พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายเข้ามาในแถบประเทศบริเวณสุวรรณภูมิตั้งแต่
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๓ คือหลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ที่พระเจ้าอโศกทรงให้การอุปถัมภ์
หลังจากการทำสังคายนาเสร็จ
พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงจัดตั้งศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาขึ้นที่เมืองปาฏลีบุตร
หรือเมืองราชคฤห์นั่นเอง ปัจจุบันนี้ก็คือเมืองปัตนะซึ่งตั้งอยู่ในรัฐพิหาร
ประเทศไทยเราก็ได้รับอานิสงส์ของพระพุทธศาสนาจากที่พระเจ้าอโศกทรงส่งพระธรรมทูต
คือพระโสณะ กับ พระอุตตระ มาเผยแผ่ที่จังหวัดนครปฐม เพราะมีหลักฐานจากโบราณสถานหลายแห่ง
ที่สำคัญที่สุดคือพระปฐมเจดีย์ ซึ่งลักษณะเจดีย์เป็นทรงรูปโอคว่ำ
(เจดีย์องค์ปัจจุบันก่อสร้างขึ้นใหม่ครอบเจดีย์องค์เดิม ในรัชกาลที่ ๔
แห่งราชวงศ์จักรี)
ที่เป็นศิลปะนิยมแพร่หลายในประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ภายหลังพระพุทธศาสนาก็ได้แพร่หลายเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิอย่างไม่ขาดระยะ
พระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายปี
จึงไม่เป็นการแปลกเลยที่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา
ประเทศ ไทยมีเนื้อที่อยู่ในอาณาเขตแหลมสุวรรณภูมิ เมื่อในอดีตอันยาวนานหลายพันปีเนื้อที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังจมอยู่ในทะเล ข้อพิสูจน์ดังกล่าวก็คือได้มีผู้พบซากฟอสซิล (Fossil) หอยทะเลต่าง ๆ บนเทือกเขาภูพานบ้าง บนเขาวังจังหวัดเพชรบุรีบ้าง แม้แต่ที่วัดเจดีย์หอยจังหวัดนนทบุรีก็มีการพบสุสานหอยนางรมซึ่งเป็นหอยทะเล เป็นจำนวนมากมายมหาศาล สามารถนำไปก่อเป็นองค์เจดีย์ได้ อันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีตอาณาเขตแถบนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน จึงไม่แปลกที่มีนักธรณีวิทยาได้พบซากหอยเป็นจำนวนมากบนภูเขาต่าง ๆ เพราะว่าภูเขาเหล่านี้เคยจมอยู่ในมหาสมุทรมาก่อน
มนุษย์ พวกแรกที่อยู่ในประเทศไทย เท่าที่นักสำรวจได้ตรวจพบตามถ้ำต่าง ๆ แถบจังหวัดกาญจนบุรี คือเป็นมนุษย์ในสมัยหิน (Stone Age) ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีชีวิตอยู่ในราว ๒ – ๓ หมื่นปีมานี้ ทางการได้ขุดพบเครื่องใช้ของมนุษย์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งซากโครงกระดูก ทั้งหญิงชายและเด็ก ต่อมาอีกประมาณ ๒ – ๓ พันปีมานี้ ในบริเวณราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามนุษย์เผ่าละว้าก็ได้ตั้งบ้านแปลงเมืองอย่าง ง่าย ๆ ขึ้น และช่วงนั้นก็มีชาวอินเดียเดินทางเข้ามาและเผยแผ่อารยธรรมแก่พวกละว้า และเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ปนกับพวกละว้าด้วย เส้นทางที่พวกชาวอินเดียเดินทางเข้ามา สู่อาณาจักรแถบนี้อาจจะเป็นได้หลายสายด้วยกันคือ๑
๑. ทางบก โดยผ่านอ่าวเบงกอล ข้ามเทือกเขาปาดไก่แล้วเข้าสู่พม่าตอนบน
๒. ทางเรือ โดยการลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลมาขึ้นที่อ่าวเมาะตะมะ หรือมาขึ้นที่ฝั่งมะริด ทวาย ตะนาวศรี แล้วเดินบกเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านจังหวัดกาญจนบุรี
๓. ทางเรือ ข้ามมหาสมุทรอินเดียเข้าช่องแคบมะละกา มาขึ้นบกแถบแหลมมาลายู
ชาว อินเดียที่อพยพมานอกประเทศเหล่านี้เป็นนักแสวงโชค ส่วนมากเป็นชาวอินเดียภาคใต้ เพราะฉะนั้น อารยธรรมชมพูทวีปในสุวรรณภูมิ จึงเป็นอารยธรรมแบบอินเดียใต้มากกว่าอินเดียตอนเหนือ การอพยพครั้งใหญ่ ๆ ของอินเดียมาสู่สุวรรณภูมิเกิดขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวกันว่าชาวแคว้นกาลิงคะหนีภัยสงครามลงเรือจำนวนหลายร้อยลำ มาสู่สุวรรณภูมิและหมู่เกาะอินโดนีเซีย และในการอพยพครั้งนั้นคงต้องมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาด้วย ดังนั้น ตำนานพื้นเมืองของชาติต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิมักจะเล่าถึงปฐมวงศ์ของตนว่าเป็นขัตติยะจากอินเดีย พูดง่าย ๆ ก็คือชาวอินเดียได้มาสอนความเจริญให้แก่สุวรรณภูมิ ดังนั้น เมื่อพระโสณะและพระอุตตระซึ่งนำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เป็นคณะแรก ท่านจึงใช้ภาษาสื่อสารกับชาวสุวรรณภูมิรู้เรื่อง อย่างน้อยก็อาจจะพูดกับชาวอินเดียแล้วจึงแผ่ออกไปถึงชาวพื้นเมือง อาจจะกล่าวได้ว่า พวกมนุษย์มอญโบราณ ละว้า เป็นพวกแรกในสุวรรณภูมิที่นับถือพระพุทธศาสนา
ประเทศ ไทยมีเนื้อที่อยู่ในอาณาเขตแหลมสุวรรณภูมิ เมื่อในอดีตอันยาวนานหลายพันปีเนื้อที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังจมอยู่ในทะเล ข้อพิสูจน์ดังกล่าวก็คือได้มีผู้พบซากฟอสซิล (Fossil) หอยทะเลต่าง ๆ บนเทือกเขาภูพานบ้าง บนเขาวังจังหวัดเพชรบุรีบ้าง แม้แต่ที่วัดเจดีย์หอยจังหวัดนนทบุรีก็มีการพบสุสานหอยนางรมซึ่งเป็นหอยทะเล เป็นจำนวนมากมายมหาศาล สามารถนำไปก่อเป็นองค์เจดีย์ได้ อันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีตอาณาเขตแถบนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน จึงไม่แปลกที่มีนักธรณีวิทยาได้พบซากหอยเป็นจำนวนมากบนภูเขาต่าง ๆ เพราะว่าภูเขาเหล่านี้เคยจมอยู่ในมหาสมุทรมาก่อน
มนุษย์ พวกแรกที่อยู่ในประเทศไทย เท่าที่นักสำรวจได้ตรวจพบตามถ้ำต่าง ๆ แถบจังหวัดกาญจนบุรี คือเป็นมนุษย์ในสมัยหิน (Stone Age) ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีชีวิตอยู่ในราว ๒ – ๓ หมื่นปีมานี้ ทางการได้ขุดพบเครื่องใช้ของมนุษย์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งซากโครงกระดูก ทั้งหญิงชายและเด็ก ต่อมาอีกประมาณ ๒ – ๓ พันปีมานี้ ในบริเวณราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามนุษย์เผ่าละว้าก็ได้ตั้งบ้านแปลงเมืองอย่าง ง่าย ๆ ขึ้น และช่วงนั้นก็มีชาวอินเดียเดินทางเข้ามาและเผยแผ่อารยธรรมแก่พวกละว้า และเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ปนกับพวกละว้าด้วย เส้นทางที่พวกชาวอินเดียเดินทางเข้ามา สู่อาณาจักรแถบนี้อาจจะเป็นได้หลายสายด้วยกันคือ๑
๑. ทางบก โดยผ่านอ่าวเบงกอล ข้ามเทือกเขาปาดไก่แล้วเข้าสู่พม่าตอนบน
๒. ทางเรือ โดยการลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลมาขึ้นที่อ่าวเมาะตะมะ หรือมาขึ้นที่ฝั่งมะริด ทวาย ตะนาวศรี แล้วเดินบกเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านจังหวัดกาญจนบุรี
๓. ทางเรือ ข้ามมหาสมุทรอินเดียเข้าช่องแคบมะละกา มาขึ้นบกแถบแหลมมาลายู
ชาว อินเดียที่อพยพมานอกประเทศเหล่านี้เป็นนักแสวงโชค ส่วนมากเป็นชาวอินเดียภาคใต้ เพราะฉะนั้น อารยธรรมชมพูทวีปในสุวรรณภูมิ จึงเป็นอารยธรรมแบบอินเดียใต้มากกว่าอินเดียตอนเหนือ การอพยพครั้งใหญ่ ๆ ของอินเดียมาสู่สุวรรณภูมิเกิดขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวกันว่าชาวแคว้นกาลิงคะหนีภัยสงครามลงเรือจำนวนหลายร้อยลำ มาสู่สุวรรณภูมิและหมู่เกาะอินโดนีเซีย และในการอพยพครั้งนั้นคงต้องมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาด้วย ดังนั้น ตำนานพื้นเมืองของชาติต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิมักจะเล่าถึงปฐมวงศ์ของตนว่าเป็นขัตติยะจากอินเดีย พูดง่าย ๆ ก็คือชาวอินเดียได้มาสอนความเจริญให้แก่สุวรรณภูมิ ดังนั้น เมื่อพระโสณะและพระอุตตระซึ่งนำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เป็นคณะแรก ท่านจึงใช้ภาษาสื่อสารกับชาวสุวรรณภูมิรู้เรื่อง อย่างน้อยก็อาจจะพูดกับชาวอินเดียแล้วจึงแผ่ออกไปถึงชาวพื้นเมือง อาจจะกล่าวได้ว่า พวกมนุษย์มอญโบราณ ละว้า เป็นพวกแรกในสุวรรณภูมิที่นับถือพระพุทธศาสนา
การเผยแผ่ของพุทธศาสนาในประเทศไทยยุคต่าง
ยุคฟูนัน (พนม) (ศตวรรษที่ 6–7) ดินแดนของอาณาจักรฟูนัน พื้นที่ในประเทศเขมรทังหมด รวมทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ของประเทศไทยปัจจุบัน ไปจนจรดประเทศประพม่า
โอ. ดับบลิว. โวลเตอร์ กล่าวว่า พัฒนาการของฟูนันมีที่มาจากการที่รัฐสร้างโครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการผลิตในทางการเกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าวที่รัฐฟูนัน ดึงเข้ามายังส่วนกลางในรูปของส่วนอาการ เพื่อสร้างความมั่นคง และความมั่นคงให้แก่รัฐและกลุ่มชนชั้นปกครอง ขณะเดียวกัน มีนักวิชาการท่านหนึ่ง ได้ค้านแนวความคิดเรื่องโครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่ดังกล่าว คือ ดับบลิว.เจ. แวนเลอ (W.J. Van Liere) กล่าวว่า ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า โครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่จะมีผลไปถึงการเพาะปลูก ตรงข้ามโครงสร้างดังกล่าว เป็นเรื่องของศาสนาที่ค้ำจุนฐานะของกษัตริย์ในลัทธิเทวราช และอาจเป็น คูคลองป้องกันเมืองก็ได้ ส่วนการปลูกข้าวยังอาศัยฤดูกาลทางธรรมชาติ ตลอดจนการชลประทานขนาดเล็ก ที่ราษฎรทำเองเรียกว่า ชลประทานราษฎร์
ตัวอย่างดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดต่าง ๆ และแนวความคิดที่คัดค้านกันเป็นวิธีศึกษาทางวิชาการ ที่นักวิชาการพยายามจะหาข้อมูลที่ถูกต้อง หรือใกล้ความจริงมากที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่า สังคมเผ่าพัฒนามาเป็นสังคมรัฐได้อย่างไร
