิฏฐิสัจจะเหล่านั้นทั้งหมดอันภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรเทา
ได้แล้ว สละแล้วคายออกแล้ว ปล่อยแล้ว ละได้แล้ว สละคืนแล้ว ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิสัจจะ
แต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวง อันสละแล้วอย่างไร ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ มีการแสวงหากามอันละได้แล้ว มีการแสวงหาภพอันละได้แล้ว มีการแสวงหา
พรหมจรรย์อันสงบแล้ว ภิกษุเป็นผู้มีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุเป็นผู้มีกายสังขารอันสงบระงับอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ละอัสมิมานะได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วนกระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้น
อีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิ
สัจจะแต่ละอย่างอันบรรเทาได้แล้วมีการแสวงหาทั้งปวงอันสละแล้ว มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
เราเรียกว่าผู้หลีกออกเร้นอยู่ ฯ
การแสวงหากาม การแสวงหาภพ กับการแสวงหา
พรหมจรรย์ อันภิกษุในธรรมวินัยนี้ สละคืนแล้ว การ
เชื่อถือสัจจะ และ ฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย อันภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ถอนขึ้นแล้วด้วยประการดังนี้ ภิกษุผู้สำรอก
ราคะทั้งปวง ผู้หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา สละคืนการ
แสวงหา ถอนฐานะแห่งทิฐิทั้งหลาย ได้แล้ว ภิกษุนั้นแล
เป็นผู้สงบ มีสติ ระงับกายสังขารเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้
เป็นผู้ตรัสรู้เพราะรู้เท่าถึงมานะ เราเรียกว่า เป็นผู้หลีกออก
เร้นอยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๘
อุชชยสูตร
[๓๙] ครั้งนั้นแล อุชชยพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับ
พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
ทูลถามว่า แม้พระโคดมผู้เจริญก็กล่าวสรรเสริญยัญของพวกข้าพเจ้าหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์เรามิได้สรรเสริญยัญไปทุกอย่าง และก็มิได้ติเตียนยัญไปทุกอย่าง ดูกรพราหมณ์
ในยัญชนิดใดมีการ ฆ่าโค ฆ่าแพะ แกะ ฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดถูกฆ่าดูกรพราหมณ์
เราไม่สรรเสริญยัญเห็นปานนี้แล อันประกอบด้วยความริเริ่มข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระ
อรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมัค ย่อมไม่เกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันประกอบด้วยความริเริ่ม แต่
ในยัญชนิดใด ไม่มีการฆ่าโคไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดไม่ถูกฆ่า
เราย่อมสรรเสริญยัญเห็นปานนั้นแล อันปราศจากความริเริ่ม คือ นิจทาน อนุกุลยัญข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะพระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันปราศจาก
ความริเริ่ม ฯ
มหายัญที่มีการริเริ่มใหญ่ คือ อัสสเมธ ปุริสเมธ การบูชา
ชื่อสัมมาปาสวาชเปยยะ และนิรัคคละ เหล่านั้น ไม่มี
ผลมาก ในยัญใดมีการฆ่าแพะ แกะ โค และสัตว์ต่างๆ
พระอริยะ ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ย่อม
ไม่เกี่ยวข้องยัญนั้น แต่ยัญใดไม่มีการริเริ่ม เป็นอนุกุล
ยัญที่ชนทั้งหลาย บูชาเสมอ และแพะ แกะ โค สัตว์ต่างๆ
ไม่ถูกฆ่าในยัญใด พระอริยะทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้
แสวงหาคุณใหญ่ย่อมสรรเสริญยัญนั้น นักปราชญ์
ย่อมบูชาอย่างนี้ ยัญนี้มีผลมาก เพราะเมื่อบุคคลบูชาอยู่
อย่างนี้ ย่อมมีแต่ความดีไม่มีความชั่ว และยัญย่อมไพบูลย์
ทั้งเทวดาย่อมเลื่อมใส ฯ
จบสูตรที่ ๙
อุทายสูตร
[๔๐] ครั้งนั้นแล อุทายพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระ
ผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า แม้พระโคดมผู้เจริญย่อมกล่าวสรรเสริญยัญของพวกข้าพเจ้าหรือ พระ
ผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรพราหมณ์ เรามิได้สรรเสริญยัญไปทุกอย่าง และก็มิได้ติเตียนยัญไปทุกอย่าง
ดูกรพราหมณ์ ในยัญชนิดใด มีการฆ่าโค ฆ่าแพะ แกะ ฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดถูกฆ่า เรา
ไม่สรรเสริญยัญเห็นปานนี้ อันประกอบด้วยความริเริ่ม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระอรหันต์
หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมไม่เกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันประกอบด้วยความริเริ่ม แต่ในยัญ
ชนิดใดไม่มีการฆ่าโค ไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดไม่ถูกฆ่า เราย่อม
สรรเสริญยัญเห็นปานนี้ อันปราศจากความริเริ่ม ได้แก่นิจทาน อนุกุลยัญ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะพระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเกี่ยวข้องยัญเห็นปานนี้อันปราศจากความริเริ่ม ฯ
ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว ย่อม
สรรเสริญยัญชนิดที่กระทำเป็นหมวด ไม่มีความริเริ่ม ควร
โดยกาลเช่นนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ผู้ฉลาดต่อบุญ ผู้มีกิเลส
เพียงดังว่าหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ผู้ล่วงเลยตระกูล
และคติไปแล้ว ย่อมสรรเสริญยัญชนิดนี้ ถ้าบุคคลกระ
ทำการบูชาในยัญ หรือในมตกทานตามสมควร มีจิตเลื่อมใส
บูชา ในเนื้อนาอันดี คือ พรหมจารีบุคคลทั้งหลาย ยัญที่
บุคคล บูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว อัน
บุคคลกระทำแล้วในทักขิเณยยบุคคลทั้งหลาย ย่อมเป็น
ยัญไพบูลย์ และเทวดาย่อมเลื่อมใส บัณฑิตผู้มีเมธาเป็น
ผู้มีศรัทธา มีใจ อันสละแล้ว บูชายัญอย่างนี้แล้ว ย่อม
เข้าถึงโลก อันปราศจาก ความเบียดเบียน เป็นสุข ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบจักกวรรคที่ ๔
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
สมาธิสูตร
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สมาธิ
ภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันมีอยู่ ๑
สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่
๑ สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ ๑
สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะมีอยู่ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็น
สุขในปัจจุบันเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็น
ธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะสรรเสริญว่า ผู้
ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละ
ทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ได้มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา
อธิษฐานทิวาสัญญา ว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือน กลางคืน มีใจอันสงัด ปราศ
จากเครื่องรัดรึง อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคล
เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้แจ้ง
เวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป รู้แจ้งสัญญาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่ตั้ง
อยู่ รู้แจ้งสัญญาที่ดับไป รู้แจ้งวิตกที่เกิดขึ้นรู้แจ้งวิตกที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่ดับไป ดูกรภิกษุทั้ง
หลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
ดูกรภิกษุทั้งหลายก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้น
อาสวะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน
อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนา
เป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้ สัญญาเป็นดังนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
เป็นดังนี้ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้ วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ความดับ
แห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลายสมาธิภาวนา ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง คำต่อไปนี้ เรากล่าวแล้วในปุณณปัญหาในปรายนวรรค หมายเอาข้อความนี้ว่า
ความหวั่นไหวไม่มีแก่บุคคลใด ในโลกไหนๆ เพราะ
รู้ความสูงต่ำในโลก บุคคลนั้นเป็นผู้สงบปราศจากควันคือ
ความโกรธ เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้หมดหวัง
เรากล่าวว่า ข้าม ชาติและชราได้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๑
ปัญหาสูตร
[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญหาพยากรณ์ ๔ อย่างนี้ ๔ อย่างเป็นไฉน คือ ปัญหา
ที่พึงพยากรณ์โดยส่วนเดียวมีอยู่ ๑ ปัญหาที่พึงจำแนกพยากรณ์มีอยู่ ๑ ปัญหาที่ต้องสอบถามแล้ว
พยากรณ์มีอยู่ ๑ ปัญหาที่ควรงดมีอยู่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายปัญหาพยากรณ์ ๔ อย่าง นี้แล ฯ
๑. กล่าวแก้โดยส่วนเดียว ๒. จำแนกกล่าวแก้ ๓. ย้อน
ถาม กล่าวแก้ ๔. การงดกล่าวแก้ อนึ่ง ภิกษุใดย่อมรู้ความ
สมควรแก่ธรรมในฐานะนั้นๆ แห่งปัญญาเหล่านั้น บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวภิกษุอย่างนั้นว่า เป็นผู้ฉลาดต่อปัญหาทั้ง ๔
ภิกษุผู้ที่ใครๆ ไล่ปัญหาได้ยาก ครอบงำได้ยาก เป็นผู้ลึก
ซึ้งให้พ่ายแพ้ได้ยาก และเป็นผู้ฉลาดต่อประโยชน์ทั้ง ๒
คือ ทั้งในด้านเจริญและในด้านเสื่อม ย่อมเป็นผู้ฉลาดงด
เว้นทางเสื่อม ถือเอาทางเจริญ เป็นธีรชนเพราะรู้จัก
ประโยชน์ ชาวโลกขนานนามว่า บัณฑิต ฯ
จบสูตรที่ ๒
โกธสูตรที่ ๑
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ เป็นผู้หนักในความโกรธ ไม่หนักในสัทธรรม ๑เป็นผู้หนักในความลบหลู่ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑ เป็นผู้หนักในลาภ ไม่หนักในสัทธรรม ๑ เป็นผู้หนักในสักการะ ไม่หนักในสัทธรรม
๑ บุคคล ๔จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่
ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ เป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในความโกรธ ๑ เป็นผู้หนักใน
สัทธรรม ไม่หนักในความลบหลู่ ๑ เป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในลาภ ๑ เป็นผู้หนักใน
สัทธรรม ไม่หนักในสักการะ ๑บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ภิกษุผู้หนักในความโกรธ และความลบหลู่ หนักในลาภ
และสักการะ พวกเธอย่อมไม่งอกงามในธรรมอันพระ
สัมมาสัมพุทธะแสดงแล้ว ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้หนัก
ใน สัทธรรมอยู่แล้ว และกำลังเป็นผู้หนักในสัทธรรมอยู่
ภิกษุเหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรมอันพระสัมมา
สัมพุทธะ ทรงแสดงแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๓
โกธสูตรที่ ๒
[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสัทธรรม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความ
เป็นผู้หนักในความโกรธ ไม่เป็นผู้หนักในสัทธรรม ๑ความเป็นผู้หนักในความลบหลู่ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑ ความเป็นผู้หนักในลาภไม่หนักในสัทธรรม ๑ ความเป็นผู้หนักในสักการะ ไม่หนักใน
สัทธรรม ๑อสัทธรรม ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็น
ไฉน คือ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในความโกรธ ๑ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่
หนักในความลบหลู่ ๑ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม ไม่หนักในลาภ ๑ ความเป็นผู้หนักในสัทธรรม
ไม่หนักในสักการะ ๑สัทธรรม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภิกษุผู้หนักในความโกรธและความลบหลู่ หนักในลาภ
และ สักการะ ย่อมไม่งอกงามในพระสัทธรรม ดุจพืชที่
หว่านไว้ในนาไม่ดี ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้หนักใน
สัทธรรมอยู่แล้วและกำลังเป็นผู้หนักในสัทธรรม ภิกษุ
เหล่านั้นแล ย่อมงอกงามในธรรม ประดุจต้นไม้อาศัย
ยางงอกงามอยู่ ฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๔
โรหิตัสสสูตรที่ ๑
[๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแลโรหิตัสสเทวบุตร เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มี
รัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์
ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติในโอกาสใดหนอแล พระองค์
อาจหรือหนอเพื่อจะทรงทราบ เพื่อจะทรงเห็นหรือเพื่อจะทรงถึงซึ่งที่สุดแห่งโลกด้วยการเสด็จไป
ในโอกาสนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย
ย่อมไม่จุติย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลกที่ควรรู้
ควรเห็น ควรถึงด้วยการไป ฯ
โร. อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัส
พระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตายย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วย
การไป เป็นอันตรัสดีแล้วข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิ
ตัสสะเป็นบุตรนายบ้าน มีฤทธิ์ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้นเปรียบได้กับนายขมัง
ธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษาดีแล้ว เชี่ยวชาญ เคยแสดงให้ปรากฏแล้ว พึงยิงลูกศรอันเบาให้
ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้โดยไม่สู้ยาก ฉะนั้นการยกย่างเท้าแต่ละก้าวของข้าพระองค์ เปรียบด้วย
สมุทรด้านตะวันตกไกลจากสมุทรด้านตะวันออก ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็น
ปานนี้ว่า เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็ว
เห็นปานนั้น และด้วยการยกย่างเท้าเห็นปานนั้น ข้าพระองค์นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว
การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับและการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย
เป็นผู้มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปีในคราวที่มนุษย์มีอายุร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุดแห่งโลก ได้ทำ
กาละเสียในระหว่างทีเดียว น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้นพระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มี
พระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโสสัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ
ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควร
ถึงด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
พ. ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป
และเราย่อมไม่กล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก
เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่ง
โลก ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีใจนี้เท่านั้น ฯ
ในกาลไหนๆ ที่สุดแห่งโลก อันใครๆ ไม่พึงถึงด้วย
การไป และการเปลื้องตนให้พ้นจากทุกข์ ย่อมไม่มีเพราะ
ไม่ถึงที่สุดแห่งโลก เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก
มีเมธาดี ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็น
ผู้มีบาป อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว ย่อมไม่หวังโลกนี้
และ โลกหน้า ฯ
จบสูตรที่ ๕
โรหิตัสสสูตรที่ ๒