ความเจริญและความเสื่อมของฟูนัน หลักฐานของจีนกล่าวว่า ฟูนันตั้งขึ้นโดยพราหมณ์โกณธิญญะ (Kaundinya) ผู้มีอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมืองและได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนาคี(Nagi) ของแคว้นนี้ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1 ฟูนันอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ เมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ(Vyadhapura) แปลว่า เมืองของกษัตริย์นายพราน (The city of the hunter king) ชื่อของฟูนันเทียบกับภาษาเขมร คือ พนม บนม หรือภูเขา ผู้ปกครองของฟูนัน เรียกว่า กูรุง บนม(Kurung Phnom) และมีเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ คือ เมืองออกเเก้ว มีแม่น้ำสายยาว 200 กิโลเมตร ต่อเชื่อมเมืองท่าออกเเก้วกับเมืองวยาธปุระ เนื่องจากเมืองหลวงตั้งอยู่ส่วนสูงสุดของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ใกล้ภูเขาบาพนม ตรงที่แม่น้ำทะเลสาบไหลมารวมกัน จึงช่วยระบายน้ำในทะเลสาบไปยังพื้นที่ทางทิศตะวันตก ซึ่งช่วยในการเพาะปลูกได้ดี สถานที่ตั้งทางด้านยุทธศาสตร์ของฟูนัน ทำให้สามารถควบคุมช่องแคบเดินเรือที่เชื่อมฝั่งทะเลของอ่าวไทยเข้ากับทะเลอันดามันและเมืองท่าต่าง ๆ ของจีนทางตอนใต้ เห็นได้ชัดว่า ได้ให้ความมั่นคง และอิทธิพลทางการเมืองอย่างสำคัญยิ่ง ทำให้ฟูนันมีอำนาจปกครองเหนือเมืองลังกาสุคะ(Langkasuka มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองปัตตานี) และเมืองตามพรลิงค์ (Tambralinga มีเมืองหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราชหรือไชยา) เมืองทั้งสองตั้งอยู่สองฝั่งเส้นทางเดินเรือค้าขายที่สำคัญ ฟูนันยังมีอำนาจเหนือเจนละ ซึ่งอยู่ตอนเหนือของฟูนัน ฟูนันปกครองเหนือดินแดนในอินโดจีนส่วนใหญ่ถึง 5 ศตวรรษ
การขนส่งภายในฟูนันใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ประชากรอาศัยอยู่ริมฝั่งน้ำ ปลูกบ้านแบบใต้ถุนสูง กีฬาที่โปรดปราน คือ การชนไก่ การชนหมู ภาษีอากรจ่ายเป็นทอง เงิน ไข่มุก น้ำหอม ฟูนัน ได้ติดต่อค้าขายกับตะวันตกด้วย เพราะจากการขุดค้นได้พบรากฐานของอาคารหลายแห่งที่เมืองออกแก้ว ได้พบหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างฟูนันกับตะวันตก เช่น เหรียญโรมันต่าง ๆ มีรูปจักรพรรดิโรมัน แหวนจารึกภาษาอินเดีย สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 2-5 หินสลักรูปต่าง ๆที่ได้แบบมาจากกรีก
ลักษณะวัฒนธรรมที่เมืองออกแก้ว เป็นแบบผสมกันระหว่าง วัฒนธรรมพื้นเมืองและวัฒนธรรมอินเดีย เช่น ประเพณีการบูชาภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าหญิงธิดาพญานาคของชาวฟูนัน ได้สืบทอดต่อมาเป็นธรรมเนียมที่กษัตริย์กัมพูชาทรงปฏิบัติ ส่วนลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นแบบวัฒนธรรมอินเดีย ได้แก่ โบราณสถานของกัมพูชา สมัยก่อนนครวัด นอกจากนั้น มีพระพุทธรูปแบบคุปตะ ภาพปั้นพระวิษณุสวมมาลาทรงกระบอก และภาพปั้นพระหริหระ ล้วนแสดงให้เห็นว่า ปฏิมากรรมชาวฟูนัน ได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมจากอินเดีย สมัยราชวงศ์ปาลวะ และราชวงศ์คุปตะ ทั้งศาสนาพุทธ และ ศาสนาฮินดู มีภาษาสันสกฤตซึ่งเห็นได้จากบันทึกของชาวฟูนันที่บันทึกไว้คราวมีงานเฉลิมฉลองรัชกาลพระเจ้าโกณธิญญะที่ 2 (สวรรคต ค. ศ. 434) และรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ. 478–514) ที่มีประเพณีการจัดงานต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียแล้ว ยังปรากฏคำลงท้ายกษัตริย์ฟูนันว่า “วรมัน” ภาษาสันสกฤต แปลว่า “ผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์” ที่ผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์ของอินเดียนิยมใช้กัน สิ่งเหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียที่มีต่อรัฐฟูนัน
ฟูนันมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ดังนั้น เรื่องราวของฟูนันจึงปรากฏในบันทึกของจีน ที่กล่าวไว้ว่า เมืองต่าง ๆ ในฟูนันมีกำแพงล้อมรอบ มีปราสาทราชวัง และบ้านเรือนราษฎร ชาวฟูนัน มีผิวดำ ผมหยิก เดินเท้าเปล่า ทำการเพาะปลูก ชอบการเกาะสลักเครื่องประดับ การสลักหิน มีตัวอักษรใช้ลักษณะคล้ายกับอักษรของพวก “ฮู้” (อยู่ในเอเชียตอนกลาง ใช้อักษรแบบอินเดีย) มีทาสเชลยศึก มีการค้าทองคำ ค้าเงิน ค้าไหม ทำแหวน สร้อยมือทองคำ ถ้วยชามเงิน การพิจารณาคดีความใช้แบบจารีตนครบาล เช่น ล้วงหยิบ แหวนทองเหลือง หรือไข่ในน้ำเดือด ใช้โซ่ร้อนจัดคล้องมือแล้วเดินไป 7 ก้าว หรือดำน้ำพิสูจน์ เป็นต้น มีแหล่งน้ำใช้ร่วมกัน มีการทดน้ำเพื่อการเพาะปลูก สถาปัตยกรรมเป็นแบบหลังคา เป็นชั้นเล็ก ๆ จำนวนมาก ตกแต่งด้วยช่องเล็กช่องน้อยครอบอยู่
สรุปได้ว่า เรื่องราวของฟูนันได้ทราบจากชาวจีน ชื่อ คังไถ่ ซึ่งเดินทางมากับคณะทูตจีน ประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 3 นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกนำมากล่าวอ้างอิงกันมาก แต่ปัจจุบันได้มีนักวิชาการนำบันทึกของคังไถ่ มาวิเคราะห์กันใหม่ และได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านข้อมูลเกี่ยวกับฟูนัน โดยยกเหตุผลมาสนับสนุนข้อคัดค้านของตน ยังมีอีกหลายประเด็นที่ เคนเนธ อาร์. ฮอลล์ กล่าวไว้ รวมทั้งตำนานเกี่ยวกับการเข้ามาตั้งฟูนัน โดยพราหมณ์โกณธิญญะมาแต่งงานกับเจ้าหญิงนาคี ว่าเป็นเรื่องของการใช้ตำนานเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์น่านิยมยินดีและเพื่อสถานภาพของกษัตริย์ ความเห็นนี้ ตรงกับ มิลตัน ออสบอร์น ที่กล่าวว่า “เรื่องดังกล่าวเป็นตำนานเล่ากันมา เป็นการบิดเบือน เพื่อหวังผลทางปฏิบัติอย่างสูง สำหรับคนระดับที่เป็นผู้ปกครองของรัฐนี้”
ฟูนันรับวัฒนธรรมอินเดียทั้งรูปแบบการปกครอง สังคม วัฒนธรรม อิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย มีอยู่มากในชนระดับสูง ส่วนชาวบ้านทั่วไปยังยึดมั่นในขนบประเพณีสังคมดั้งเดิมของตนอยู่ ฟูนันมีลักษณะเป็นรัฐชลประทาน มีการชลประทานเพื่อปลูกข้าว โดยการขุดคูคลอง ทำนบกักเก็บน้ำ แล้วระบายไปยังไร่นาต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ก็มีเมืองท่าชื่อเมืองออกเเก้ว เป็นแหล่งนำรายได้ผลประโยชน์มาสู่รัฐอีกทางหนึ่ง นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ด้วย ฟูนันยั่งยืนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6
กษัตริย์ของอาณาจักรฟูนัน คือ พราหมณ์โกญทัญญะได้แต่งงานกับหัวหน้าของเผ่าฟูนัน ชื่อโสมนาคี และในลัทธิที่เขานับถือนิยมบูชา งูใหญ่ พราหมณ์โกญทัญญะ ได้นำสร้อยนามของกษัตริย์อินเดียใต้มาใช้ ในยุคฟูนัน เช่น โกญทัญญะวรมัน เป็นต้น
ศาสนาของอาณาจักรฟูนัน ศาสนาที่กษัตริย์และประชาชนยุคนี้นับถือมีทั้ง ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ มีทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน ศิลปวัตถุในยุคนี้ยังหาไม่พบ อาจจะเป็นไปได้ที่รูปพระนารายณ์สวมหมวก อาจจะเป็นศิลปะยุคนี้ ตัวอาณาจักรฟูนัน น่าจะอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ คือ อำเภอศรีเทพปัจจุบัน เพราะจากการขุดค้นได้พบ เทวรูปพระนารายณ์ เข็มหลักเมืองซึ่งมีอักษรสันสกฤตจารึกอยู่ เป็นอักษรแบบราชวงศ์ปัลลวะ ในอินเดียใต้
จดหมายเหตุของจีนในราชวงศ์ซุ้ย ราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงสภาพของฟูหนำว่า ชาวฟูหนำ นับถือพระพุทธศาสนาและพราหมณ์ปนกันไป มีทั้งมหายานและเถรวาท มีการศึกษาพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก จนสามารถส่งสมณทูตไปเมืองจีน เพื่อทำการแปลพระคัมภีร์ ปรากฏว่าในพุทธศตวรรษที่ 10 มีธรรมทูตชาวฟูนัน 2 รูป ชื่อ พระสังฆปาละ และ พระมันทรเสน ได้เดินทางไปสู่นครนานกิง ที่นานกิงรัฐบาลจีนได้ตั้งสถาบันอันหนึ่งสำหรับต้อนรับสมณทูตฟูหนำ โดยเฉพาะท่านสังฆปาละ ได้แปลหนังสือวิมุตติมรรค จากตั้นฉบับบภาษาบาลี ส่วนพระมันทรเสนนั้นได้แปลคัมภีร์เกี่ยวกับลัทธิมนตรยาน หลายเล่ม จากผลงานของคัมภีร์เหล่านี้ ทำให้เราทราบว่า อาณาจักรฟูหนำ มีพระพุทธศาสนาดำรงมั่นคงจนถึงสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศอื่นได้
การสิ้นสุดของอาณาจักรฟูนัน เมื่อพวกเจนละ(ขอมหรือเขมร) เข้ามายึดอำนาจ พวกเจนละนับถือศาสนาพราหมณ์ จึงได้นำศาสนาพราหมณ์มาเผยแพร่ในดินแดนนี้ด้วย
สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้หรือความเสื่อมสลายนี้ มิได้มีหลักฐานแน่ชัด จากพงศาวดารราชวงศ์ถัง ซึ่งคณะทูตชาวจีนที่เดินทางไปยังดินแดนแถบฟูนัน ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 กล่าวเพียงว่า ได้พ่ายแพ้แก่พวกเจนละ กษัตริย์ฟูนันต้องหนีไปทางใต้ ฟูนันเป็นรัฐที่เรืองอำนาจแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถรักษาเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ เป็นที่ระลึกแก่ชนรุ่นหลัง เห็นได้จากเหตุการณ์หลังจากที่รัฐเจนละเข้าครอบครองฟูนันแล้ว กษัตริย์ของเจนละทุกพระองค์ได้รับเอาเรื่องราวของราชวงศ์ฟูนันเป็นของตนด้วย และสมัยต่อมา คือ สมัยนครวัด กษัตริย์ทุกพระองค์ที่นครวัดจะถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์แห่งเมืองวยาธปุระทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่า รัฐฟูนันน่าจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยแพร่ขยายอารยธรรมอินเดียในอินโดจีน และเป็นรัฐที่เป็นรากฐานของประเทศกัมพูชา
ยุคทวาราวดี (ศตวรรษที่ 11–16)
นามทวาราวดี
นามของกรุงศรีอยุธยา(กรุงเก่า-หนองโสน) นั้น สืบเนื่องมาจากนามของกรุงทวาราวดีโบราณ สมัย พ.ศ. 1050–1181 นี้ นามพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ของกษัตริย์องค์ปฐมบรมวงศ์ของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ตั้งขึ้นตามนามของพระราม ผู้ตั้งกรุงโบราณนั้น
คนไทยโบราณใช้คำนี้ในภาษาไทยว่า ทวาราวดี มีสระ อา เราเห็นได้ชัดจากการบันทึกของคนจีนที่เป็นพ่อค้า เรียกนามนี้ว่า ตว้อ เหอ หลอ คือคำ ทะวา หะ หรา ส่วนพระภิกษุจีนรู้ภาษาสันสกฤตดี ได้บันทึกว่า โต โล โป ติ คือ ทวา ระ ปะ ติ นามทั้งสองนี้มีบันทึกอยู่ในภาษาจีนมากมาย
ตำนานไทยไม่ค่อยมีที่เรียกนามนครนี้ว่า ทวาราวดี แต่เรียกว่า เมืองราม รัมมนคร รัมมประเทศ และบางตำนานเรียก อโยฌชปุระ คนจีนที่บันทึกไว้ตามชื่อนี้ บันทึกว่า ฟู เย ชิ เหยา ฟู ตรงกับ ปุระ , เยชิเหยา คือ โย ฌิ หยา.