[๔๖] ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีนั้นผ่านไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว โรหิตัสสเทวบุตร มีรัศมีงามยิ่ง
นัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทเราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง แล้วได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตายย่อม
ไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดหนอแล พระองค์อาจหรือหนอเพื่อจะทรงทราบ เพื่อจะทรงเห็น
หรือเพื่อจะทรงถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไปในโอกาสนั้นดังนี้ เมื่อเทวบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว เรา
ได้กล่าวกะเทวบุตรนั้นว่า ดูกรอาวุโสสัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อม
ไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควร
ถึงด้วยการไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว โรหิตัสสเทวบุตรได้กล่าวกะเราว่า น่า
อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้าเท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า สัตว์
ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าว
โอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิตัสสะเป็นบุตรนายบ้านมีฤทธิ์
ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้น เปรียบได้กับนายขมังธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษา
ดีแล้ว เคยแสดงให้ปรากฏแล้วพึงยิงลูกศรอันเบาให้ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้โดยไม่สู้ยาก ฉะนั้น
การยกย่างเท้าแต่ละก้าวของข้าพระองค์ เปรียบด้วยสมุทรด้านตะวันตกไกลจากสมุทรด้านตะวันออก
ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็นปานนี้ว่า เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป ดังนี้
ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์นั้น ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็วเห็นปานนั้น และด้วยการยกย่างเท้าเห็นปานนั้น
ข้าพระองค์นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
เว้นจากการหลับและการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปีในคราวที่มนุษย์มีอายุ
ร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุดแห่งโลก ได้ทำกาละเสียในระหว่างทีเดียว น่าอัศจรรย์
พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่
อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วย
การไป ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเทวบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะเทวบุตรว่า ดูกรอาวุโส
สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าว
โอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไปและเราย่อมไม่กล่าวการ
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความ
ดับแห่งโลก ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลก ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีจิต
นี้เท่านั้น
ในกาลไหนๆ ที่สุดแห่งโลกอันใครๆ ไม่พึงถึงด้วย
การไปและการเปลื้องทุกข์ย่อมไม่มี เพราะไม่ถึงที่สุด
แห่งโลก เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก มีเมธาดี
ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็นผู้มีบาป
อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลก แล้ว ย่อมไม่หวังโลกนี้ และ
โลกหน้า ฯ
จบสูตรที่ ๖
สุวิทูรสูตร
[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไกลกันแสนไกล ๔ ประการ นี้ ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฟ้ากับแผ่นดิน นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกลประการที่ ๑ ฝั่งนี้และฝั่งโน้นแห่ง
สมุทร นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกลประการที่ ๒ พระอาทิตย์ยามขึ้นและยามอัสดงคตนี้เป็นสิ่งที่
ไกลกันแสนไกลประการที่ ๓ ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษ นี้เป็นสิ่งที่ไกลกันแสนไกล
ประการที่ ๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไกลกันแสนไกล ๔ ประการนี้แล ฯ
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน ฝั่งสมุทร
ก็ไกลกัน พระอาทิตย์ส่องแสงยามอุทัยกับยามอัสดงคต
ไกลกัน บัณฑิตกล่าวว่า ธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของ
อสัตบุรุษไกลกันยิ่งกว่านั้น การสมาคมของสัตบุรุษ
มั่นคงยืดยาว ย่อมเป็นอย่างนั้นตราบเท่ากาลที่พึงดำรงอยู่
ส่วนการสมาคมของอสัตบุรุษ ย่อมจืดจางเร็ว เพราะฉะนั้น
ธรรมของสัตบุรุษ จึงไกลจากธรรมของอสัตบุรุษ ฯ
จบสูตรที่ ๘
วิสาขสูตร
[๔๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านวิสาขปัญจาลิบุตร ได้ชี้แจงภิกษุ
ทั้งหลาย ในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็น
วาจาของชาวเมืองสละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่
อิงวัฏฏะ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้นในสายัณห์สมัย เสด็จไปยังอุปัฏฐานศาลา
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครหนอ
ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
อันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องใน
นิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านวิสาขปัญจาลิบุตร ชี้แจง
ภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอัน
เป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวยปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน
ไม่อิงวัฏฏะครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลิบุตรว่า ดีละ ดีละวิสาขะ
เป็นการดีแล้ววิสาขะ ที่เธอชี้แจงภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวยปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับ
เนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ฯ
คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือ
บัณฑิต ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่า เป็นผู้แสดง
อมตบท บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธง
ของฤาษี ทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะ
ว่าธรรมเป็น ธงของพวกฤาษี ฯ
จบสูตรที่ ๘
วิปัลลาสสูตร
[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔ประการนี้ ๔
ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑ สัญญาวิปลาส
จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส
ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่
วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑
ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑ สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ
เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญ
ผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่ง
ที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
และสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อ
ว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษม
จากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร
ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด
ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้
เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา
ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้ว ได้จิตของตน
ควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็น
สิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่ เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความ
เป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่
ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม สมาทานสัมมาทิฐิ จึง
ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ
จบสูตรที่ ๙
อุปกิเลสสูตร
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องมัวหมองของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุ
ให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่ส่องแสง ไม่ไพโรจน์มี ๔ ประการนี้ ๔ ประการ
เป็นไฉน คือ เมฆ ๑ หมอก ๑ ควันและละออง ๑ราหูจอมอสูร ๑ เครื่องมัวหมองของ
พระจันทร์และพระอาทิตย์ อันเป็นเหตุให้พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่แผดแสง ไม่สว่างไสว
ไม่ไพโรจน์ ๔ ประการนี้แลดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันเป็นเหตุ
ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ก็มี ๔ ประการ ฉันนั้นเหมือนกัน
๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุราและเมรัย ไม่งดเว้น
จากการดื่มสุราและเมรัย นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๑ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
เสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๒ มีสมณ
พราหมณ์พวกหนึ่งยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน นี้เป็นอุปกิเลสของสมณ
พราหมณ์ประการที่ ๓ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ
นี้เป็นอุปกิเลสของสมณพราหมณ์ประการที่ ๔ ดูกรภิกษุทั้งหลายอุปกิเลสของสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ฯ
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ถูกราคะและโทสะ ปกคลุมแล้ว
อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว เพลิดเพลินรูปที่น่ารัก ย่อมดื่มสุรา
และเมรัย เสพเมถุน เป็นผู้ไม่รู้แจ้ง ยินดีรับทองและเงิน
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ
อุป กิเลสอันเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่สง่า ไม่
รุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์
มีธุลีคือกิเลส เป็นผู้อันความมืดรัดรึงแล้ว เป็นทาส
แห่งตัณหา อันตัณหานำไปด้วยดี ย่อมยังอัตภาพอัน
หยาบให้เจริญ ย่อมยินดีภพใหม่เหล่านี้ อันพระพุทธเจ้า
ผู้เป็น เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ตรัสไว้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบโรหิตัสสวรรคที่ ๕
ทุติยปัณณาสก์
ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
ปุญญาภิสันทสูตรที่ ๑
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุบริโภคจีวรของทายกใดเข้าถึงเจโตสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ห้วงบุญห้วงกุศลของทายกนั้น
หาประมาณมิได้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ภิกษุบริโภคบิณฑบาต
ของทายกใด ... บริโภคเสนาสนะของทายกใด ...บริโภคเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแห่งคนไข้ของ
ทายกใด เข้าถึงเจโตสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ห้วงบุญห้วงกุศลของทายกนั้นหาประมาณมิได้
นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล
๔ ประการนี้แล นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ฯ
อนึ่ง การถือเอาประมาณแห่งบุญของอริยสาวก ผู้ประกอบด้วยห้วงบุญห้วงกุศล ๔
ประการนี้ว่า ห้วงบุญห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็น
วิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ดังนี้ ไม่ใช่กระทำได้ง่าย โดยที่แท้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นกองบุญใหญ่ จะนับ
จะประมาณมิได้ทีเดียว การถือเอาประมาณแห่งน้ำในมหาสมุทรว่า เท่านี้อาฬหกะ เท่านี้ร้อยอาฬหกะ
เท่านี้พันอาฬหกะ หรือว่าเท่านี้แสนอาฬหกะ ไม่ใช่ทำได้ง่ายโดยที่แท้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นห้วง
น้ำใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ทีเดียวแม้ฉันใด การถือเอาประมาณแห่งบุญของอริยสาวก
ผู้ประกอบด้วยห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ว่า ห้วงบุญห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้
ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ดังนี้ ไม่ใช่กระทำได้ง่าย โดยที่แท้ ย่อมถึงซึ่งการ
นับว่า เป็นกองบุญใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
แม่น้ำทั้งหลาย อันคับคั่งด้วยหมู่ปลาเป็นจำนวนมาก ไหล
ไปยังสาครคือทะเลใหญ่ ที่ขังน้ำใหญ่ ไม่มีประมาณ
ประกอบด้วยสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นที่อยู่อาศัยแห่งรัตนะ
เป็นอันมาก ย่อมยังสาครให้เต็ม ฉันใด ท่อธารแห่งบุญ
ย่อมยังนรชนผู้เป็นบัณฑิต ผู้ให้ข้าวและน้ำ ให้เครื่องปู
ลาดที่นอนและที่นั่ง ให้เต็มด้วยบุญ ฉันนั้น เหมือน
อย่างแม่น้ำ คือห้วงน้ำยังสาครให้เต็มฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๑
ปุญญาภิสันทสูตรที่ ๒
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้
เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงสมบูรณ์ด้วย
วิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกชั้นเยี่ยม เป็นศาสดา
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้มีโชคห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๑ นี้
นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
อันผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
พึงรู้ได้เฉพาะตน ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๒ นี้นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็น
วิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจอีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน
พระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติ
เป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มี
พระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับเป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี
เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๓ นี้ นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์อันเลิศมีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยศีล อันพระ
อริยะใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อยเป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหา
และทิฐิไม่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๔ นี้ นำสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มี
สุขเป็นวิบากเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้แล นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
สุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ฯ
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระตถาคต มีศีลดีงาม
อันพระอริยะเจ้าใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใส
ใน พระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้
นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่า เพราะฉะนั้น
ผู้มี ปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ควร ประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็น
ธรรมไว้ เนืองๆ เถิด ฯ
จบสูตรที่ ๒
สังวาสสูตรที่ ๑
[๕๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินหนทางไกลในระหว่างเมืองมธุราและ
เมืองเวรัญชาต่อกัน คหบดีและคหปตานีมากด้วยกัน ก็เป็นผู้ดำเนินหนทางไกล ในระหว่างเมือง
มธุราและเมืองเวรัญชาต่อกัน ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง ประทับนั่งที่โคนไม้
แห่งหนึ่ง คหบดีและคหปตานีเหล่านั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงได้
พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะคหบดีและคหปตานีเหล่านั้นว่า ดูกรคหบดีและคหปตานี
ทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วม
กับหญิงเทวดา๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ดูกรคหบดีและ
คหปตานีทั้งหลายก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นคนทุศีล
มีบาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษ สมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุราและ
เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหนี่ครอบงำ
ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี
อย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้
เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือนส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการดื่มน้ำเมาคือ
สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากมลทินคือความ
ตระหนี่ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไรสามีในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด่าและ
บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิง
ผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีใน
โลกนี้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้
ภรรยาของเขาก็เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ดูกรคหบดีและปตานีทั้ง
หลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้ทุศีล เป็นคนตระหนี่ มักด่าว่า
สมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน สามีเป็นผู้ทุศีล
มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มี
ศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่
ภรรยา นั้นชื่อว่าเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี สามีเป็นผู้มีศีล
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วน
ภรรยาเป็นผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์
ชื่อว่าหญิงผี อยู่ร่วมกับสามีเทวดา ทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม
ภรรยาและ สามีทั้งสองนั้น เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กัน
และกัน ย่อมมี ความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้ง
สองฝ่ายมีศีลเสมอ กัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน
ครั้นประพฤติธรรม ในโลกนี้แล้ว เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอ
กันย่อมเป็นผู้เสวย กามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ใน
เทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๓
สังวาสสูตรที่ ๒
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วม
กับหญิงเทวดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่า
สัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความ
ละโมบ มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทิน คือความตระหนี่
ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ
อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้มัก
ฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูด
เพ้อเจ้อ ไม่มีความละโมบ ไม่มีพยาบาท มีความเห็นชอบ มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจาก
มลทินคือความตระหนี่ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้งด
เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่
ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย การ
อยู่ร่วม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้ทุศีล เป็นคนตระหนี่ มักด่าว่า
สมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน สามีเป็นผู้ทุศีลมี
ความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มี
ศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ภรรยา
นั้นชื่อว่าเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความ
ประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วนภรรยาเป็น
ผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ชื่อว่าหญิง ผี
อยู่ร่วมกับสามีเทวดา ทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธารู้ความประสงค์
ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม ภรรยาและสามี
ทั้งสองนั้น เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมี
ความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้งสองฝ่ายมีศีล
เสมอกันรักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน ครั้นประพฤติ
ธรรมใน โลกนี้แล้ว เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อม
เป็นผู้เสวย กามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๔
สมชีวิสูตรที่ ๑
[๕๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามฤคทายวันใกล้บ้านสุงสุมาร
คีระ แคว้นภัคคะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จ
เข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลบิดาคฤหบดี แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้งนั้นแล คฤหบดีผู้
นกุลบิดาและคฤหปตานีผู้นกุลมารดา เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว คฤหบดีผู้นกุลบิดาได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำคฤหปตานีผู้นกุลมารดาซึ่งยังเป็นสาวมา เพื่อข้าพระองค์ผู้ยังเป็นหนุ่ม
ข้าพระองค์มิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจคฤหปตานีผู้นกุลมารดาแม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอก
ใจด้วยกายเล่า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ แม้คฤหป
ตานีผู้นกุลมารดา ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำ
หม่อมฉันซึ่งยังเป็นสาวมา เพื่อคฤหบดีผู้นกุลบิดาซึ่งยังเป็นหนุ่มหม่อมฉันมิได้รู้สึกจะประพฤติ
นอกใจคฤหบดีผู้นกุลบิดาแม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า หม่อมฉันทั้งสอง
ปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะ
พบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีล
เสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน
ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของ
ผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารัก
แก่ กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อ
กัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและ
วัตร เสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลิน
บันเทิงใจ อยู่ในเทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๕
สมชีวิสูตรที่ ๒
[๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองพึงหวังพบ
กันและกันทั้งในปัจจุบัน และในสัมปรายภพ ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอ
กัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งใน
ปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของ
ผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารัก
แก่ กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
ทั้ง สองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อ
กัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและ
วัตรเสมอ กัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลิน
บันเทิงใจอยู่ใน
เทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๖
สุปปวาสสูตร
[๕๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิคมของโกลิยราชสกุล ชื่อปัชชเนละ
แคว้นโกฬิยะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไป
ยังนิเวศน์ของโกลิยธิดาชื่อสุปปวาสา ครั้นแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้งนั้นแล โกลิยธิดา
ชื่อสุปปวาสาได้อังคาสพระผู้มีพระภาคด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน ให้อิ่มหนำ
เพียงพอแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกาผู้ให้โภชนะ ชื่อ
ว่าย่อมให้ฐานะ ๔ แก่ปฏิคาหก ฐานะ ๔ เป็นไฉนคือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ครั้นให้
อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ย่อม
เป็นผู้มีส่วนแห่งวรรณะอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้สุขแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสุขะ
อันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็น
ของมนุษย์ ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกา เมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่
ปฏิคาหก ฯ
อริยสาวิกา ย่อมให้โภชนะที่ปรุงแล้ว สะอาดประณีต
สมบูรณ์ด้วยรส ทักษิณานั้นอันบุคคลให้แล้วในท่านผู้
ดำเนิน ไปตรง ผู้ประกอบด้วยจรณะ ผู้ถึงความเป็นใหญ่
สืบต่อบุญกับบุญ เป็นทักษิณามีผลมาก อันพระพุทธเจ้าผู้รู้
แจ้งโลก สรรเสริญแล้ว ชนเหล่าใดเมื่อระลึกถึงยัญเช่นนั้น
ย่อมเป็นผู้มีความโสมนัสเที่ยวไปในโลก กำจัดมลทิน
คือความ ตระหนี่พร้อมทั้งรากเง่าออกแล้ว ชนเหล่านั้น
ไม่ถูกนินทาย่อมเข้าถึงฐานะคือสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๗
สุทัตตสูตร
[๕๘] ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี อริยสาวก
ผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก ฐานะ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ให้อายุ
วรรณะ สุขะ พละ ครั้นให้อายุแล้วย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้น
ให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือ
เป็นของมนุษย์ ดูกรคฤหบดี อริยสาวกเมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหก ฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะโดยเคารพ ตามกาลอันควร แก่ท่านผู้
สำรวม บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าให้
ฐานะทั้ง ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ และพละ นรชนผู้มีปรกติ
ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มีบริวารยศ
ในที่ที่ตนเกิดแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๘
โภชนสูตร
[๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก
๔ ประการเป็นไฉน คือให้อายุ วรรณะ สุขะ พละครั้นให้อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่ง
อายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขะแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว
ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะ
ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหก ฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะ ตามกาล อันควร โดยเคารพ แก่
ปฏิคาหกผู้สำรวมแล้ว ผู้บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่
ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมให้ฐานะ ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ
และพละ นรชนผู้มีปรกติให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อม
เป็นผู้ มีอายุยืน มีบริวารยศ ในที่ที่ตนเกิดแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๙
คิหิสามีจิสูตร
[๖๐] ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี อริยสาวก
ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาสมควรแก่คฤหัสถ์อันเป็นเหตุให้ได้ยศ
และเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร ๑ ด้วยบิณฑบาต ๑ ด้วยเสนาสนะ ๑ ด้วยเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่
คนไข้ ๑ ดูกรคฤหบดี อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันสมควรแก่คฤหัสถ์ อันเป็นเหตุให้ได้ยศ และเป็นไปเพื่อสวรรค์ ฯ
บัณฑิตทั้งหลายบำรุงท่านผู้มีศีล ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ด้วย
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้
ชื่อว่าย่อมปฏิบัติปฏิปทาสมควรแก่คฤหัสถ์ บุญย่อมเจริญ
แก่เขาทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาทำกรรมอัน
เจริญแล้ว ย่อมเขาถึงฐานะคือสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
ปัตตกรรมวรรคที่ ๒
ปัตตกรรมสูตร
[๖๑] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี ธรรม
๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ขอโภคะจงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม นี้เป็นธรรมประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
หาได้ยากในโลก เราได้โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เราพร้อมด้วยญาติและ
มิตรสหาย นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ หาได้ยากในโลก เราได้
โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว ขอเราจงเป็นอยู่นาน
จงรักษาอายุให้ยั่งยืน นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
เราได้โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้วเป็นอยู่นาน รักษา
อายุให้ยั่งยืนแล้ว เมื่อตายแล้ว ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ อันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลกดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้แล น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ฯ
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการนี้ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑
จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑ดูกรคฤหบดี ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัย
ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค
พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรคฤหบดี นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา ก็สีล
สัมปทาเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯเป็นผู้งดเว้นจาก
การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทนี้เรียกว่า สีลสัมปทา ก็จาคสัมปทา
เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ มีจาคะอันปล่อย
แล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน อยู่ครอบครอง
เรือนนี้เรียกว่าจาคสัมปทา ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน บุคคลมีใจอันความโลภไม่สม่ำเสมอ คือ
อภิชฌาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจที่ควรทำเมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจ
ที่ควรทำอยู่ ย่อมเสื่อมจากยศและความสุขบุคคลมีใจอันพยาบาทครอบงำ ... อันถีนมิทธะครอบงำ ...
อันอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ ... อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจที่ควรทำ
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า อภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลส
ของจิต ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสของจิตเสียได้รู้ว่า พยาบาท ... ถีนมิทธะ ...