กรุงทวาราวดีในตำนานไทย
ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ เรื่องพระสิขีปฏิมา เล่าเรื่อง ความรุ่งเรืองของเมืองรามว่า พระราชาธิราชแห่งนครราม ได้ให้ช่างทำพระพุทธรูปด้วยศิลาดำขึ้น 5 องค์ ได้แจกให้เมืองลูกหลาน คือเมืองมหานคร 1 องค์ , เมืองลวปุระ 1 องค์ , เมืองสุธรรม 1 องค์ , ไว้ในเมืองราม 2 องค์ .
แสดงว่าในสมัยรุ่งเรือง นครรามนี้เป็นประมุขแห่งไศเลนทรวงศ์ ส่งลูกหลานไปครองบ้านเมืองหลายแห่ง ตรงกับที่จีนจดว่า ประเทศตว้อเหอหลอ ทางใต้จดพันพาน , เหนือจดเจียหลอเซอฝอ , ตะวันออกจดเจนละ, ตะวันตกติดทะเลใหญ่ คือมหาสมุทรอินเดีย เมืองมอญ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวาราวดี ยังคงเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นเมืองขึ้น หรืออาจเป็นเมืองของบุตรเขยของกรุงทวาราวดี พอพระรามองศ์ปฐมวงศ์สวรรคตแล้ว เมืองมอญ (จีนเรียก ลังกาสุกะ) ก็รุ่งเรืองขึ้นทัดเทียมกับกรุงทวาราวดี ต่อมาได้ยกมาปราบทวาราวดีได้ และประกาศตนเป็นพระเจ้าราชาธิราช ไม่ยอมใช้มหาศักราชของไศเลนทรวงศ์ แต่ได้ตั้งจุลศักราชขึ้นใช้ เมื่อ พ. ศ. 1182.
พงศาวดารเหนือเล่าความว่า กรุงกษัตริย์เมืองตักกสิลามหานคร ทรงพระนามว่า พระยาสักรดำมหาราชาธิราช ได้ให้ตั้งจุลศักราชขึ้นไว้เมื่อ พ. ศ. 1182 พระองค์ได้ตั้งจุลศักราชแล้ว พระองค์สวรรคตในปีนั้น เสวยราชสมบัติ 72 ปี จุลศักราช ได้ศก 1 จุลศักราช 10 ปีระกา สัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากพัตร ได้เสวยราชสมบัติเมืองตักกศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลาย ยกพลลงไปสร้างเมืองละโว้ พระยากาฬวรรณดิศราชก็ถอยลงมาเมืองสวางคบุรี ที่บรรจุพระรากขวัญของพระพุทธเจ้าไว้แต่ก่อนนั้นแล้ว พระยากาฬวรรณดิศราชจึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาว่าจะบรรจุไว้ในเมืองละโว้ จึงพระบรมธาตุของพระพุทเจ้ามาทำพระอริยปาฏิหาริย์ ลอยกลับขึ้นไปเหนือน้ำ ถึงเมืองสวางคบุรี แล้วก็อาราธนามา แล้วกลับขึ้นไป ถึง เจ็ดครั้ง พระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ไม่อยู่ได้ในเมืองละโว้ จุลศักได้ 17 ปีมะโรง พระยากาฬวรรณดิศราช จึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุนั้น ลงมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์เมืองละโว้ สิ้นสองปี พระองค์สวรรคต
ตำนานทางเหนือเล่าว่า พระยาอนุรุธธรรมราช เป็นใหญ่ในเมืองมลราช และบรรดาเมืองใหญ่ในชมพูทวีป ได้ทำพิธีลบศักราช ให้เริ่มใช้จุลศักราช นับ 1 เมื่อ พ. ศ. 1182 มีพระยาต่าง ๆ มาร่วมในพิธีมาก(998 เมือง มีแต่เมืองหริภุญชัยกับเมืองสุโขทัยเท่านั้นมิได้มา)
ดินแดนของอาณาจักรทวาราวดี จากหลักฐานจดหมายเหตุของพระสมณะเฮี้ยงจัง(ถังซัมจั๋ง)ในพุทธศตวรรษที่ 12 บันทึกไว้ว่า ถัดไปทางทิศตะวันออกของอินเดียทางมณฑลอัสสัม มีภูเขาใหญ่สีดำเทียมเมฆ ถัดภูเขาไปมีอาณาจักรชื่อสิกหลีสักตอล้อ คือ ศรีเกษตรหรือ พม่า ถัดจากอาณาจักรนี้ออกไป มีอาณาจักรชื่อ “ตุยล้อกัวตี่” ซึ่งเซเดส์ สันนิษฐานว่า ตรงกับคำว่า ทวาราวดี ต่อมาภายหลังได้พบหลักฐาน อันเป็นจารึกของกัมพูชา หลักหนึ่งออกชื่อเมืองทวารกะเดย จึงทำให้มั่นใจว่า อาณาจักรทวาราวดีเป็นมหาอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างประเทศพม่ากับประเทศเขมร อาณาจักรขยายออกไปทางภาคเหนือคือ ลำพูน(หริภุญไชย) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด และขยายไปทางภาคใต้ถึง สุราษฎร์ธานี
ชนชาติและกษัตริย์ของอาณาจักรทวาราวดี คือพวกมอญโบราณ จากการค้นพบจารึกภาษามอญโบราณที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขง พระนางจามเทวีธิดากษัตริย์มอญ เป็นผู้ปกครองเมืองหริภุญไชย
นามทวาราวดี
นามของกรุงศรีอยุธยา(กรุงเก่า-หนองโสน) นั้น สืบเนื่องมาจากนามของกรุงทวาราวดีโบราณ สมัย พ.ศ. 1050–1181 นี้ นามพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ของกษัตริย์องค์ปฐมบรมวงศ์ของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ตั้งขึ้นตามนามของพระราม ผู้ตั้งกรุงโบราณนั้น
คนไทยโบราณใช้คำนี้ในภาษาไทยว่า ทวาราวดี มีสระ อา เราเห็นได้ชัดจากการบันทึกของคนจีนที่เป็นพ่อค้า เรียกนามนี้ว่า ตว้อ เหอ หลอ คือคำ ทะวา หะ หรา ส่วนพระภิกษุจีนรู้ภาษาสันสกฤตดี ได้บันทึกว่า โต โล โป ติ คือ ทวา ระ ปะ ติ นามทั้งสองนี้มีบันทึกอยู่ในภาษาจีนมากมาย
ตำนานไทยไม่ค่อยมีที่เรียกนามนครนี้ว่า ทวาราวดี แต่เรียกว่า เมืองราม รัมมนคร รัมมประเทศ และบางตำนานเรียก อโยฌชปุระ คนจีนที่บันทึกไว้ตามชื่อนี้ บันทึกว่า ฟู เย ชิ เหยา ฟู ตรงกับ ปุระ , เยชิเหยา คือ โย ฌิ หยา.
กรุงทวาราวดีในตำนานไทย
ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ เรื่องพระสิขีปฏิมา เล่าเรื่อง ความรุ่งเรืองของเมืองรามว่า พระราชาธิราชแห่งนครราม ได้ให้ช่างทำพระพุทธรูปด้วยศิลาดำขึ้น 5 องค์ ได้แจกให้เมืองลูกหลาน คือเมืองมหานคร 1 องค์ , เมืองลวปุระ 1 องค์ , เมืองสุธรรม 1 องค์ , ไว้ในเมืองราม 2 องค์ .
แสดงว่าในสมัยรุ่งเรือง นครรามนี้เป็นประมุขแห่งไศเลนทรวงศ์ ส่งลูกหลานไปครองบ้านเมืองหลายแห่ง ตรงกับที่จีนจดว่า ประเทศตว้อเหอหลอ ทางใต้จดพันพาน , เหนือจดเจียหลอเซอฝอ , ตะวันออกจดเจนละ, ตะวันตกติดทะเลใหญ่ คือมหาสมุทรอินเดีย เมืองมอญ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวาราวดี ยังคงเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นเมืองขึ้น หรืออาจเป็นเมืองของบุตรเขยของกรุงทวาราวดี พอพระรามองศ์ปฐมวงศ์สวรรคตแล้ว เมืองมอญ (จีนเรียก ลังกาสุกะ) ก็รุ่งเรืองขึ้นทัดเทียมกับกรุงทวาราวดี ต่อมาได้ยกมาปราบทวาราวดีได้ และประกาศตนเป็นพระเจ้าราชาธิราช ไม่ยอมใช้มหาศักราชของไศเลนทรวงศ์ แต่ได้ตั้งจุลศักราชขึ้นใช้ เมื่อ พ. ศ. 1182.
พงศาวดารเหนือเล่าความว่า กรุงกษัตริย์เมืองตักกสิลามหานคร ทรงพระนามว่า พระยาสักรดำมหาราชาธิราช ได้ให้ตั้งจุลศักราชขึ้นไว้เมื่อ พ. ศ. 1182 พระองค์ได้ตั้งจุลศักราชแล้ว พระองค์สวรรคตในปีนั้น เสวยราชสมบัติ 72 ปี จุลศักราช ได้ศก 1 จุลศักราช 10 ปีระกา สัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากพัตร ได้เสวยราชสมบัติเมืองตักกศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลาย ยกพลลงไปสร้างเมืองละโว้ พระยากาฬวรรณดิศราชก็ถอยลงมาเมืองสวางคบุรี ที่บรรจุพระรากขวัญของพระพุทธเจ้าไว้แต่ก่อนนั้นแล้ว พระยากาฬวรรณดิศราชจึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาว่าจะบรรจุไว้ในเมืองละโว้ จึงพระบรมธาตุของพระพุทเจ้ามาทำพระอริยปาฏิหาริย์ ลอยกลับขึ้นไปเหนือน้ำ ถึงเมืองสวางคบุรี แล้วก็อาราธนามา แล้วกลับขึ้นไป ถึง เจ็ดครั้ง พระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ไม่อยู่ได้ในเมืองละโว้ จุลศักได้ 17 ปีมะโรง พระยากาฬวรรณดิศราช จึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุนั้น ลงมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์เมืองละโว้ สิ้นสองปี พระองค์สวรรคต
ตำนานทางเหนือเล่าว่า พระยาอนุรุธธรรมราช เป็นใหญ่ในเมืองมลราช และบรรดาเมืองใหญ่ในชมพูทวีป ได้ทำพิธีลบศักราช ให้เริ่มใช้จุลศักราช นับ 1 เมื่อ พ. ศ. 1182 มีพระยาต่าง ๆ มาร่วมในพิธีมาก(998 เมือง มีแต่เมืองหริภุญชัยกับเมืองสุโขทัยเท่านั้นมิได้มา)
ดินแดนของอาณาจักรทวาราวดี จากหลักฐานจดหมายเหตุของพระสมณะเฮี้ยงจัง(ถังซัมจั๋ง)ในพุทธศตวรรษที่ 12 บันทึกไว้ว่า ถัดไปทางทิศตะวันออกของอินเดียทางมณฑลอัสสัม มีภูเขาใหญ่สีดำเทียมเมฆ ถัดภูเขาไปมีอาณาจักรชื่อสิกหลีสักตอล้อ คือ ศรีเกษตรหรือ พม่า ถัดจากอาณาจักรนี้ออกไป มีอาณาจักรชื่อ “ตุยล้อกัวตี่” ซึ่งเซเดส์ สันนิษฐานว่า ตรงกับคำว่า ทวาราวดี ต่อมาภายหลังได้พบหลักฐาน อันเป็นจารึกของกัมพูชา หลักหนึ่งออกชื่อเมืองทวารกะเดย จึงทำให้มั่นใจว่า อาณาจักรทวาราวดีเป็นมหาอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างประเทศพม่ากับประเทศเขมร อาณาจักรขยายออกไปทางภาคเหนือคือ ลำพูน(หริภุญไชย) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด และขยายไปทางภาคใต้ถึง สุราษฎร์ธานี
ชนชาติและกษัตริย์ของอาณาจักรทวาราวดี คือพวกมอญโบราณ จากการค้นพบจารึกภาษามอญโบราณที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขง พระนางจามเทวีธิดากษัตริย์มอญ เป็นผู้ปกครองเมืองหริภุญไชย
กษัตริย์เทียบเท่าพระโพธิสัตว์
คติเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์แพร่หลายในรัฐทวาราวดีและอาณาบริเวณที่สัมพันธ์กับศิลปวัฒนธรรมทวาราวดี คติโพธิสัตว์ที่แพร่ไปมีทั้งแบบเถรวาทและมหายาน รู้จักกันมากที่สุดคือ พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งจารึกทวาราวดีหลายหลักจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าวถึง บรรดาจารึกเหล่านั้นใช้ถ้อยคำภาษามอญ บางคำสัมพันธ์กับจารึกภาษามอญเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฉพาะอย่างยิ่งจารึกภาษามอญจากลพบุรี เงื่อนงำเช่นนี้มีนัยให้เห็นความแพร่หลายของคติในหมู่คนที่ใช้ภาษามอญ
พระโพธสัตว์ในพระพุทธศาสนามหายานมีสองแบบ แบบหนึ่งคือพระฌานิหรือพระธยานิโพธิสัตว์ ทรงเกิดในโลกมนุษย์ และอยู่บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสัตว์ แม้เมื่อบรรลุพุทธภูมิแล้ว ที่รู้จักกันดีคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระมัญชูศรี พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ด้วยประกอบการบุญ สร้างบารมี เจริญทาน ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยคนและสัตว์ให้พ้นทุกข์บำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติ โดยมุ่งหวังพระโพธิญาณขั้นสุดท้าย
พระโพธิสัตว์ในคติของเถรวาทแตกต่างกัน คือเป็นอดีตชาติของพระพุทธองค์ ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ต้องตั้งอยู่ในบารมี 10 เรียกว่า ทศบารมีอันเป็นบารมีขั้นต่ำสุด พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติสำคัญ 10 ชาติ เรียกทศชาติ ชาติสุดท้ายยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นมหาชาติ ได้แก่ตอนเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร
แบบแผนที่ทำบุญทำทานเพื่อสร้างบารมีประดุจพระโพธิสัตว์ปรากฏในหมู่ชนผู้ใช้ภาษาสันสกฤตก่อนแล้วจึงแพร่ออกไป จารึกซับจำปาซับจำปา 2 (ภาษาสันสกฤต)ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 แม้เนื้อความขาดตอนแต่ก็เข้าใจได้ดีถึงลักษณะ หรือแบบแผนบางอย่างเกี่ยวกับกษัตริย์ “ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้นำ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมคือ ทาน และความกรุณา” ลักษณะดังกล่าวมิได้ห่างไกลกันนักกับพระราชาแห่งศรีทวาราวดีผู้ประกอบการบุญคือผู้ที่จะเป็นพระศรีอริยเมตไตรยอันเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายเถรวาท ปรากฏหลักฐานอยู่ในหมู่พวกที่ใช้ภาษามอญ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำเจ้าพระยา
จะเห็นได้ว่าคติเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์มีอยู่ในรัฐทวาราวดี และดินแดนซึ่งอยู่ในรัศมีของศิลปวัฒนธรรมทวาราวดี คตินี้ได้กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ให้มีฐานะเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ เพราะว่าพระโพธิสัตว์คือ ผู้ที่เกิดมาเพื่อสร้างบุญญาบารมี บารมีนั้นได้กลายเป็นลักษณะเฉพาะขององค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จึงมีฐานะเทียบเท่าพระโพธิสัตว์
พุทธศิลป์ของอาณาจักรทวาราวดี พระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวาราวดีเป็นนิกายเถรวาท ซึ่งมีความสัมพันธ์กันกับทางอินเดีย พุทธศิลป์ในยุคนี้มีมากมาย นับตั้งแต่วัตถุชิ้นมหึมาลงมาจนถึงวัตถุชิ้นเล็ก ๆ เช่น พระพิมพ์บริเวณเมืองอู่ทองเก่า นครปฐม นครชัยศรี ราชบุรี เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิ์ และเราได้ค้นพบพระพุทธรูปเสมาธรรมจักร ทำด้วยศิลาในเมืองกนกนคร ทางภาคอีสาน ส่วนทางภาคพายัพมีสถูปที่วัดกู่กุดลำพูน สำหรับภาคใต้อาณาจักรทาวาราวดีแผ่ไปถึง ครหิหรือ อ. ไชยา ปัจจุบัน และตอนบนของแหลมมลายู วัตถุที่สำคัญส่วนมากอยู่ในท้องที่ จังหวัดนครปฐม นครชัยศรี ทวาราวดีจึงน่าจะสืบต่อมาจากอาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นอาณาจักรที่รับพระพุทธศาสนาแห่งแรกในบริเวณนี้ อาณาจักรสุวรรณภูมินี้ กินอาณาเขตจากปากน้ำอิรวดีลงมาถึงอ่าวไทย
จากการสร้างทางรถไฟสายใต้ ทำให้การรถไฟได้พบพระสถูปเป็นจำนวนมาก แต่ถูกทำลายไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กว่ารัฐบาลไทยจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ 2-3 แห่ง จากการขุดค้นที่เหล่านั้น ทำให้พบว่า ศิลปะทวาราวดียังคงเหลืออยู่ คือ พระสถูป พระพุทธรูป องค์แรกคือ พระปฐมเจดีย์ องค์ข้างในพระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของพระสถูปเหล่านั้นมีส่วนคล้ายกับพระสถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ เป็นทรงโอคว่ำ เบื้องบนมีบัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาสมัยขอมได้สร้างพระปรางค์ขึ้นบนบัลลังก์ สำหรับพระปรางค์ที่พระประโทนเข้าใจว่า จะเป็นสมัยอยุธยา ซากสถูปที่วัดพระเมรุ ดัดแปลงพิศดารขึ้น คือ ทำเป็นมุข 4 มุข แต่ละมุขตั้งพระพุทธรูปศิลานั่งห้อยพระบาท พระสถูปวัดพระเมรุนี้ไปตรงกับอานันทเจดีย์ของพม่าของพุกาม พระปฐมเจดีย์และพระประโทน เข้าใจว่า สร้างสมัยสุวรรณภูมิ แต่ที่วัดพระเมรุสร้างสมัยทวาราวดี สมัยทวาราวดีรับแบบพุทธศิลปสิงห์มาจากราชวงศ์คุปตะของอินเดีย จีวรไม่นิยมทำเป็นริ้ว แต่ทำเป็นแนบพระวรกาย เพื่อเเสดงองคาพยพ