อุทธัจจกุกกุจจะ ... วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสของจิต ย่อมละวิจิกิจฉาอันเป็นอุปกิเลสของจิต ดูกร
คฤหบดี เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าอภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลสของจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ... ถีนมิทธะ ... อุทธัจจกุกกุจจะ ... วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสของจิตดังนี้
แล้ว เมื่อนั้น ย่อมละเสียได้ อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น
เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา ดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการนี้แล อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ฯ
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้แล ย่อมเป็นผู้กระทำกรรมอันสมควร ๔ ประการ ด้วยโภค
ทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรมได้มาแล้วโดยธรรม กรรม ๔ ประการ เป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมเลี้ยง
ตนให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหารให้เป็นสุขโดยชอบ เลี้ยงมารดา บิดา ให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหาร
ให้เป็นสุขได้โดยชอบ เลี้ยงบุตร ภรรยา คนใช้ คนงาน และบริวารให้เป็นสุขเอิบอิ่ม บริหาร
ให้เป็นสุขได้โดยชอบ เลี้ยงมิตรและอำมาตย์ให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ฯลฯ นี้เป็นฐานะข้อที่ ๑ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึง
แล้ว คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมป้องกัน
อันตรายทั้งหลายที่เกิดแต่ไฟ แต่น้ำ แต่พระราชา แต่โจร หรือแต่ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักเห็นปานนั้น ด้วย
โภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรม ได้มาแล้วโดยธรรม กระทำตนให้สวัสดี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๒ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว
คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ทำพลี ๕ ประการ
คือ ญาติพลี อติถิพลี ปุพพเปตพลี ราชพลี เทวตาพลี ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความ
ขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัวประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม
นี้เป็นฐานะข้อที่ ๓ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้วคือ ถึงแล้วโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมยังทักษิณาอันมีผลในเบื้องบน ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก
เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ให้ตั้งไว้เฉพาะในสมณพราหมณ์ผู้งดเว้นจากความประมาทมัวเมาผู้ตั้งอยู่
ในขันติและโสรัจจะ ฝึกฝนตนผู้เดียว ยังตนผู้เดียวให้สงบ ยังตนผู้เดียวให้ดับกิเลส เห็นปานนั้น
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรมได้มาโดยธรรม นี้เป็นฐานะข้อที่ ๔ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ
ได้บริโภคแล้วโดยควร ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้กระทำกรรมอันสมควร ๔ ประการ
นี้ ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขนมีเหงื่อโทรมตัว
ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม ดูกรคฤหบดี โภคทรัพย์ ของใครๆ ถึงความสิ้นไป นอกจาก
กรรมอันสมควร ๔ ประการนี้ เราเรียกว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ สิ้นเปลืองไปโดยไม่สมควร
ใช้สอยโดยไม่สมควรแก่เหตุส่วนโภคทรัพย์ของใครๆ ถึงความสิ้นไปด้วยกรรมอันสมควร
๔ ประการนี้ เราเรียกว่า สิ้นเปลืองไปโดยเหตุอันควร สิ้นเปลืองไปโดยสถานที่ควร ใช้สอย
โดยสมควรแก่เหตุ
โภคทรัพย์ทั้งหลายเราได้บริโภคแล้ว คนที่ควรเลี้ยง เรา
ได้ เลี้ยงแล้ว เราได้ข้ามพ้นอันตรายทั้งหลายไปแล้ว
ทักษิณามีผลอันเลิศ เราได้ให้แล้ว อนึ่ง พลีกรรม
๕ ประการ เรา ได้กระทำแล้ว ท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์
ประพฤติพรหมจรรย์ เราได้บำรุงแล้ว บัณฑิตอยู่ครอบ
ครองเรือน พึงปรารถนาโภคทรัพย์ เพื่อประโยชน์ใด
ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว โดยลำดับ กรรมที่ไม่
เดือดร้อนในภายหลังเราได้กระทำแล้วนรชนผู้มีอันจะตาย
เป็นสภาพ เมื่อคำนึงถึงเหตุนี้ เป็นผู้ตั้ง อยู่แล้วในธรรม
ของพระอริยะ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ เขาในโลก
นี้ทีเดียว ครั้นเขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงใน โลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๑
อันนนาถสูตร
[๖๒] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี สุข ๔
ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามพึงได้รับตามกาลตามสมัย สุข ๔ ประการเป็นไฉน คือ
สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ๑ สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค ๑ สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้ ๑ สุขเกิด
แต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ๑ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์เป็นไฉนโภค
ทรัพย์ของกุลบุตรในโลกนี้ เป็นของที่เขาหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน
มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรมเขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า โภคทรัพย์
ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม
ได้มาโดยธรรมของเรามีอยู่ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การจ่าย
ทรัพย์บริโภคเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ ย่อมใช้สอยโภคทรัพย์ และย่อมกระทำบุญทั้งหลาย
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว
ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เราย่อมใช้สอยโภคทรัพย์
และย่อมกระทำบุญทั้งหลายด้วยโภค ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้เป็นไฉน กุลบุตร
ในโลกนี้ ย่อมไม่เป็นหนี้อะไรๆของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เรา
ไม่เป็นหนี้อะไรๆ ของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้ ดูกร
คฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ปราศจากโทษเป็นไฉนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันหาโทษมิได้ เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัส
ว่า เราประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม อันหาโทษมิได้ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่การ
ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ดูกรคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้แล อันคฤหบดีผู้บริโภคกามพึงได้
รับตามกาลตามสมัย ฯ
นรชนผู้มีอันจะตายเป็นสภาพ รู้ความไม่เป็นหนี้ว่าเป็น
สุขแล้ว พึงระลึกถึงสุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ เมื่อใช้สอย
โภคะเป็นสุข อยู่ ย่อมเห็นแจ้งด้วยปัญญา ผู้มีเมธาดี
เมื่อเห็นแจ้ง ย่อมรู้ ส่วนทั้ง ๒ ว่า สุขแม้ทั้ง ๓ อย่างนี้
ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อัน จำแนกแล้ว ๑๖ ครั้ง ของสุขเกิด
แต่การประกอบการงานที่ ปราศจากโทษ ฯ
จบสูตรที่ ๒
สพรหมสูตร
[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใด
บูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้น ชื่อว่ามีพรหม มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของ
ตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพาจารย์ มารดาและบิดา เป็นผู้อัน
บุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพเทพ มารดาและ
บิดาเป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีอาหุ
เนยยบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมบุรพาจารย์ บุรพเทพอาหุเนยยบุคคล นี้เป็นชื่อของ
มารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ประคบ
ประหงมเลี้ยงดูบุตร เป็นผู้แสดงโลกนี้ แก่บุตร ฯ
มารดาและบิดาผู้อนุเคราะห์แก่บุตร ท่านเรียกว่า พรหม
บุรพาจารย์ และอาหุเนยยบุคคลของบุตรทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแหละ บุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงนอบน้อม พึงสักการะ
ท่านด้วยข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง อบกาย ให้อาบน้ำ
และชำระเท้า เพราะเหตุที่บุตรผู้เป็นบัณฑิตได้บำรุงบำเรอ
ใน มารดาและบิดา บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขา
ครั้นเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๓
นิรยสูตร
[๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก
เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประ
พฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อม
เกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การคบหาภรรยาของผู้อื่น การ
พูดเท็จ เรากล่าวว่า เป็นกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่สรรเสริญเลย ฯ
จบสูตรที่ ๔
รูปสูตร
[๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ ผู้ถือประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป ๑ ผู้ถือประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง ๑ ผู้ถือประมาณ
ในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง ๑ผู้ถือประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ ฯ
ก็ชนเหล่าใด ถือประมาณในรูป และชนเหล่าใด คล้อย
ไป ตามเสียง ชนเหล่านั้น เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของฉันท
ราคะ ย่อมไม่รู้จักชนนั้น คือ ย่อมไม่รู้คุณภายในของเขา
และ ไม่เห็นข้อปฏิบัติภายนอกของเขา บุคคลนั้นแล เป็น
คน เขลา ถูกห้อมล้อมไว้โดยรอบ อันเสียงย่อมพัดไป
อนึ่ง บุคคลไม่รู้คุณภายใน และไม่เห็นข้อปฏิบัติภายนอก
ของเขา แม้บุคคลนั้นเห็นผลในภายนอก ก็ยังถูกเสียงพัด
ไป ส่วนบุคคลรู้ทั่วถึงคุณภายในของเขา และเห็นแจ้ง
ข้อปฏิบัติภาย นอกของเขา บุคคลนั้นเป็นผู้เห็นธรรม
อันปราศจากเครื่องกั้น ย่อมไม่ถูกเสียงพัดไป ฯ
จบสูตรที่ ๕
สราคสูตร
[๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ บุคคลผู้มีราคะ ๑ มีโทสะ ๑ มีโมหะ ๑ มีมานะ ๑บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่
ในโลก ฯ
ชนทั้งหลาย กำหนัดนักในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด เพลิดเพลินในรูปที่น่ารัก เป็นสัตว์เลวทราม อันโมหะ
ผูกไว้ ย่อมยังเครื่องผูกให้เจริญ เป็นผู้ไม่ฉลาด ย่อมกระทำ
อกุศล กรรมอันเกิดแต่ราคะบ้าง เกิดแต่โทสะบ้าง เกิด
แต่โมหะบ้างมีความคับแค้น ให้ทุกข์ต่อไป สัตว์
ทั้งหลายอันอวิชชาหุ้ม ห่อแล้ว เป็นผู้มืดมน ไม่มีจักษุ
พวกเขาย่อมไม่สำคัญ ว่าเราเป็นผู้มีสภาพเหมือนธรรม ๓
ทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๖
อหิสูตร
[๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด
ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุรูปหนึ่งในเมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยัง
สกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำ
กาละ ตระกูลพญางู ๔เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักข์ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑
ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น
ชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู ๔ จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาไปยังตระกูล
พญางูทั้ง ๔ นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิต
ไปยังตระกูลพญางู ๔ จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ฯ
ความเป็นมิตร ของเรา จงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อวิรูปักข์
ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย
ชื่อเอราปถะ ความเป็นมิตร ของเราจงมีกับ สกุลพญางู
ทั้งหลายชื่อฉัพยา ปุตตะ ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สกุลพญางูทั้งหลายชื่อ กัณหาโคตมกะ ความเป็นมิตรของ
เราจงมีกับสัตว์ทั้งหลายที่ ไม่มีเท้า ความเป็นมิตรของเรา
จงมีกับสัตว์จำพวก ๒ เท้า ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สัตว์จำพวก ๔ เท้า ความเป็น มิตรของเราจงมีกับสัตว์
จำพวกมีเท้ามาก สัตว์ไม่มีเท้าอย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์ ๒ เท้าอย่าเบียดเบียนเรา สัตว์๔ เท้า อย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์มีเท้ามากอย่าเบียดเบียนเรา ขอ สรรพสัตว์ทั้งปวงที่
มีลมปราณ มีชีวิตเป็นอยู่ จงได้พบเห็นความเจริญเถิด
อย่าได้มาถึงโทษอันลามกน้อยหนึ่งเลย ฯ
พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้ พระสงฆ์มีคุณ
หาประมาณมิได้ สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่องจะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแก หนู
ล้วนมีประมาณ ความรักษาอันเรากระทำแล้วความป้องกันอันเรากระทำแล้ว ขอหมู่สัตว์ทั้งหลาย
จงหลีกไปเสีย เรานั้นกำลังนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ กำลังนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗
พระองค์อยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๗
เทวทัตตสูตร
[๖๘] สมัยหนึ่ง เมื่อพระเทวทัตต์หลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงปรารภพระเทวทัตต์ ตรัสกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภ สักการะและการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์
เพื่อฆ่าคน เพื่อความพินาศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นกล้วยย่อมเผล็ดผลเพื่อฆ่าตน เมื่อความพินาศ
แม้ฉันใด ลาภสักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศแม้ฉันใด ลาภ
สักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตนเพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้อ้อย่อมผลิดอกเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะ และ
การสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายแม่ม้าอัศดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะ และ
การสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ดอกอ้อ
ย่อมฆ่าต้นอ้อ ลูกม้าอัศดรย่อมฆ่าแม่ม้าอัศดร ฉันใด
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว ฉันนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๘
ปธานสูตร
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการนี้๔ ประการเป็นไฉน คือ
สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑อนุรักขนาปธาน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังวร
ปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคอง
จิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้อกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นนี้เรียกว่า สังวรปธาน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปหานธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้เพื่อละอกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า
ปหานปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภาวนาปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้
เกิดพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้กุศลกรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น นี้
เรียกว่า ภาวนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุรักขนาปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม
ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อความดำรงอยู่ เพื่อไม่
หลงลืม เพื่อความเจริญยิ่งขึ้นเพื่อความไพบูลย์ เพื่อเพิ่มพูน เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้วนี้เรียกว่า อนุรักขนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการนี้แล ฯ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้มีความเพียร พึงถึงความสิ้นทุกข์
ได้ด้วย ปธานเหล่าใด ปธาน ๔ ประการเหล่านี้ คือ
สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑
อนุรักขนาปธาน ๑ อัน พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พระอาทิตย์ ทรงแสดง ไว้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๙
ธรรมิกสูตร
[๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้พวก
ข้าราชการ ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพวกข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้พราหมณ์
และคฤหบดี ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาว
นิคมและชาวชนบท ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ
เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ
เมื่อคืนและวันหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อเดือน
หนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอเมื่อฤดูและปีหมุน
เวียนไม่สม่ำเสมอ ลมย่อมพัดไม่สม่ำเสมอ เมื่อลมพัดไม่สม่ำเสมอ ลมก็เดินผิดทางไม่สม่ำเสมอ