ศิลาที่นำมาสร้างพระพุทธรูปในสมัยนี้ โดยมากเป็นศิลาและดินเผา เรามีพระพุทธรูปศิลาห้อยพระบาทขนาดใหญ่กว่าคน เป็นจำนวนถึง 4 องค์ องค์หนึ่งอยู่ที่นครปฐม อีก 3 องค์อยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เรามีพระพุทธรูปใหญ่กว่า คน ปางพระวรมุทระ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีเสมาธรรมจักรและพระพิมพ์ดินเผาอีกจำนวนมหึมา แม้พระป่าเลไลย์ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า มีองค์หนึ้งอยู่ข้างใน ก็เป็นพระพุทธรูปวาราวดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงผนวชเป็นภิกษุอยู่ เสด็จธุดงค์มาที่นี่เนือง ๆ ได้ทรงพบแผ่นศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีเขียนด้วยอักษรคฤนถ์ คือจารึก คาถา เย ธมฺมา ที่ถ้ำเขางู จังหวัดราชบุรี มีภาพบนผนังถ้ำเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท สมัยทวาราวดี และมีคำจารึกด้วยภาษาสันสกฤต กล่าวถึงฤๅษีสมาธิคุปตะ ผู้เป็นเจ้าของถ้ำ สรุปว่าในยุคนี้มีพุทธศิลป์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน แต่เถรวาทน่าจะรุ่งเรืองกว่า
ในศตวรรษที่ 12 เจ้าหญิงแห่งทวาราวดีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า จามเทวี ได้เสด็จไปครองเมืองหริภุญไชย พระนางทรงนิมนต์พระสงฆ์ 500 รูปไปอยู่ที่เมืองหริภุญไชย และนำเอาศิลปินแขนงต่าง ๆ ไปด้วย เป็นการแผ่อารยธรรมทางเมืองทวาราวดีในลุ่มแม่น้ำปิง ได้ทรงสร้างวัดจำนวนมาก เช่น วัดอาภัยทาราม วัดบุพพาราม วัดพระคง วัดพระรอด วัดพระลี้รอด เป็นต้น เชื่อกันว่า พระเครื่องตระกูลลำพูนที่เรียกกันว่า พระรอด สร้างขึ้นในสมัยนี้ จักรวรรดิ์ทวาราวดีดำรงอยู่จนถึงพุทธศตวรรษที่ 15
คติเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์แพร่หลายในรัฐทวาราวดีและอาณาบริเวณที่สัมพันธ์กับศิลปวัฒนธรรมทวาราวดี คติโพธิสัตว์ที่แพร่ไปมีทั้งแบบเถรวาทและมหายาน รู้จักกันมากที่สุดคือ พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งจารึกทวาราวดีหลายหลักจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าวถึง บรรดาจารึกเหล่านั้นใช้ถ้อยคำภาษามอญ บางคำสัมพันธ์กับจารึกภาษามอญเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฉพาะอย่างยิ่งจารึกภาษามอญจากลพบุรี เงื่อนงำเช่นนี้มีนัยให้เห็นความแพร่หลายของคติในหมู่คนที่ใช้ภาษามอญ
พระโพธสัตว์ในพระพุทธศาสนามหายานมีสองแบบ แบบหนึ่งคือพระฌานิหรือพระธยานิโพธิสัตว์ ทรงเกิดในโลกมนุษย์ และอยู่บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสัตว์ แม้เมื่อบรรลุพุทธภูมิแล้ว ที่รู้จักกันดีคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระมัญชูศรี พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ด้วยประกอบการบุญ สร้างบารมี เจริญทาน ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยคนและสัตว์ให้พ้นทุกข์บำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติ โดยมุ่งหวังพระโพธิญาณขั้นสุดท้าย
พระโพธิสัตว์ในคติของเถรวาทแตกต่างกัน คือเป็นอดีตชาติของพระพุทธองค์ ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ต้องตั้งอยู่ในบารมี 10 เรียกว่า ทศบารมีอันเป็นบารมีขั้นต่ำสุด พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติสำคัญ 10 ชาติ เรียกทศชาติ ชาติสุดท้ายยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นมหาชาติ ได้แก่ตอนเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร
แบบแผนที่ทำบุญทำทานเพื่อสร้างบารมีประดุจพระโพธิสัตว์ปรากฏในหมู่ชนผู้ใช้ภาษาสันสกฤตก่อนแล้วจึงแพร่ออกไป จารึกซับจำปาซับจำปา 2 (ภาษาสันสกฤต)ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 แม้เนื้อความขาดตอนแต่ก็เข้าใจได้ดีถึงลักษณะ หรือแบบแผนบางอย่างเกี่ยวกับกษัตริย์ “ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้นำ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมคือ ทาน และความกรุณา” ลักษณะดังกล่าวมิได้ห่างไกลกันนักกับพระราชาแห่งศรีทวาราวดีผู้ประกอบการบุญคือผู้ที่จะเป็นพระศรีอริยเมตไตรยอันเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายเถรวาท ปรากฏหลักฐานอยู่ในหมู่พวกที่ใช้ภาษามอญ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำเจ้าพระยา
จะเห็นได้ว่าคติเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์มีอยู่ในรัฐทวาราวดี และดินแดนซึ่งอยู่ในรัศมีของศิลปวัฒนธรรมทวาราวดี คตินี้ได้กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ให้มีฐานะเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ เพราะว่าพระโพธิสัตว์คือ ผู้ที่เกิดมาเพื่อสร้างบุญญาบารมี บารมีนั้นได้กลายเป็นลักษณะเฉพาะขององค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จึงมีฐานะเทียบเท่าพระโพธิสัตว์
พุทธศิลป์ของอาณาจักรทวาราวดี พระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวาราวดีเป็นนิกายเถรวาท ซึ่งมีความสัมพันธ์กันกับทางอินเดีย พุทธศิลป์ในยุคนี้มีมากมาย นับตั้งแต่วัตถุชิ้นมหึมาลงมาจนถึงวัตถุชิ้นเล็ก ๆ เช่น พระพิมพ์บริเวณเมืองอู่ทองเก่า นครปฐม นครชัยศรี ราชบุรี เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิ์ และเราได้ค้นพบพระพุทธรูปเสมาธรรมจักร ทำด้วยศิลาในเมืองกนกนคร ทางภาคอีสาน ส่วนทางภาคพายัพมีสถูปที่วัดกู่กุดลำพูน สำหรับภาคใต้อาณาจักรทาวาราวดีแผ่ไปถึง ครหิหรือ อ. ไชยา ปัจจุบัน และตอนบนของแหลมมลายู วัตถุที่สำคัญส่วนมากอยู่ในท้องที่ จังหวัดนครปฐม นครชัยศรี ทวาราวดีจึงน่าจะสืบต่อมาจากอาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นอาณาจักรที่รับพระพุทธศาสนาแห่งแรกในบริเวณนี้ อาณาจักรสุวรรณภูมินี้ กินอาณาเขตจากปากน้ำอิรวดีลงมาถึงอ่าวไทย
จากการสร้างทางรถไฟสายใต้ ทำให้การรถไฟได้พบพระสถูปเป็นจำนวนมาก แต่ถูกทำลายไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กว่ารัฐบาลไทยจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ 2-3 แห่ง จากการขุดค้นที่เหล่านั้น ทำให้พบว่า ศิลปะทวาราวดียังคงเหลืออยู่ คือ พระสถูป พระพุทธรูป องค์แรกคือ พระปฐมเจดีย์ องค์ข้างในพระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของพระสถูปเหล่านั้นมีส่วนคล้ายกับพระสถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ เป็นทรงโอคว่ำ เบื้องบนมีบัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาสมัยขอมได้สร้างพระปรางค์ขึ้นบนบัลลังก์ สำหรับพระปรางค์ที่พระประโทนเข้าใจว่า จะเป็นสมัยอยุธยา ซากสถูปที่วัดพระเมรุ ดัดแปลงพิศดารขึ้น คือ ทำเป็นมุข 4 มุข แต่ละมุขตั้งพระพุทธรูปศิลานั่งห้อยพระบาท พระสถูปวัดพระเมรุนี้ไปตรงกับอานันทเจดีย์ของพม่าของพุกาม พระปฐมเจดีย์และพระประโทน เข้าใจว่า สร้างสมัยสุวรรณภูมิ แต่ที่วัดพระเมรุสร้างสมัยทวาราวดี สมัยทวาราวดีรับแบบพุทธศิลปสิงห์มาจากราชวงศ์คุปตะของอินเดีย จีวรไม่นิยมทำเป็นริ้ว แต่ทำเป็นแนบพระวรกาย เพื่อเเสดงองคาพยพ
ศิลาที่นำมาสร้างพระพุทธรูปในสมัยนี้ โดยมากเป็นศิลาและดินเผา เรามีพระพุทธรูปศิลาห้อยพระบาทขนาดใหญ่กว่าคน เป็นจำนวนถึง 4 องค์ องค์หนึ่งอยู่ที่นครปฐม อีก 3 องค์อยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เรามีพระพุทธรูปใหญ่กว่า คน ปางพระวรมุทระ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีเสมาธรรมจักรและพระพิมพ์ดินเผาอีกจำนวนมหึมา แม้พระป่าเลไลย์ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า มีองค์หนึ้งอยู่ข้างใน ก็เป็นพระพุทธรูปวาราวดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงผนวชเป็นภิกษุอยู่ เสด็จธุดงค์มาที่นี่เนือง ๆ ได้ทรงพบแผ่นศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีเขียนด้วยอักษรคฤนถ์ คือจารึก คาถา เย ธมฺมา ที่ถ้ำเขางู จังหวัดราชบุรี มีภาพบนผนังถ้ำเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท สมัยทวาราวดี และมีคำจารึกด้วยภาษาสันสกฤต กล่าวถึงฤๅษีสมาธิคุปตะ ผู้เป็นเจ้าของถ้ำ สรุปว่าในยุคนี้มีพุทธศิลป์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน แต่เถรวาทน่าจะรุ่งเรืองกว่า
ในศตวรรษที่ 12 เจ้าหญิงแห่งทวาราวดีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า จามเทวี ได้เสด็จไปครองเมืองหริภุญไชย พระนางทรงนิมนต์พระสงฆ์ 500 รูปไปอยู่ที่เมืองหริภุญไชย และนำเอาศิลปินแขนงต่าง ๆ ไปด้วย เป็นการแผ่อารยธรรมทางเมืองทวาราวดีในลุ่มแม่น้ำปิง ได้ทรงสร้างวัดจำนวนมาก เช่น วัดอาภัยทาราม วัดบุพพาราม วัดพระคง วัดพระรอด วัดพระลี้รอด เป็นต้น เชื่อกันว่า พระเครื่องตระกูลลำพูนที่เรียกกันว่า พระรอด สร้างขึ้นในสมัยนี้ จักรวรรดิ์ทวาราวดีดำรงอยู่จนถึงพุทธศตวรรษที่ 15
ยุคศรีวิชัย (ศตวรรษที่ 12–18)
ดินแดนของอาณาจักรศรีวิชัย มีบริเวณกว้างขวางคือขยายไปถึงเกาะสุมาตรา จนถึงเเหลมมลายู เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ชื่อ ปาเลมบัง (พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภุกขุ ได้ให้ความเห็นว่า เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยน่าจะอยู่ที่เมืองไชยา)
กษัตริย์ของอาณาจักรศรีวิชัย สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ไศเลนทร์ (ศิล+อินทร์) นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่เรียกว่า “มันตรยาน” เช่นเดียวกับราชวงศ์ปาละของอินเดีย
ประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัย ประเทศราชหมายถึง เมืองหลวงเมืองที่สอง ประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัย คือ นครตามพรลิงค์ ที่รู้จักและเรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า นครศรีธรรมราช เป็นเมืองที่เกิดในศตวรรษที่ 12
พุทธศิลป์ของอาณาจักรศรีวิชัย เห็นได้อย่างเด่นชัดคือที่เกาะชวา (ประเทศอินโดนีเซีย) คือ พระบุโรบุโด(ปุโรพุทโธ) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อ. ไชยา ก็มีพระบรมธาตุที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พระธาตุไชยา และ พระอวโลกิเตศวร , พระพิมพ์ต่าง ๆ ทั้งเป็นรูปของพระอวโลกิเตศวรและพระพุทธรูปตามคติของฝ่ายนิกายมหายาน มีการค้นพบเพิ่มเติมอีก คือ
1. ที่จังหวัดตรัง คือที่ถ้ำเขาวิหาร
2. จังหวัดพัทลุง ที่ถ้ำคูหาสวรรค์
3. จังหวัดยะลา ที่ถ้ำเขาตระเภา
ดินแดนของอาณาจักรศรีวิชัย มีบริเวณกว้างขวางคือขยายไปถึงเกาะสุมาตรา จนถึงเเหลมมลายู เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ชื่อ ปาเลมบัง (พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภุกขุ ได้ให้ความเห็นว่า เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยน่าจะอยู่ที่เมืองไชยา)
กษัตริย์ของอาณาจักรศรีวิชัย สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ไศเลนทร์ (ศิล+อินทร์) นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่เรียกว่า “มันตรยาน” เช่นเดียวกับราชวงศ์ปาละของอินเดีย
ประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัย ประเทศราชหมายถึง เมืองหลวงเมืองที่สอง ประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัย คือ นครตามพรลิงค์ ที่รู้จักและเรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า นครศรีธรรมราช เป็นเมืองที่เกิดในศตวรรษที่ 12
พุทธศิลป์ของอาณาจักรศรีวิชัย เห็นได้อย่างเด่นชัดคือที่เกาะชวา (ประเทศอินโดนีเซีย) คือ พระบุโรบุโด(ปุโรพุทโธ) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อ. ไชยา ก็มีพระบรมธาตุที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พระธาตุไชยา และ พระอวโลกิเตศวร , พระพิมพ์ต่าง ๆ ทั้งเป็นรูปของพระอวโลกิเตศวรและพระพุทธรูปตามคติของฝ่ายนิกายมหายาน มีการค้นพบเพิ่มเติมอีก คือ
1. ที่จังหวัดตรัง คือที่ถ้ำเขาวิหาร
2. จังหวัดพัทลุง ที่ถ้ำคูหาสวรรค์
3. จังหวัดยะลา ที่ถ้ำเขาตระเภา
ยุคลพบุรี (ศตวรรษที่ 15–18)
ดินแดนอาณาจักรลพบุรี คำว่า “ลพบุรี” มาจากศัพท์ว่า ลวะปุระ เป็น ละโว้ปุระ เป็น ลพบุรี ตามลำดับแห่งการเพี้ยนมาตามยุคสมัย อยู่ที่บริเวณจังหวัดลพบุรีปัจจุบันและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในปัจจุบันด้วย และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลือมาถึงปัจจุบันนั้นคือ ทะเลชุบศร ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก เรื่องรามยณะ(รามเกียรติ์)
ศิลปกรรมอาณาจักรลพบุรี มีลักษณะศิลปะคล้ายกับของเขมรและของทวาราวดี เช่น ศิลปะนครวัต เป็นต้น ปรากฏอยู่มากมาย เช่น ปราสาท, พระปรางค์ ฯลฯ เป็นต้น ส่วนมากในยุคนี้จะก่อสร้างด้วย อิฐ เก่าแก่ที่สุด รองลงมาคือ ศิลาแลง และรองมาอีกคือ หิน ที่ปรากฏหลักฐาน ก็มีที่ ปราสาทหินพิมาย , ปราสาทเขาพนมรุ้ง, พระปรางค์ 3 ยอด ลพบุรี, ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมที่สร้างได้อัศจรรย์มาก เพราะ สร้างโดยไม่มีโครงเหล็กและปูนโบก จากการสันนิษฐาน ในยุคนั้นน่าจะใช้ยางไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ยางบงมา” เพราะเป็นยางที่เหนียวมาก
สถาปัตยกรรมสมัยอาณาจักรลพบุรี ได้แก่ ปราสาทศิลาหรืออิฐ สร้างเป็นศาสนสถานและเทวาลัย ได้รับคติการสร้างปราสาทมาจาก ขอม เช่น พระปรางค์สามยอดเมืองลพบุรี วัดกำแพงแลง จ. ราชบุรี มีกำแพงเป็นพระพุทธรูป ที่กาญจนบุรีพบปราสาทแบบขอม ที่เมืองสุโขทัย มีปราสาทที่วัดพระพายหลวง เป็นต้น
ประติมากรรม สมัยลพบุรีชอบสร้างพระพุทธรูปนาคปรก และมักจะสร้างสลักด้วยศิลาทราย ถ้าหล่อด้วยสำริดจะเป็นพระพุทธรูปขนาดเล็ก มีลักษณะเฉพาะคือ สร้างเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวหรือหลายองค์อยู่บนฐานเดียวกัน พระพิมพ์จะสร้างด้วยดินเผาและโลหะมีลักษณะเด่นพิเศษคือ พระพิมพ์สมัยนี้มักมีรูปปรางค์ประกอบด้วยเสมอ
พุทธศิลป์อาณาจักรลพบุรี ลักษณะพระพุทธรูปแบบลพบุรีบางแบบ มีลักษณะเป็นของตนเอง เช่น พระพุทธรูปรุ่นพระพักตร์แบบรูปไข่ และทรวดทรงอันงาม รวมทั้งความอ่อนหวานของเส้นที่ส่งผลให้แก่ศิลปะสุโขทัยและอยุธยาต่อมาด้วย
อาณาจักรลพบุรี นับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธปนกันไป ศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่นับถือลัทธิศิวเวท ส่วนพระพุทธศาสนานั้นนับถือลัทธิมหายาน จะพบว่าร่องรอยเกี่ยวกับโบราณสถานของขอมในยุคนี้ เกี่ยวกับลัทธิมหายานทั้งนั้น เช่น พระพุทธปฏิมาของขอม มักทรงเครื่องอลังการวิภูษาตาภรณ์ มีกระบัง มงกุฏบนพระเศียร ที่เรียกว่าเทริด พระโอษฐ์หนา ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณยาวลงมาจดพระอังสะ ลักษณะใกล้ไปทางเทวรูปมาก พระปฏิมาที่ว่านี้ คือ รูปพระอาทิพุทธะ ในคติมหายาน
ถ้าเป็นรูปรพระศากยมุนี ก็มักจะมีรูปพระโพธิสัตว์ซ้ายขวา แทนรูปพระอัครสาวก มีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ รูปพระปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์ รูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้น บางที่ทำเป็น 4 กร บ้าง 6 กร บ้าง คนชั้นหลังไม่รู้นึกว่าเป็นรูปพระนารายณ์ หรือพระพรหมไปก็มี เช่น นักเล่นพระเครื่องตระกูลลพบุรี เรียกพระเครื่องชุดหนึ่งว่า นารายณ์ทรงปืน ความจริงเป็นรูปพระอวโลกิเตศวร พระเครื่องแบบมหายานที่ว่านี้ ขุดได้ที่จังหวัดลพบุรี รวมทั้งพระเครื่องที่เรียกพระหูยาน ที่จริงเป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพุทธเจ้าประจำทิศบูรพา ปราสาทของสามหลังที่ลพบุรีเดิม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าตรีกาลตามคติมหายาน มาแปลงเป็นเทวสถานในชั้นหลัง ปราสาทหินพิมายที่โคราชก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกองค์มหึมา ที่เรียกกันว่า ชยพุทธมหานาค และประดิษฐานรูปปฏิมา พระไตรโลกวิชัย อันเป็นปางหนึ่งของพระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธรูปในยุคนี้ ส่วนมากสร้างจากหิน หาสำริดได้น้อย
สำหรับพระพุทธเจดีย์ มีปนกันทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทซึ่งสืบเนื่องมาแต่สมัยทวาราวดี พระพุทธเจดีย์ฝ่ายลัทธิมหายาน ซึ่งมาแต่เมืองเขมรและบางทีมาจากศรีวิชัยด้วย เจดีย์วัตถุมีมากมายหลายแบบ เช่น เจดีย์ที่วัดมหาธาตุ เมืองลพบุรี บางแห่งทำเป็นปรางค์เรียงกันสามองค์ เรียกว่าปรางค์สามยอด เจดีย์ส่วนมากทำด้วยศิลาแลง ต่อเป็นของเล็กจึงหล่อด้วยทองสำริด
พระพุทธรูปที่สร้างในสมัยลพบุรี มีทั้งศิลา พระหล่อ และพระพิมพ์ เกิดมีพระทรงราชาภรณ์ หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า พระทรงเครื่อง สังเกตดูพระพิมพ์ที่สร้างสมัยลพบุรี สร้างตามคติมหายานเป็นพื้น มีมากมายหลายอย่าง ทำเป็นพระพุทธรูปนั่งในปรางค์ 3 องค์หมายเป็นพุทธกาย ทำเป็นพระอาทิพุทธเจ้าเป็นประธานมีรูปมนุษย์พุทธเจ้า 4 องค์ 7 องค์เป็นบริวารก็มี ทำพระพุทะรูปอย่างกลาง รูปพระโพธิสัตว์อยู่ข้างก็มี จะพบว่าพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งสร้างในสมัยลพบุรี มีปางเหล่านี้เป็นพื้น คือ
1. ปางทรงสมาธิ มีนาคปรกบ้าง ไม่มีบ้าง
2. ปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร)
3. ปางยืนกรีดนิ้วพระหัตถ์ ปางเสด็จจากดาวดึงส์
4. ปางยืนตั้งพระหัตถ์ปางประทานอภัย ที่เรียกกันว่า พระห้ามสมุทร
5. ปางป่าเลไลยก์ (ปฐมเทศนา) (มีลิงกับช้าง)คล้ายกับยุคทวาราวดี
รูปพระโพธิสัตว์ตามลัทธิมหายานในสมัยลพบุรี ชอบสร้างแต่ 2 องค์ คือ
ดินแดนอาณาจักรลพบุรี คำว่า “ลพบุรี” มาจากศัพท์ว่า ลวะปุระ เป็น ละโว้ปุระ เป็น ลพบุรี ตามลำดับแห่งการเพี้ยนมาตามยุคสมัย อยู่ที่บริเวณจังหวัดลพบุรีปัจจุบันและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในปัจจุบันด้วย และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลือมาถึงปัจจุบันนั้นคือ ทะเลชุบศร ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก เรื่องรามยณะ(รามเกียรติ์)
ศิลปกรรมอาณาจักรลพบุรี มีลักษณะศิลปะคล้ายกับของเขมรและของทวาราวดี เช่น ศิลปะนครวัต เป็นต้น ปรากฏอยู่มากมาย เช่น ปราสาท, พระปรางค์ ฯลฯ เป็นต้น ส่วนมากในยุคนี้จะก่อสร้างด้วย อิฐ เก่าแก่ที่สุด รองลงมาคือ ศิลาแลง และรองมาอีกคือ หิน ที่ปรากฏหลักฐาน ก็มีที่ ปราสาทหินพิมาย , ปราสาทเขาพนมรุ้ง, พระปรางค์ 3 ยอด ลพบุรี, ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมที่สร้างได้อัศจรรย์มาก เพราะ สร้างโดยไม่มีโครงเหล็กและปูนโบก จากการสันนิษฐาน ในยุคนั้นน่าจะใช้ยางไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ยางบงมา” เพราะเป็นยางที่เหนียวมาก
สถาปัตยกรรมสมัยอาณาจักรลพบุรี ได้แก่ ปราสาทศิลาหรืออิฐ สร้างเป็นศาสนสถานและเทวาลัย ได้รับคติการสร้างปราสาทมาจาก ขอม เช่น พระปรางค์สามยอดเมืองลพบุรี วัดกำแพงแลง จ. ราชบุรี มีกำแพงเป็นพระพุทธรูป ที่กาญจนบุรีพบปราสาทแบบขอม ที่เมืองสุโขทัย มีปราสาทที่วัดพระพายหลวง เป็นต้น
ประติมากรรม สมัยลพบุรีชอบสร้างพระพุทธรูปนาคปรก และมักจะสร้างสลักด้วยศิลาทราย ถ้าหล่อด้วยสำริดจะเป็นพระพุทธรูปขนาดเล็ก มีลักษณะเฉพาะคือ สร้างเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวหรือหลายองค์อยู่บนฐานเดียวกัน พระพิมพ์จะสร้างด้วยดินเผาและโลหะมีลักษณะเด่นพิเศษคือ พระพิมพ์สมัยนี้มักมีรูปปรางค์ประกอบด้วยเสมอ
พุทธศิลป์อาณาจักรลพบุรี ลักษณะพระพุทธรูปแบบลพบุรีบางแบบ มีลักษณะเป็นของตนเอง เช่น พระพุทธรูปรุ่นพระพักตร์แบบรูปไข่ และทรวดทรงอันงาม รวมทั้งความอ่อนหวานของเส้นที่ส่งผลให้แก่ศิลปะสุโขทัยและอยุธยาต่อมาด้วย
อาณาจักรลพบุรี นับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธปนกันไป ศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่นับถือลัทธิศิวเวท ส่วนพระพุทธศาสนานั้นนับถือลัทธิมหายาน จะพบว่าร่องรอยเกี่ยวกับโบราณสถานของขอมในยุคนี้ เกี่ยวกับลัทธิมหายานทั้งนั้น เช่น พระพุทธปฏิมาของขอม มักทรงเครื่องอลังการวิภูษาตาภรณ์ มีกระบัง มงกุฏบนพระเศียร ที่เรียกว่าเทริด พระโอษฐ์หนา ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณยาวลงมาจดพระอังสะ ลักษณะใกล้ไปทางเทวรูปมาก พระปฏิมาที่ว่านี้ คือ รูปพระอาทิพุทธะ ในคติมหายาน
ถ้าเป็นรูปรพระศากยมุนี ก็มักจะมีรูปพระโพธิสัตว์ซ้ายขวา แทนรูปพระอัครสาวก มีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ รูปพระปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์ รูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้น บางที่ทำเป็น 4 กร บ้าง 6 กร บ้าง คนชั้นหลังไม่รู้นึกว่าเป็นรูปพระนารายณ์ หรือพระพรหมไปก็มี เช่น นักเล่นพระเครื่องตระกูลลพบุรี เรียกพระเครื่องชุดหนึ่งว่า นารายณ์ทรงปืน ความจริงเป็นรูปพระอวโลกิเตศวร พระเครื่องแบบมหายานที่ว่านี้ ขุดได้ที่จังหวัดลพบุรี รวมทั้งพระเครื่องที่เรียกพระหูยาน ที่จริงเป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพุทธเจ้าประจำทิศบูรพา ปราสาทของสามหลังที่ลพบุรีเดิม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าตรีกาลตามคติมหายาน มาแปลงเป็นเทวสถานในชั้นหลัง ปราสาทหินพิมายที่โคราชก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกองค์มหึมา ที่เรียกกันว่า ชยพุทธมหานาค และประดิษฐานรูปปฏิมา พระไตรโลกวิชัย อันเป็นปางหนึ่งของพระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธรูปในยุคนี้ ส่วนมากสร้างจากหิน หาสำริดได้น้อย
สำหรับพระพุทธเจดีย์ มีปนกันทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทซึ่งสืบเนื่องมาแต่สมัยทวาราวดี พระพุทธเจดีย์ฝ่ายลัทธิมหายาน ซึ่งมาแต่เมืองเขมรและบางทีมาจากศรีวิชัยด้วย เจดีย์วัตถุมีมากมายหลายแบบ เช่น เจดีย์ที่วัดมหาธาตุ เมืองลพบุรี บางแห่งทำเป็นปรางค์เรียงกันสามองค์ เรียกว่าปรางค์สามยอด เจดีย์ส่วนมากทำด้วยศิลาแลง ต่อเป็นของเล็กจึงหล่อด้วยทองสำริด
พระพุทธรูปที่สร้างในสมัยลพบุรี มีทั้งศิลา พระหล่อ และพระพิมพ์ เกิดมีพระทรงราชาภรณ์ หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า พระทรงเครื่อง สังเกตดูพระพิมพ์ที่สร้างสมัยลพบุรี สร้างตามคติมหายานเป็นพื้น มีมากมายหลายอย่าง ทำเป็นพระพุทธรูปนั่งในปรางค์ 3 องค์หมายเป็นพุทธกาย ทำเป็นพระอาทิพุทธเจ้าเป็นประธานมีรูปมนุษย์พุทธเจ้า 4 องค์ 7 องค์เป็นบริวารก็มี ทำพระพุทะรูปอย่างกลาง รูปพระโพธิสัตว์อยู่ข้างก็มี จะพบว่าพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งสร้างในสมัยลพบุรี มีปางเหล่านี้เป็นพื้น คือ
1. ปางทรงสมาธิ มีนาคปรกบ้าง ไม่มีบ้าง
2. ปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร)
3. ปางยืนกรีดนิ้วพระหัตถ์ ปางเสด็จจากดาวดึงส์
4. ปางยืนตั้งพระหัตถ์ปางประทานอภัย ที่เรียกกันว่า พระห้ามสมุทร
5. ปางป่าเลไลยก์ (ปฐมเทศนา) (มีลิงกับช้าง)คล้ายกับยุคทวาราวดี
รูปพระโพธิสัตว์ตามลัทธิมหายานในสมัยลพบุรี ชอบสร้างแต่ 2 องค์ คือ
- รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ทำอย่างเทวรูปสามัญ มีที่สังเกตคล้ายรูปพระนารายณ์ แต่พระหัตถ์บนสองพระหัตถ์ ถือลูกประคำและหนังสือ พระหัตถ์ล่าง 2 พระหัตถ์ถือดอกบัวและน้ำอมฤตอย่างนี้บ้าง ทำเป็นมนุษย์หลายหน้า ซ้อนกันอย่างหัวโขน หลายพระหัตถ์ หลายพระบาท
- รูปนางภควดีปัญญาบารมี ทำเป็นรูปนางยกมือขวาถือหนังสือ มือซ้ายถือดอกบัว ซึ่งมักเข้าใจกันว่ารูปนางอุมาภควดี นอกจาก 2 อย่างนี้ มิใคร่ทำเป็นรูปพระโพธิสัตว์องค์อื่น อย่างพวกศรีวิชัยหรือชวา
พุทธเจดีย์ตามแบบสมัยลพบุรีสร้างแพร่หลายในประเทศสยาม ยิ่งกว่าแบบสมัยอื่น เพราะเนื่องกันกับแบบประเทศขอม และสร้างสืบมาในสมัยที่พวกขอมมาปกครองประเทศไทย ทางตะวันออก พุทธเจดีย์เป็นแบบสมัยนี้ไปจนจดแดนญวน ทางทิศเหนือแบบสมัยนี้ สร้างขึ้นไปจนถึงเมืองชะเลียง คือเมืองสวรรคโลก เก่าเป็นที่สุด ที่เมืองลำพูนก็ว่ามีพระพุทธรูปละโว้ แต่สังเกตเห็นเป็นของขนขึ้นไปจากเมืองลพบุรีหาได้สร้างขึ้นที่นั่นไม่ ทางตะวันตก พุทธเจดีย์แบบลพบุรี สร้างลงไปเพียงเมืองเพชรบุรี หาปรากฏว่ามีใต้ลงไปกว่านั้นไม่
เส้นทางพระพุทธศาสนาขยายเข้าสู่ประเทศไทย
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐาน ว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทย 2 ทาง คือ
เส้นทางพระพุทธศาสนาขยายเข้าสู่ประเทศไทย
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐาน ว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทย 2 ทาง คือ
- ทางบก ผ่านอ่าวเบงกอล ข้ามเทือกเขาปาดไก่ เข้าสู่ทางเหนือของประเทศพม่า แล้วเข้าสู่ประเทศไทยตอนบน
- ทางน้ำ คือลงเรือที่อ่าวเบงกอล แล้วมาขึ้นจากเรือที่เมืองเมาะตะมะหรือเมืองมะริด ผ่านเทือกเขาตะนาวศรีแล้วเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
อีกทางหนึ่งคือ ลงเรือที่อินเดียใต้ ผ่านมหาสมุทรอินเดีย เข้าสู่ช่องแคบมะละกา และขึ้นบกที่แหลมมลายูหรืออาจจะอ้อมไปเลยเข้าอ่าวญวนไปกัมพูชา และจำปา เข้าสู่ประเทศไทย
ยุคต่อมาสันนิษฐานว่ามาสองทางพร้อมกัน คือ
ยุคต่อมาสันนิษฐานว่ามาสองทางพร้อมกัน คือ
- ทางบกหรือทางเรือ จากประเทศอินเดียเข้าสู่ประเทศไทย
- ทางบกหรือทางเรือ จากประเทศอินเดียผ่านประเทศพม่าเข้ามาสู่ประเทศไทย
- ทางบกหรือทางเรือ จากประเทศอินเดียผ่านประเทศอินโดนีเซีย เข้าสู่ประเทศไทย
- ทางบกหรือทางเรือ จากประเทศอินเดียผ่านประเทศลังกาเข้าสู่ประเทศไทย
คนอินเดียอพยพเข้าสู่ประเทศไทยสันนิษฐานว่ามาจากสาเหตุ 5 ประการ
1. ถูกบีบคั้นจากเผ่าที่มีอิทธิพล
2. เพื่อประกาศศาสนา
3. เพื่อการค้าขาย
4. เพื่อการแสวงหาโชคทางการเมือง
5. เพื่อการประกอบอาชีพ