ย่อมพัดเวียนไป เมื่อลมเดินผิดทางไม่สม่ำเสมอพัดเวียนไป เทวดาย่อมกำเริบ เมื่อเทวดากำเริบฝน
ย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาลเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน ดูกร
ภิกษุทั้งหลายมนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมเป็นผู้มีอายุน้อย มีผิวพรรณเศร้าหมองมี
กำลังน้อย มีอาพาธมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น
แม้ข้าราชการก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้พราหมณ์และ
คฤหบดีก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาวนิคมและ
ชาวชนบท ก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์
และพระอาทิตย์ก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนสม่ำเสมอกัน
หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรหมุนเวียนสม่ำเสมอ คืนและวันก็ย่อม
หมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อคืนและวันย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ย่อมหมุนเวียน
สม่ำเสมอกัน เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนสม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไปสม่ำ
เสมอ เมื่อฤดูและปีหมุนเวียนไปสม่ำเสมอกัน ลมย่อมพัดสม่ำเสมอ เมื่อลมพัดสม่ำเสมอ ลม
ย่อมพัดไปถูกทาง เมื่อลมพัดไปถูกทาง เทวดาย่อมไม่กำเริบ ฝนย่อมตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝน
ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าก็สุกเสมอกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าที่สุกเสมอกัน
ย่อมมีอายุยืน มีผิวพรรณดี มีกำลัง และมีอาพาธน้อย ฯ
เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปคด โคเหล่านั้นย่อม
ไปคดทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปคด ในมนุษย์ก็เหมือนกัน
ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติอธรรม
ประชาชนนอกนี้ก็จะประพฤติอธรรมเหมือนกัน แว่นแคว้น
ทั้งหมดจะได้ประสบความทุกข์ ถ้าพระราชาเป็นผู้ไม่ตั้ง
อยู่ ในธรรม เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปตรง
โคเหล่า นั้นย่อมไปตรงทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปตรง ใน
หมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ
ถ้าผู้นั้นประพฤติ ธรรม ประชาชนนอกนี้ย่อมประพฤติธรรม
เหมือนกัน แว่นแคว้นทั้งหมดย่อมได้ประสบความสุข
ถ้าพระราชาเป็นผู้ ตั้งอยู่ในธรรม ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบปัตตกรรมวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปัตตกรรมสูตร ๒. อันนนาถสูตร ๓. สพรหมกสูตร ๔. นิรยสูตร ๕. รูปสูตร
๖. สราคสูตร ๗. อหิสูตร ๘. เทวทัตตสูตร ๙. ปธานสูตร ๑๐. ธรรมิกสูตร ฯ
____________
อปัณณกวรรคที่ ๓
ปธานสูตร
[๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ๑ เป็นพหูสูต ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ผิด และเป็นปรารภเหตุ
เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๑
ทิฏฐิสูตร
[๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลายธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
คือ เนกขัมมวิตก ๑ อพยาบาทวิตก ๑ อวิหิงสาวิตก ๑ สัมมาทิฏฐิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้
ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุเพื่อ
ความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๒
สัปปุริสสูตร
[๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ พึงทราบว่าเป็น
อสัตบุรุษ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความเสียหาย
ของผู้อื่น จะกล่าวอะไรถึงถูกถามเล่า และเมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่
หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าวความเสียหายของผู้อื่นเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า
ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของผู้อื่น จะกล่าว
อะไรถึงไม่ถูกถาม และเมื่อถูกถามแล้ว ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรงอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าว
สรรเสริญคุณผู้อื่นโดยย่อ ไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของตน จะ
กล่าวอะไรถึงไม่ถูกถาม และเมื่อถูกถามแล้ว ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว
แล้วกล่าวความเสียหายของตนโดยย่อ ไม่เต็มที่ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็น
อสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความดีของตน จะกล่าว
อะไรถึงถูกถามเล่า และเมื่อถูกถามแล้วก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว แล้ว
กล่าวความดีของตนเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล พึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ พึงทราบว่าเป็นสัตบุรุษ ธรรม
๔ ประการเป็นไฉน คือ สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของผู้อื่น จะ
กล่าวอะไรถึงไม่ถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้า ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว
กล่าวความเสียหายของผู้อื่นโดยย่อไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลก แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความดีของผู้อื่น จะกล่าวอะไร
ถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวความดีของผู้
อื่นเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่าท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความเสียหายของตน จะ
กล่าวอะไรถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว แล้ว
กล่าวความเสียหายของตนเต็มที่อย่างกว้างขวางดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของตน จะกล่าวอะไร
ถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าวความดีของ
ตนโดยย่อ ไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ประการนี้แล พึงทราบว่าเป็นสัตบุรุษ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงสะใภ้ที่ถูกนำมาคืนหนึ่งหรือวันหนึ่งเท่านั้น นางตั้งหิริและ
โอตตัปปะได้อย่างแรงกล้าในแม่ผัว พ่อผัว และผัว โดยที่สุดในคนรับใช้และคนทำงาน สมัยต่อ
มา นางอาศัยอยู่คุ้นเคย จึงกล่าวกะแม่ผัวบ้าง พ่อผัวบ้าง และผัวบ้าง อย่างนี้ว่า จงหลีกไป ก็
พวกท่านรู้อะไร ดังนี้ฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพียงออกบวชได้วัน
หนึ่งหรือคืนหนึ่งเท่านั้น เธอตั้งหิริและโอตตัปปะไว้อย่างแรงกล้า ในพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกาทั้งหลาย โดยที่สุดในคนวัดและสามเณร สมัยต่อมาเธออาศัยความอยู่ร่วม จึงกล่าว
กะอาจารย์บ้าง กะอุปัชฌาย์บ้างอย่างนี้ว่า จงหลีกไปก็พวกท่านรู้อะไร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมีใจเสมือนหญิงสะใภ้ซึ่งมาใหม่อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๓
อัคคสูตรที่ ๑
[๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ศีลอัน
เลิศ ๑ สมาธิอันเลิศ ๑ ปัญญาอันเลิศ ๑ วิมุตติอันเลิศ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศ ๔ ประการ
นี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๔
อัคคสูตรที่ ๒
[๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศอีก ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ รูป
อันเลิศ ๑ เวทนาอันเลิศ ๑ สัญญาอันเลิศ ๑ ภพอันเลิศ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเลิศอีก ๔
ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕
กุสินาราสูตร
[๗๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ระหว่างต้นรังทั้งคู่ในสาลวัน อันเป็น
ที่ประพาสของมัลลกษัตริย์ ใกล้กรุงกุสินารา ในปรินิพพานสมัยณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึง
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสักรูปหนึ่งพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ใน
ธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทา เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าได้มีความเสียใจใน
ภายหลังว่า พระศาสดาได้ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายไม่อาจจะสอบถามพระผู้
มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระพักตร์ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งอยู่ แม้
ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสักรูป
หนึ่งพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ในธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทา
เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าได้เสียใจในภายหลังว่า พระศาสดา ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้ง
หลาย เราทั้งหลายไม่อาจจะสอบถามพระผู้มีพระภาคเฉพาะพระพักตร์ได้ ภิกษุเหล่านั้นก็ได้นิ่งอยู่
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า เป็นได้ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงถาม
แม้ด้วยความเคารพต่อพระศาสดา แม้สหายก็จงบอกแก่สหายเถิด เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่าง
นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็ได้นิ่งอยู่ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุสงฆ์อย่างนี้ แม้ภิกษุรูปหนึ่งใน
ภิกษุสงฆ์นี้ก็ไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ใน
มรรค หรือในปฏิปทาพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอกล่าวด้วยความเลื่อมใสแท้ ญาณ
ของตถาคตในข้อนี้ก็เหมือนกันว่า แม้ภิกษุรูปหนึ่งในภิกษุสงฆ์นี้ ไม่มีความสงสัยหรือความเคลือบ
แคลงในพระพุทธเจ้า ในธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทาดูกรอานนท์ แท้จริงบรรดา
ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ รูปสุดท้ายภายหลังเป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้
ต่อไป ฯ
จบสูตรที่ ๖
อจินติตสูตร
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด
พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่อง
โลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่ง
ความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
จบสูตรที่ ๗
ทักขิณาสูตร
[๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกประการ ๑ ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่
บริสุทธิ์ฝ่ายทายกประการ ๑ ทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกประการ ๑ ทักขิณาบริสุทธิ์
ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกประการ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายกไม่บริสุทธิ์
ฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร ทายกในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ฝ่ายปฏิคาหก เป็นคนทุศีล
มีบาปธรรม ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกอย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายกเป็นอย่างไร คือทายกในโลกนี้
เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม ส่วนปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายกอย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร คือ ทายกในโลกนี้ เป็น
ผู้ทุศีล มีบาปธรรม แม้ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรมทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่าย
ปฏิคาหก อย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร คือ ทายกในโลกนี้ เป็นผู้มี
ศีล กัลยาณธรรม แม้ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมทักขิณาบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่าย
ปฏิคาหกอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๘
วณิชชสูตร
[๗๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไร
หนอเป็นเหตุปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายขาดทุน อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้
บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคล
บางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่
ท่านประสงค์ เขากลับไม่ถวายปัจจัยที่เขาปวารณา ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์
นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมขาดทุน อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือ
พราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์แต่เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ไม่
เป็นไปตามประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ
เขาย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว
ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ตามที่ประสงค์ ถ้าเขา
เคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรตามที่
ประสงค์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ปวารณาว่า ขอท่านจง
บอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ยิ่งกว่าที่ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น
มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ ดูกรสารีบุตร
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายขาดทุน นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรตามที่ประสงค์นี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคล
บางคนในโลกนี้ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ ฯ
จบสูตรที่ ๙
กัมโมชสูตร
[๘๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้ง
นั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้ พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ มาตุคามมักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูกรอานนท์
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอก
เมืองไม่ได้ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
ปุญญาภิสันทสูตรที่ ๑
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุบริโภคจีวรของทายกใดเข้าถึงเจโตสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ห้วงบุญห้วงกุศลของทายกนั้น
หาประมาณมิได้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ภิกษุบริโภคบิณฑบาต
ของทายกใด ... บริโภคเสนาสนะของทายกใด ...บริโภคเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแห่งคนไข้ของ
ทายกใด เข้าถึงเจโตสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ห้วงบุญห้วงกุศลของทายกนั้นหาประมาณมิได้
นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล
๔ ประการนี้แล นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ฯ
อนึ่ง การถือเอาประมาณแห่งบุญของอริยสาวก ผู้ประกอบด้วยห้วงบุญห้วงกุศล ๔
ประการนี้ว่า ห้วงบุญห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็น
วิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ดังนี้ ไม่ใช่กระทำได้ง่าย โดยที่แท้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นกองบุญใหญ่ จะนับ
จะประมาณมิได้ทีเดียว การถือเอาประมาณแห่งน้ำในมหาสมุทรว่า เท่านี้อาฬหกะ เท่านี้ร้อยอาฬหกะ
เท่านี้พันอาฬหกะ หรือว่าเท่านี้แสนอาฬหกะ ไม่ใช่ทำได้ง่ายโดยที่แท้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นห้วง
น้ำใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ทีเดียวแม้ฉันใด การถือเอาประมาณแห่งบุญของอริยสาวก
ผู้ประกอบด้วยห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ว่า ห้วงบุญห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้
ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ดังนี้ ไม่ใช่กระทำได้ง่าย โดยที่แท้ ย่อมถึงซึ่งการ
นับว่า เป็นกองบุญใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
แม่น้ำทั้งหลาย อันคับคั่งด้วยหมู่ปลาเป็นจำนวนมาก ไหล
ไปยังสาครคือทะเลใหญ่ ที่ขังน้ำใหญ่ ไม่มีประมาณ
ประกอบด้วยสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นที่อยู่อาศัยแห่งรัตนะ
เป็นอันมาก ย่อมยังสาครให้เต็ม ฉันใด ท่อธารแห่งบุญ
ย่อมยังนรชนผู้เป็นบัณฑิต ผู้ให้ข้าวและน้ำ ให้เครื่องปู
ลาดที่นอนและที่นั่ง ให้เต็มด้วยบุญ ฉันนั้น เหมือน
อย่างแม่น้ำ คือห้วงน้ำยังสาครให้เต็มฉะนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๑
ปุญญาภิสันทสูตรที่ ๒
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้
เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงสมบูรณ์ด้วย
วิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกชั้นเยี่ยม เป็นศาสดา
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้มีโชคห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๑ นี้
นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
อันผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
พึงรู้ได้เฉพาะตน ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๒ นี้นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็น
วิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจอีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน
พระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติ
เป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มี
พระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับเป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี
เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๓ นี้ นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์อันเลิศมีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยศีล อันพระ
อริยะใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อยเป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหา
และทิฐิไม่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๔ นี้ นำสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มี
สุขเป็นวิบากเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้แล นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
สุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ฯ
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระตถาคต มีศีลดีงาม
อันพระอริยะเจ้าใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใส
ใน พระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้
นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่า เพราะฉะนั้น
ผู้มี ปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ควร ประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็น
ธรรมไว้ เนืองๆ เถิด ฯ
จบสูตรที่ ๒
สังวาสสูตรที่ ๑
[๕๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินหนทางไกลในระหว่างเมืองมธุราและ
เมืองเวรัญชาต่อกัน คหบดีและคหปตานีมากด้วยกัน ก็เป็นผู้ดำเนินหนทางไกล ในระหว่างเมือง
มธุราและเมืองเวรัญชาต่อกัน ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง ประทับนั่งที่โคนไม้
แห่งหนึ่ง คหบดีและคหปตานีเหล่านั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงได้
พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะคหบดีและคหปตานีเหล่านั้นว่า ดูกรคหบดีและคหปตานี
ทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วม
กับหญิงเทวดา๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ดูกรคหบดีและ
คหปตานีทั้งหลายก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นคนทุศีล
มีบาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษ สมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมาคือสุราและ
เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหนี่ครอบงำ
ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี
อย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้
เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือนส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการดื่มน้ำเมาคือ
สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากมลทินคือความ
ตระหนี่ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไรสามีในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด่าและ
บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิง
ผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีใน
โลกนี้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้
ภรรยาของเขาก็เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
ดูกรคหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ดูกรคหบดีและปตานีทั้ง
หลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้ทุศีล เป็นคนตระหนี่ มักด่าว่า
สมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน สามีเป็นผู้ทุศีล
มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มี
ศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่
ภรรยา นั้นชื่อว่าเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี สามีเป็นผู้มีศีล
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วน
ภรรยาเป็นผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์
ชื่อว่าหญิงผี อยู่ร่วมกับสามีเทวดา ทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม
ภรรยาและ สามีทั้งสองนั้น เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กัน
และกัน ย่อมมี ความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้ง
สองฝ่ายมีศีลเสมอ กัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน
ครั้นประพฤติธรรม ในโลกนี้แล้ว เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอ
กันย่อมเป็นผู้เสวย กามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ใน
เทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๓
สังวาสสูตรที่ ๒
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วม
กับหญิงเทวดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่า
สัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความ
ละโมบ มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทิน คือความตระหนี่
ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ
อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้มัก
ฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูด
เพ้อเจ้อ ไม่มีความละโมบ ไม่มีพยาบาท มีความเห็นชอบ มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจาก
มลทินคือความตระหนี่ ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผี
อยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้งด
เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่
ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย การ
อยู่ร่วม ๔ ประการนี้แล ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้ทุศีล เป็นคนตระหนี่ มักด่าว่า
สมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน สามีเป็นผู้ทุศีลมี
ความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มี
ศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ภรรยา
นั้นชื่อว่าเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความ
ประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วนภรรยาเป็น
ผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ชื่อว่าหญิง ผี
อยู่ร่วมกับสามีเทวดา ทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธารู้ความประสงค์
ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม ภรรยาและสามี
ทั้งสองนั้น เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมี
ความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้งสองฝ่ายมีศีล
เสมอกันรักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน ครั้นประพฤติ
ธรรมใน โลกนี้แล้ว เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อม
เป็นผู้เสวย กามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๔
สมชีวิสูตรที่ ๑
[๕๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามฤคทายวันใกล้บ้านสุงสุมาร
คีระ แคว้นภัคคะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จ
เข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลบิดาคฤหบดี แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้งนั้นแล คฤหบดีผู้
นกุลบิดาและคฤหปตานีผู้นกุลมารดา เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว คฤหบดีผู้นกุลบิดาได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำคฤหปตานีผู้นกุลมารดาซึ่งยังเป็นสาวมา เพื่อข้าพระองค์ผู้ยังเป็นหนุ่ม
ข้าพระองค์มิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจคฤหปตานีผู้นกุลมารดาแม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอก
ใจด้วยกายเล่า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ แม้คฤหป
ตานีผู้นกุลมารดา ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำ
หม่อมฉันซึ่งยังเป็นสาวมา เพื่อคฤหบดีผู้นกุลบิดาซึ่งยังเป็นหนุ่มหม่อมฉันมิได้รู้สึกจะประพฤติ
นอกใจคฤหบดีผู้นกุลบิดาแม้ด้วยใจเลย ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า หม่อมฉันทั้งสอง
ปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะ
พบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีล
เสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน
ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของ
ผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารัก
แก่ กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อ
กัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและ
วัตร เสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลิน
บันเทิงใจ อยู่ในเทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๕
สมชีวิสูตรที่ ๒
[๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองพึงหวังพบ
กันและกันทั้งในปัจจุบัน และในสัมปรายภพ ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอ
กัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งใน
ปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของ
ผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารัก
แก่ กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
ทั้ง สองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อ
กัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและ
วัตรเสมอ กัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลิน
บันเทิงใจอยู่ใน
เทวโลก ฯ
จบสูตรที่ ๖
สุปปวาสสูตร
[๕๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิคมของโกลิยราชสกุล ชื่อปัชชเนละ
แคว้นโกฬิยะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไป
ยังนิเวศน์ของโกลิยธิดาชื่อสุปปวาสา ครั้นแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้งนั้นแล โกลิยธิดา
ชื่อสุปปวาสาได้อังคาสพระผู้มีพระภาคด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน ให้อิ่มหนำ
เพียงพอแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกาผู้ให้โภชนะ ชื่อ
ว่าย่อมให้ฐานะ ๔ แก่ปฏิคาหก ฐานะ ๔ เป็นไฉนคือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ครั้นให้
อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ย่อม
เป็นผู้มีส่วนแห่งวรรณะอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้สุขแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสุขะ
อันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็น
ของมนุษย์ ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกา เมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่
ปฏิคาหก ฯ
อริยสาวิกา ย่อมให้โภชนะที่ปรุงแล้ว สะอาดประณีต
สมบูรณ์ด้วยรส ทักษิณานั้นอันบุคคลให้แล้วในท่านผู้
ดำเนิน ไปตรง ผู้ประกอบด้วยจรณะ ผู้ถึงความเป็นใหญ่
สืบต่อบุญกับบุญ เป็นทักษิณามีผลมาก อันพระพุทธเจ้าผู้รู้
แจ้งโลก สรรเสริญแล้ว ชนเหล่าใดเมื่อระลึกถึงยัญเช่นนั้น
ย่อมเป็นผู้มีความโสมนัสเที่ยวไปในโลก กำจัดมลทิน
คือความ ตระหนี่พร้อมทั้งรากเง่าออกแล้ว ชนเหล่านั้น
ไม่ถูกนินทาย่อมเข้าถึงฐานะคือสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๗
สุทัตตสูตร
[๕๘] ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี อริยสาวก
ผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก ฐานะ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ให้อายุ
วรรณะ สุขะ พละ ครั้นให้อายุแล้วย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้น
ให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือ
เป็นของมนุษย์ ดูกรคฤหบดี อริยสาวกเมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหก ฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะโดยเคารพ ตามกาลอันควร แก่ท่านผู้
สำรวม บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าให้
ฐานะทั้ง ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ และพละ นรชนผู้มีปรกติ
ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มีบริวารยศ
ในที่ที่ตนเกิดแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๘
โภชนสูตร
[๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก
๔ ประการเป็นไฉน คือให้อายุ วรรณะ สุขะ พละครั้นให้อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่ง
อายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขะแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว
ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะ
ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหก ฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะ ตามกาล อันควร โดยเคารพ แก่
ปฏิคาหกผู้สำรวมแล้ว ผู้บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่
ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมให้ฐานะ ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ
และพละ นรชนผู้มีปรกติให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อม
เป็นผู้ มีอายุยืน มีบริวารยศ ในที่ที่ตนเกิดแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๙
คิหิสามีจิสูตร
[๖๐] ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี อริยสาวก
ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาสมควรแก่คฤหัสถ์อันเป็นเหตุให้ได้ยศ
และเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร ๑ ด้วยบิณฑบาต ๑ ด้วยเสนาสนะ ๑ ด้วยเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่
คนไข้ ๑ ดูกรคฤหบดี อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันสมควรแก่คฤหัสถ์ อันเป็นเหตุให้ได้ยศ และเป็นไปเพื่อสวรรค์ ฯ
บัณฑิตทั้งหลายบำรุงท่านผู้มีศีล ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ด้วย
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้
ชื่อว่าย่อมปฏิบัติปฏิปทาสมควรแก่คฤหัสถ์ บุญย่อมเจริญ
แก่เขาทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาทำกรรมอัน
เจริญแล้ว ย่อมเขาถึงฐานะคือสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
ปัตตกรรมสูตร
[๖๑] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี ธรรม
๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ขอโภคะจงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม นี้เป็นธรรมประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
หาได้ยากในโลก เราได้โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เราพร้อมด้วยญาติและ
มิตรสหาย นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ หาได้ยากในโลก เราได้
โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว ขอเราจงเป็นอยู่นาน
จงรักษาอายุให้ยั่งยืน นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
เราได้โภคะทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้วเป็นอยู่นาน รักษา
อายุให้ยั่งยืนแล้ว เมื่อตายแล้ว ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ อันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลกดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้แล น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ฯ
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการนี้ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑
จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑ดูกรคฤหบดี ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัย
ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค
พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรคฤหบดี นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา ก็สีล
สัมปทาเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯเป็นผู้งดเว้นจาก
การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทนี้เรียกว่า สีลสัมปทา ก็จาคสัมปทา
เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ มีจาคะอันปล่อย
แล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน อยู่ครอบครอง
เรือนนี้เรียกว่าจาคสัมปทา ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน บุคคลมีใจอันความโลภไม่สม่ำเสมอ คือ
อภิชฌาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจที่ควรทำเมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจ
ที่ควรทำอยู่ ย่อมเสื่อมจากยศและความสุขบุคคลมีใจอันพยาบาทครอบงำ ... อันถีนมิทธะครอบงำ ...
อันอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ ... อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ยินดีกิจที่ควรทำ
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า อภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลส
ของจิต ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสของจิตเสียได้รู้ว่า พยาบาท ... ถีนมิทธะ ...
อุทธัจจกุกกุจจะ ... วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสของจิต ย่อมละวิจิกิจฉาอันเป็นอุปกิเลสของจิต ดูกร
คฤหบดี เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าอภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลสของจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ... ถีนมิทธะ ... อุทธัจจกุกกุจจะ ... วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสของจิตดังนี้
แล้ว เมื่อนั้น ย่อมละเสียได้ อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น
เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา ดูกรคฤหบดี ธรรม ๔ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการนี้แล อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก ฯ
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้แล ย่อมเป็นผู้กระทำกรรมอันสมควร ๔ ประการ ด้วยโภค
ทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรมได้มาแล้วโดยธรรม กรรม ๔ ประการ เป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมเลี้ยง
ตนให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหารให้เป็นสุขโดยชอบ เลี้ยงมารดา บิดา ให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหาร
ให้เป็นสุขได้โดยชอบ เลี้ยงบุตร ภรรยา คนใช้ คนงาน และบริวารให้เป็นสุขเอิบอิ่ม บริหาร
ให้เป็นสุขได้โดยชอบ เลี้ยงมิตรและอำมาตย์ให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ฯลฯ นี้เป็นฐานะข้อที่ ๑ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึง
แล้ว คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมป้องกัน
อันตรายทั้งหลายที่เกิดแต่ไฟ แต่น้ำ แต่พระราชา แต่โจร หรือแต่ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักเห็นปานนั้น ด้วย
โภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรม ได้มาแล้วโดยธรรม กระทำตนให้สวัสดี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๒ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว
คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ทำพลี ๕ ประการ
คือ ญาติพลี อติถิพลี ปุพพเปตพลี ราชพลี เทวตาพลี ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความ
ขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัวประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม
นี้เป็นฐานะข้อที่ ๓ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้วคือ ถึงแล้วโดยควรแก่เหตุ ได้บริโภคแล้วโดยควร
อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมยังทักษิณาอันมีผลในเบื้องบน ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก
เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ให้ตั้งไว้เฉพาะในสมณพราหมณ์ผู้งดเว้นจากความประมาทมัวเมาผู้ตั้งอยู่
ในขันติและโสรัจจะ ฝึกฝนตนผู้เดียว ยังตนผู้เดียวให้สงบ ยังตนผู้เดียวให้ดับกิเลส เห็นปานนั้น
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบ
ในธรรมได้มาโดยธรรม นี้เป็นฐานะข้อที่ ๔ ที่อริยสาวกนั้นได้ถึงแล้ว คือ ถึงโดยควรแก่เหตุ
ได้บริโภคแล้วโดยควร ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้กระทำกรรมอันสมควร ๔ ประการ
นี้ ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขนมีเหงื่อโทรมตัว
ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม ดูกรคฤหบดี โภคทรัพย์ ของใครๆ ถึงความสิ้นไป นอกจาก
กรรมอันสมควร ๔ ประการนี้ เราเรียกว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ สิ้นเปลืองไปโดยไม่สมควร
ใช้สอยโดยไม่สมควรแก่เหตุส่วนโภคทรัพย์ของใครๆ ถึงความสิ้นไปด้วยกรรมอันสมควร
๔ ประการนี้ เราเรียกว่า สิ้นเปลืองไปโดยเหตุอันควร สิ้นเปลืองไปโดยสถานที่ควร ใช้สอย
โดยสมควรแก่เหตุ
โภคทรัพย์ทั้งหลายเราได้บริโภคแล้ว คนที่ควรเลี้ยง เรา
ได้ เลี้ยงแล้ว เราได้ข้ามพ้นอันตรายทั้งหลายไปแล้ว
ทักษิณามีผลอันเลิศ เราได้ให้แล้ว อนึ่ง พลีกรรม
๕ ประการ เรา ได้กระทำแล้ว ท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์
ประพฤติพรหมจรรย์ เราได้บำรุงแล้ว บัณฑิตอยู่ครอบ
ครองเรือน พึงปรารถนาโภคทรัพย์ เพื่อประโยชน์ใด
ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว โดยลำดับ กรรมที่ไม่
เดือดร้อนในภายหลังเราได้กระทำแล้วนรชนผู้มีอันจะตาย
เป็นสภาพ เมื่อคำนึงถึงเหตุนี้ เป็นผู้ตั้ง อยู่แล้วในธรรม
ของพระอริยะ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ เขาในโลก
นี้ทีเดียว ครั้นเขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงใน โลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๑
อันนนาถสูตร
[๖๒] ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี สุข ๔
ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามพึงได้รับตามกาลตามสมัย สุข ๔ ประการเป็นไฉน คือ
สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ๑ สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค ๑ สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้ ๑ สุขเกิด
แต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ๑ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์เป็นไฉนโภค
ทรัพย์ของกุลบุตรในโลกนี้ เป็นของที่เขาหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน
มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรมเขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า โภคทรัพย์
ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรสั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว ประกอบในธรรม
ได้มาโดยธรรมของเรามีอยู่ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การจ่าย
ทรัพย์บริโภคเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ ย่อมใช้สอยโภคทรัพย์ และย่อมกระทำบุญทั้งหลาย
ด้วยโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมขึ้นด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว
ประกอบในธรรม ได้มาโดยธรรม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เราย่อมใช้สอยโภคทรัพย์
และย่อมกระทำบุญทั้งหลายด้วยโภค ดูกรคฤหบดี ก็สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้เป็นไฉน กุลบุตร
ในโลกนี้ ย่อมไม่เป็นหนี้อะไรๆของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัสว่า เรา
ไม่เป็นหนี้อะไรๆ ของใครๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้ ดูกร
คฤหบดี ก็สุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ปราศจากโทษเป็นไฉนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันหาโทษมิได้ เขาย่อมได้รับความสุขโสมนัส
ว่า เราประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม อันหาโทษมิได้ นี้เรียกว่า สุขเกิดแต่การ
ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ดูกรคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้แล อันคฤหบดีผู้บริโภคกามพึงได้
รับตามกาลตามสมัย ฯ
นรชนผู้มีอันจะตายเป็นสภาพ รู้ความไม่เป็นหนี้ว่าเป็น
สุขแล้ว พึงระลึกถึงสุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ เมื่อใช้สอย
โภคะเป็นสุข อยู่ ย่อมเห็นแจ้งด้วยปัญญา ผู้มีเมธาดี
เมื่อเห็นแจ้ง ย่อมรู้ ส่วนทั้ง ๒ ว่า สุขแม้ทั้ง ๓ อย่างนี้
ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อัน จำแนกแล้ว ๑๖ ครั้ง ของสุขเกิด
แต่การประกอบการงานที่ ปราศจากโทษ ฯ
จบสูตรที่ ๒
สพรหมสูตร
[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใด
บูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้น ชื่อว่ามีพรหม มารดาและบิดา เป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของ
ตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพาจารย์ มารดาและบิดา เป็นผู้อัน
บุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีบุรพเทพ มารดาและ
บิดาเป็นผู้อันบุตรทั้งหลายของตระกูลเหล่าใดบูชาแล้วภายในเรือน ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีอาหุ
เนยยบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมบุรพาจารย์ บุรพเทพอาหุเนยยบุคคล นี้เป็นชื่อของ
มารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ประคบ
ประหงมเลี้ยงดูบุตร เป็นผู้แสดงโลกนี้ แก่บุตร ฯ
มารดาและบิดาผู้อนุเคราะห์แก่บุตร ท่านเรียกว่า พรหม
บุรพาจารย์ และอาหุเนยยบุคคลของบุตรทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแหละ บุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงนอบน้อม พึงสักการะ
ท่านด้วยข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง อบกาย ให้อาบน้ำ
และชำระเท้า เพราะเหตุที่บุตรผู้เป็นบัณฑิตได้บำรุงบำเรอ
ใน มารดาและบิดา บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขา
ครั้นเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๓
นิรยสูตร
[๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก
เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประ
พฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อม
เกิดในนรก เหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การคบหาภรรยาของผู้อื่น การ
พูดเท็จ เรากล่าวว่า เป็นกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่สรรเสริญเลย ฯ
จบสูตรที่ ๔
รูปสูตร
[๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ ผู้ถือประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป ๑ ผู้ถือประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง ๑ ผู้ถือประมาณ
ในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง ๑ผู้ถือประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ ฯ
ก็ชนเหล่าใด ถือประมาณในรูป และชนเหล่าใด คล้อย
ไป ตามเสียง ชนเหล่านั้น เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของฉันท
ราคะ ย่อมไม่รู้จักชนนั้น คือ ย่อมไม่รู้คุณภายในของเขา
และ ไม่เห็นข้อปฏิบัติภายนอกของเขา บุคคลนั้นแล เป็น
คน เขลา ถูกห้อมล้อมไว้โดยรอบ อันเสียงย่อมพัดไป
อนึ่ง บุคคลไม่รู้คุณภายใน และไม่เห็นข้อปฏิบัติภายนอก
ของเขา แม้บุคคลนั้นเห็นผลในภายนอก ก็ยังถูกเสียงพัด
ไป ส่วนบุคคลรู้ทั่วถึงคุณภายในของเขา และเห็นแจ้ง
ข้อปฏิบัติภาย นอกของเขา บุคคลนั้นเป็นผู้เห็นธรรม
อันปราศจากเครื่องกั้น ย่อมไม่ถูกเสียงพัดไป ฯ
จบสูตรที่ ๕
สราคสูตร
[๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ บุคคลผู้มีราคะ ๑ มีโทสะ ๑ มีโมหะ ๑ มีมานะ ๑บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่
ในโลก ฯ
ชนทั้งหลาย กำหนัดนักในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความ
กำหนัด เพลิดเพลินในรูปที่น่ารัก เป็นสัตว์เลวทราม อันโมหะ
ผูกไว้ ย่อมยังเครื่องผูกให้เจริญ เป็นผู้ไม่ฉลาด ย่อมกระทำ
อกุศล กรรมอันเกิดแต่ราคะบ้าง เกิดแต่โทสะบ้าง เกิด
แต่โมหะบ้างมีความคับแค้น ให้ทุกข์ต่อไป สัตว์
ทั้งหลายอันอวิชชาหุ้ม ห่อแล้ว เป็นผู้มืดมน ไม่มีจักษุ
พวกเขาย่อมไม่สำคัญ ว่าเราเป็นผู้มีสภาพเหมือนธรรม ๓
ทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๖
อหิสูตร
[๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด
ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุรูปหนึ่งในเมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยัง
สกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำ
กาละ ตระกูลพญางู ๔เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักข์ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑
ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น
ชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู ๔ จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาไปยังตระกูล
พญางูทั้ง ๔ นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิต
ไปยังตระกูลพญางู ๔ จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ฯ
ความเป็นมิตร ของเรา จงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อวิรูปักข์
ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย
ชื่อเอราปถะ ความเป็นมิตร ของเราจงมีกับ สกุลพญางู
ทั้งหลายชื่อฉัพยา ปุตตะ ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สกุลพญางูทั้งหลายชื่อ กัณหาโคตมกะ ความเป็นมิตรของ
เราจงมีกับสัตว์ทั้งหลายที่ ไม่มีเท้า ความเป็นมิตรของเรา
จงมีกับสัตว์จำพวก ๒ เท้า ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สัตว์จำพวก ๔ เท้า ความเป็น มิตรของเราจงมีกับสัตว์
จำพวกมีเท้ามาก สัตว์ไม่มีเท้าอย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์ ๒ เท้าอย่าเบียดเบียนเรา สัตว์๔ เท้า อย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์มีเท้ามากอย่าเบียดเบียนเรา ขอ สรรพสัตว์ทั้งปวงที่
มีลมปราณ มีชีวิตเป็นอยู่ จงได้พบเห็นความเจริญเถิด
อย่าได้มาถึงโทษอันลามกน้อยหนึ่งเลย ฯ
พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้ พระสงฆ์มีคุณ
หาประมาณมิได้ สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่องจะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแก หนู
ล้วนมีประมาณ ความรักษาอันเรากระทำแล้วความป้องกันอันเรากระทำแล้ว ขอหมู่สัตว์ทั้งหลาย
จงหลีกไปเสีย เรานั้นกำลังนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ กำลังนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗
พระองค์อยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๗
เทวทัตตสูตร
[๖๘] สมัยหนึ่ง เมื่อพระเทวทัตต์หลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงปรารภพระเทวทัตต์ ตรัสกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภ สักการะและการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์
เพื่อฆ่าคน เพื่อความพินาศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นกล้วยย่อมเผล็ดผลเพื่อฆ่าตน เมื่อความพินาศ
แม้ฉันใด ลาภสักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศแม้ฉันใด ลาภ
สักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตนเพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้อ้อย่อมผลิดอกเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะ และ
การสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายแม่ม้าอัศดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะ และ
การสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ ดอกอ้อ
ย่อมฆ่าต้นอ้อ ลูกม้าอัศดรย่อมฆ่าแม่ม้าอัศดร ฉันใด
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว ฉันนั้น ฯ
จบสูตรที่ ๘
ปธานสูตร
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการนี้๔ ประการเป็นไฉน คือ
สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑อนุรักขนาปธาน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังวร
ปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคอง
จิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้อกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นนี้เรียกว่า สังวรปธาน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็ปหานธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้เพื่อละอกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า
ปหานปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภาวนาปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้
เกิดพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อให้กุศลกรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น นี้
เรียกว่า ภาวนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุรักขนาปธานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม
ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อความดำรงอยู่ เพื่อไม่
หลงลืม เพื่อความเจริญยิ่งขึ้นเพื่อความไพบูลย์ เพื่อเพิ่มพูน เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้วนี้เรียกว่า อนุรักขนาปธาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปธานคือความเพียร ๔ ประการนี้แล ฯ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้มีความเพียร พึงถึงความสิ้นทุกข์
ได้ด้วย ปธานเหล่าใด ปธาน ๔ ประการเหล่านี้ คือ
สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑
อนุรักขนาปธาน ๑ อัน พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พระอาทิตย์ ทรงแสดง ไว้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๙
ธรรมิกสูตร
[๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้พวก
ข้าราชการ ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพวกข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้พราหมณ์
และคฤหบดี ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาว
นิคมและชาวชนบท ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ
เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ
เมื่อคืนและวันหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อเดือน
หนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอเมื่อฤดูและปีหมุน
เวียนไม่สม่ำเสมอ ลมย่อมพัดไม่สม่ำเสมอ เมื่อลมพัดไม่สม่ำเสมอ ลมก็เดินผิดทางไม่สม่ำเสมอ
ย่อมพัดเวียนไป เมื่อลมเดินผิดทางไม่สม่ำเสมอพัดเวียนไป เทวดาย่อมกำเริบ เมื่อเทวดากำเริบฝน
ย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาลเมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน ดูกร
ภิกษุทั้งหลายมนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมเป็นผู้มีอายุน้อย มีผิวพรรณเศร้าหมองมี
กำลังน้อย มีอาพาธมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น
แม้ข้าราชการก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้พราหมณ์และ
คฤหบดีก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ชาวนิคมและ
ชาวชนบท ก็ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์
และพระอาทิตย์ก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนสม่ำเสมอกัน
หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรหมุนเวียนสม่ำเสมอ คืนและวันก็ย่อม
หมุนเวียนสม่ำเสมอ เมื่อคืนและวันย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ย่อมหมุนเวียน
สม่ำเสมอกัน เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนหมุนเวียนสม่ำเสมอ ฤดูและปีก็ย่อมหมุนเวียนไปสม่ำ
เสมอ เมื่อฤดูและปีหมุนเวียนไปสม่ำเสมอกัน ลมย่อมพัดสม่ำเสมอ เมื่อลมพัดสม่ำเสมอ ลม
ย่อมพัดไปถูกทาง เมื่อลมพัดไปถูกทาง เทวดาย่อมไม่กำเริบ ฝนย่อมตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝน
ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าก็สุกเสมอกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าที่สุกเสมอกัน
ย่อมมีอายุยืน มีผิวพรรณดี มีกำลัง และมีอาพาธน้อย ฯ
เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปคด โคเหล่านั้นย่อม
ไปคดทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปคด ในมนุษย์ก็เหมือนกัน
ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ ถ้าผู้นั้นประพฤติอธรรม
ประชาชนนอกนี้ก็จะประพฤติอธรรมเหมือนกัน แว่นแคว้น
ทั้งหมดจะได้ประสบความทุกข์ ถ้าพระราชาเป็นผู้ไม่ตั้ง
อยู่ ในธรรม เมื่อฝูงโคข้ามไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงไปตรง
โคเหล่า นั้นย่อมไปตรงทั้งหมด ในเมื่อโคผู้นำไปตรง ใน
หมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติให้เป็นผู้นำ
ถ้าผู้นั้นประพฤติ ธรรม ประชาชนนอกนี้ย่อมประพฤติธรรม
เหมือนกัน แว่นแคว้นทั้งหมดย่อมได้ประสบความสุข
ถ้าพระราชาเป็นผู้ ตั้งอยู่ในธรรม ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบปัตตกรรมวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปัตตกรรมสูตร ๒. อันนนาถสูตร ๓. สพรหมกสูตร ๔. นิรยสูตร ๕. รูปสูตร
๖. สราคสูตร ๗. อหิสูตร ๘. เทวทัตตสูตร ๙. ปธานสูตร ๑๐. ธรรมิกสูตร ฯ
____________
อปัณณกวรรคที่ ๓
ปธานสูตร
[๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ๑ เป็นพหูสูต ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ผิด และเป็นปรารภเหตุ
เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๑
ทิฏฐิสูตร
[๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทา
อันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลายธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
คือ เนกขัมมวิตก ๑ อพยาบาทวิตก ๑ อวิหิงสาวิตก ๑ สัมมาทิฏฐิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้
ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันไม่ผิด และเป็นอันปรารภเหตุเพื่อ
ความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๒
สัปปุริสสูตร
[๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ พึงทราบว่าเป็น
อสัตบุรุษ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความเสียหาย
ของผู้อื่น จะกล่าวอะไรถึงถูกถามเล่า และเมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่
หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าวความเสียหายของผู้อื่นเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า
ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของผู้อื่น จะกล่าว
อะไรถึงไม่ถูกถาม และเมื่อถูกถามแล้ว ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรงอ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าว
สรรเสริญคุณผู้อื่นโดยย่อ ไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของตน จะ
กล่าวอะไรถึงไม่ถูกถาม และเมื่อถูกถามแล้ว ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว
แล้วกล่าวความเสียหายของตนโดยย่อ ไม่เต็มที่ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็น
อสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง อสัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความดีของตน จะกล่าว
อะไรถึงถูกถามเล่า และเมื่อถูกถามแล้วก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว แล้ว
กล่าวความดีของตนเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล พึงทราบว่า เป็นอสัตบุรุษ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ พึงทราบว่าเป็นสัตบุรุษ ธรรม
๔ ประการเป็นไฉน คือ สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความเสียหายของผู้อื่น จะ
กล่าวอะไรถึงไม่ถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้า ก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว
กล่าวความเสียหายของผู้อื่นโดยย่อไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลก แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความดีของผู้อื่น จะกล่าวอะไร
ถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว กล่าวความดีของผู้
อื่นเต็มที่อย่างกว้างขวาง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่าท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ไม่ถูกถามก็เปิดเผยความเสียหายของตน จะ
กล่าวอะไรถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็แก้ปัญหาโดยตรง ไม่อ้อมค้อม ไม่หน่วงเหนี่ยว แล้ว
กล่าวความเสียหายของตนเต็มที่อย่างกว้างขวางดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษในโลกนี้ แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของตน จะกล่าวอะไร
ถึงถูกถามเล่า แต่เมื่อถูกถามเข้าก็ไม่แก้ปัญหาโดยตรง อ้อมค้อม หน่วงเหนี่ยว แล้วกล่าวความดีของ
ตนโดยย่อ ไม่เต็มที่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ประการนี้แล พึงทราบว่าเป็นสัตบุรุษ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงสะใภ้ที่ถูกนำมาคืนหนึ่งหรือวันหนึ่งเท่านั้น นางตั้งหิริและ
โอตตัปปะได้อย่างแรงกล้าในแม่ผัว พ่อผัว และผัว โดยที่สุดในคนรับใช้และคนทำงาน สมัยต่อ
มา นางอาศัยอยู่คุ้นเคย จึงกล่าวกะแม่ผัวบ้าง พ่อผัวบ้าง และผัวบ้าง อย่างนี้ว่า จงหลีกไป ก็
พวกท่านรู้อะไร ดังนี้ฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพียงออกบวชได้วัน
หนึ่งหรือคืนหนึ่งเท่านั้น เธอตั้งหิริและโอตตัปปะไว้อย่างแรงกล้า ในพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกาทั้งหลาย โดยที่สุดในคนวัดและสามเณร สมัยต่อมาเธออาศัยความอยู่ร่วม จึงกล่าว
กะอาจารย์บ้าง กะอุปัชฌาย์บ้างอย่างนี้ว่า จงหลีกไปก็พวกท่านรู้อะไร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมีใจเสมือนหญิงสะใภ้ซึ่งมาใหม่อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๓
อัคคสูตรที่ ๑
[๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ศีลอัน
เลิศ ๑ สมาธิอันเลิศ ๑ ปัญญาอันเลิศ ๑ วิมุตติอันเลิศ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศ ๔ ประการ
นี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๔
อัคคสูตรที่ ๒
[๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเลิศอีก ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ รูป
อันเลิศ ๑ เวทนาอันเลิศ ๑ สัญญาอันเลิศ ๑ ภพอันเลิศ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเลิศอีก ๔
ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕
กุสินาราสูตร
[๗๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ระหว่างต้นรังทั้งคู่ในสาลวัน อันเป็น
ที่ประพาสของมัลลกษัตริย์ ใกล้กรุงกุสินารา ในปรินิพพานสมัยณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึง
ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสักรูปหนึ่งพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ใน
ธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทา เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าได้มีความเสียใจใน
ภายหลังว่า พระศาสดาได้ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายไม่อาจจะสอบถามพระผู้
มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระพักตร์ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งอยู่ แม้
ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสักรูป
หนึ่งพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ในธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทา
เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าได้เสียใจในภายหลังว่า พระศาสดา ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้ง
หลาย เราทั้งหลายไม่อาจจะสอบถามพระผู้มีพระภาคเฉพาะพระพักตร์ได้ ภิกษุเหล่านั้นก็ได้นิ่งอยู่
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า เป็นได้ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่พึงถาม
แม้ด้วยความเคารพต่อพระศาสดา แม้สหายก็จงบอกแก่สหายเถิด เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่าง
นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็ได้นิ่งอยู่ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุสงฆ์อย่างนี้ แม้ภิกษุรูปหนึ่งใน
ภิกษุสงฆ์นี้ก็ไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ใน
มรรค หรือในปฏิปทาพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอกล่าวด้วยความเลื่อมใสแท้ ญาณ
ของตถาคตในข้อนี้ก็เหมือนกันว่า แม้ภิกษุรูปหนึ่งในภิกษุสงฆ์นี้ ไม่มีความสงสัยหรือความเคลือบ
แคลงในพระพุทธเจ้า ในธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรือในปฏิปทาดูกรอานนท์ แท้จริงบรรดา
ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ รูปสุดท้ายภายหลังเป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้
ต่อไป ฯ
จบสูตรที่ ๖
อจินติตสูตร
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด
พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่อง
โลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่ง
ความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
จบสูตรที่ ๗
ทักขิณาสูตร
[๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกประการ ๑ ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่
บริสุทธิ์ฝ่ายทายกประการ ๑ ทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกประการ ๑ ทักขิณาบริสุทธิ์
ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกประการ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายกไม่บริสุทธิ์
ฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร ทายกในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ฝ่ายปฏิคาหก เป็นคนทุศีล
มีบาปธรรม ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกอย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายกเป็นอย่างไร คือทายกในโลกนี้
เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม ส่วนปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายกอย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร คือ ทายกในโลกนี้ เป็น
ผู้ทุศีล มีบาปธรรม แม้ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรมทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่าย
ปฏิคาหก อย่างนี้แล ฯ
ก็ทักขิณาบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่ายปฏิคาหกเป็นอย่างไร คือ ทายกในโลกนี้ เป็นผู้มี
ศีล กัลยาณธรรม แม้ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมทักขิณาบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกทั้งฝ่าย
ปฏิคาหกอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๘
วณิชชสูตร
[๗๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไร
หนอเป็นเหตุปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายขาดทุน อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้
บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคล
บางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่
ท่านประสงค์ เขากลับไม่ถวายปัจจัยที่เขาปวารณา ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์
นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมขาดทุน อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือ
พราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์แต่เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ไม่
เป็นไปตามประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ
เขาย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว
ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ตามที่ประสงค์ ถ้าเขา
เคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรตามที่
ประสงค์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ปวารณาว่า ขอท่านจง
บอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ยิ่งกว่าที่ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น
มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ ดูกรสารีบุตร
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายขาดทุน นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรตามที่ประสงค์นี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคล
บางคนในโลกนี้ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์ ฯ
จบสูตรที่ ๙
กัมโมชสูตร
[๘๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ครั้ง
นั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้ พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ มาตุคามมักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูกรอานนท์
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอก
เมืองไม่ได้ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น