การอพยพของชาวอินเดียนั้นปรากฏว่าได้กระทำกันมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวกันว่าชาวกาลิงคะหนีภัยสงคราม ลงเรือจำนวนหลายร้อยลำ มาสู่สุวรรณภูมิ และหมู่เกาะอินโดนิเซีย ในจำนวนคนมากมายนี้แน่นอนเหลือเกินว่า จะต้องมีท่านที่เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิตมาด้วยเพราะเป็นจำนวนคนมาก ดังนั้นเมื่อพระโสณะและพระอุตตระนำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เป็นครั้งแรก ท่านจึงพูดกับชาวสุวรรณภูมิรู้เรื่อง อย่างน้อยก็พูดกับคนที่เป็นชาวอินเดียแล้วค่อยแผ่ไปถึงชาวพื้นเมืองทีหลัง
1. ถูกบีบคั้นจากเผ่าที่มีอิทธิพล
2. เพื่อประกาศศาสนา
3. เพื่อการค้าขาย
4. เพื่อการแสวงหาโชคทางการเมือง
5. เพื่อการประกอบอาชีพ
การอพยพของชาวอินเดียนั้นปรากฏว่าได้กระทำกันมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวกันว่าชาวกาลิงคะหนีภัยสงคราม ลงเรือจำนวนหลายร้อยลำ มาสู่สุวรรณภูมิ และหมู่เกาะอินโดนิเซีย ในจำนวนคนมากมายนี้แน่นอนเหลือเกินว่า จะต้องมีท่านที่เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิตมาด้วยเพราะเป็นจำนวนคนมาก ดังนั้นเมื่อพระโสณะและพระอุตตระนำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เป็นครั้งแรก ท่านจึงพูดกับชาวสุวรรณภูมิรู้เรื่อง อย่างน้อยก็พูดกับคนที่เป็นชาวอินเดียแล้วค่อยแผ่ไปถึงชาวพื้นเมืองทีหลัง
พระพุทธศาสนายุคสุโขทัย(ศตวรรษที่ 18)
โดยมีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีหัวหน้าชื่อ พ่อขุนบางกลางท่าว ได้ประกาศอิสรภาพ โดยขับไล่ชาวเขมรออกไป และได้ตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรก ชื่อว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ที่ปรากฏในคัมภีร์บาลีเรียกพระนามของพระองค์ว่า “พระเจ้าโรจนราช” พระองค์เป็นผู้ก่อตั้งกรุงสุโขทัย(สุข+อุทัย) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท (เดิม)
โดยมีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีหัวหน้าชื่อ พ่อขุนบางกลางท่าว ได้ประกาศอิสรภาพ โดยขับไล่ชาวเขมรออกไป และได้ตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรก ชื่อว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ที่ปรากฏในคัมภีร์บาลีเรียกพระนามของพระองค์ว่า “พระเจ้าโรจนราช” พระองค์เป็นผู้ก่อตั้งกรุงสุโขทัย(สุข+อุทัย) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท (เดิม)
พระพุทธศาสนาสมัยพ่อขุนรามคำแหง
สุโขทัยสมัยนั้น มีศาสนาพราหมณ์ พระพุทธศาสนามหายาน และเถรวาทปนกันไป มีวัดสำคัญอยู่วัดหนึ่ง คือ วัดมหาธาตุ กลางกรุงสุโขทัย พระเจดีย์สำคัญวัดนี้ ปัจจุบันยังเหลืออยู่หลายองค์และมีศิลปะแปลกกว่าเจดีย์อื่นในประเทศไทย หรือในต่างประเทศ คือ พระเจดีย์ที่เรียกว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือแบบที่เรียกว่า เหมือนพุ่มเทียน พระเจดีย์แบบนี้มีเฉพาะ จังหวัดสุโขทัย ตาก กำแพงเพชร ไม่เคยพบในจังหวัดอื่นเลย แต่แปลกที่เจดีย์แบบนี้ไปมีในเมืองจีนด้วยถึง 2 องค์ ไม่ทราบว่าใครเอาอย่างใคร แต่อย่างไรก็ตามแสดงว่าในสมัยกรุงสุโขทัย โดยเฉพาะในรัชสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระพุทธศาสนามั่นคงพอสมควร
นอกจากเมืองสุโขทัยแล้ว ที่เมืองศรีสัชนาลัย ก็ยังมีโบราณวัตถุคล้ายกับสุโขทัย เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว พระสถูปทรงข้าวบิณฑ์ มีหลักฐานแสดงว่าในสมัยสุโขทัยนั้น ไทยได้เลิกนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานอย่างขอม ซึ่งลัทธินี้รุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไทยในสมัยนี้ได้รับเอาลัทธิลังกาวงศ์ จากจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้ามา แต่ตั้งแต่นั้นมาไทยไม่เคยเปลี่ยนลัทธิทางพระพุทธศาสนาอีกเลย
แม้การปกครองที่เปลี่ยนจากระบบเทพาวตาร ไทยก็เปลี่ยนมาเป็นระบบพ่อปกครองลูก ข้อนี้เป็นเพราะอิทธิพลของอพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยเฉพาะข้อความในจักรวัตติสูตรและอัคคัญญสูตร มีอิทธิพลอย่างสูงต่อระบบการปกครอง ทำให้กษัตริย์ไทยทรงสำนึกในหน้าที่ในการบำรุงจักรวรรดิต่อประชาชน
ด้านปูชนียวัตถุ มีการสร้างพระสถูปเจดีย์แบบไทยแท้ ตัวอย่าง เช่น พระสถูปวัดช้างร้อง เมืองศรีสัชนาลัย วัดเจดีย์เจ็ดแถว ที่เมืองศรีสัชนาลัย
ด้านพระพุทธปฏิมา พุทธศิลป์ในสมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่รุ่งเรืองที่สุด ระยะผสม และ ระยะเสื่อม เราอาจกล่าวได้ว่า ไทยเป็นที่ผลิตพระพุทธรูปมากที่สุดในโลก และพุทธศิลป์ที่งามที่สุดคือสมัยกรุงสุโขทัย ในการหล่อพระพุทธปฏิมาไทยสามารถหล่อพระพุทธปฏิมาใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น แม้แต่ชาติอิตาลีก็ไม่สามารถทำได้ เช่น พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันอยู่ในวิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม หน้าตักสามวาเศษ พระพุทธรูปนิยมสร้างใน 4 อิริยาบถ คือยืน เดิน นั่ง นอน พระยืนนั้นที่เป็นสำริดมีน้อย ไม่เหมือนชนิดปูนั้น ที่เรียกว่า พระอัฏฐารสอาจดูตัวอย่างได้ในวัดมหาธาตุ สุโขทัย และพระอัฏฐารสที่วัดสระเกศในปัจจุบัน พระพุทธลีลาที่ถือว่างามที่สุด อยู่ที่วิหารคต วัดเบญจมบพิตร พระปูนปั้นขนาดใหญ่ เช่น พระอัจนะ ที่วัดศรีชุม ส่วนพระสำริดขนาดใหญ่ เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศาสดา และพระที่ยังมีปัญหาอีกอยู่อีกองค์หนึ่ง คือ พระทอง วัดไตรมิตร พระปางไสยาสน์นั้นมีอยู่ที่วิหารพระศรีศาสดา ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ในสมัยสุโขทัยตอนต้นนั้น คณะสงฆ์ที่มีอยู่สืบต่อมาจากสมัยทวาราวดีพวกหนึ่ง คณะสงฆ์ที่สืบต่อมาแต่สมัยลพบุรีพวกหนึ่ง ครั้งแรกมีทั้งเถรวาทและมหายาน พอมาถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ได้ส่งทูตไปนิมนต์คณะสงฆ์ลังกาวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นประดิษฐานที่กรุงสุโขทัย เพราะฉะนั้นในจารึกของพระองค์ จึงพรรณนาความว่า
“ในเมืองสุโขทัยนี้ มีปู่ครู มีเถระมหาเถระสังฆราชปราชญ์เรียนจบไตร ฉลาดกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกตนลุกมาแต่เมืองนครศรีธรรมราช”
อันที่จริงจำเดิมแต่พระเจ้าปรักกมพาหุมหาราชฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา มีการประชุมพระสงฆ์แต่งฎีกา เป็นต้น ในตอนต้นศตวรรษที่ 17 นั้น ก็ปรากฏว่า มีพระพม่า พระมอญ พระชาวทวาราวดี และลพบุรี ออกไปเรียนรู้ลัทธิจากลังกาเข้ามา สำหรับประเทศไทยนั้นปรากฏว่า คณะสงฆ์ลังกาวงศ์เข้ามาตั้งที่เมืองนครศรีธรรมราช ก่อนเป็นแห่งแรก เวลานั้นยังเป็นประเทศชื่อว่า ตามพรลิงค์ สังฆปาโมกข์นิกายนี้ ชื่อว่า พระราหุล เหตุการณ์นี้เกิดก่อนอาณาจักรสุโขทัย ประมาณ 100 ปี เมื่ออาณาเขตสมัยพ่อขุนรามคำแหงแผ่ลงไปถึงหัวเมืองมลายูแล้ว จึงยอมรับเอาลัทธินี้เป็นศาสนาประจำรัฐของไทยไป ส่วนนิกายเดิมที่มีอยู่ก่อนก็ค่อย ๆ เสื่อมไป เมื่อลังกาวงศ์มาตั้งที่สุโขทัยแล้ว ได้เกิดผลสะท้อนในทางการศึกษา การปกครองคณะสงฆ์ และศิลปกรรมดังต่อไปนี้ คือ
1. ในด้านการศึกษา ไทยได้รับพระไตรปิฎกทั้งอรรถกถา ฎีกา จากลังกา แม้ก่อนหน้านี้ พระไตรปิฎกของเถรวาท จะมีอยู่แล้วในชนชาติมอญ ครั้งสมัยทวาราวดีก็จริง เข้าใจว่าในสมัยหลังคงตกหล่นหาไปมาก เพิ่งได้รับพระไตรปิฎกครบถ้วน ในสมัยต้นสุโขทัยจากลังกา เป็นเหตุให้การออกเสียงภาษามคธ ของสงฆ์ไทย ชัดถ้อย ชัดคำ ตามแบบลังกายิ่งกว่าชนชาติอื่น
2. คัมภีร์พระพุทธศาสนาในยุคแรก คงจารึกด้วยอักษรสิงหล ต่อมาได้ถ่ายเป็นอักษรขอม ที่ไม่ถ่ายเป็นอักษรไทยตามที่พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์ขึ้น อาจเป็นเพราะความนิยมอักษรขอมของคนในยุคนั้น เพราะอักษรพ่อขุนรามคำแหงเป็นการดัดแปลงอักษรไทยเดิมเท่านั้นเอง ข้อนี้พึงเห็นอักษรไทยลื้อในยูนนานเป็นตัวอย่าง อีกประการหนึ่ง อักษรที่พ่อขุนรามคำแหงบัญญัติขึ้นมีอักษรไม่พอเขียนคำมคธ จึงได้ถือเอาอักษรขอมเป็นคำจารึก
3. อิทธิพลของลังกาวงศ์ต่อการปกครองคณะสงฆ์ไทย ได้ทำให้เกิดสมณศักดิ์ขึ้น สมณศักดิ์นี้ในอินเดียหามีไม่ ลังกาเป็นผู้คิดขึ้นก่อน ในชั้นเดิมมี 2 ตำแหน่ง คือ ตำแหน่งสวามี และตำแหน่ง มหาสวามี ทางสุโขทัยรับมาเปลี่ยนแปลงตามทางโลก จึงเกิดทำเนียบสมณศักดิ์ ขึ้นครั้งแรก คือ
1. ครูบา
2. เถระ
3. มหาเถระ
4. สังฆราช เทียบตำแหน่งมหาสวามี
5. สังฆปรินายกสิทธิ
การปกครองคณะสงฆ์แบ่งออกเป็น 3 คณะ คือ
สุโขทัยสมัยนั้น มีศาสนาพราหมณ์ พระพุทธศาสนามหายาน และเถรวาทปนกันไป มีวัดสำคัญอยู่วัดหนึ่ง คือ วัดมหาธาตุ กลางกรุงสุโขทัย พระเจดีย์สำคัญวัดนี้ ปัจจุบันยังเหลืออยู่หลายองค์และมีศิลปะแปลกกว่าเจดีย์อื่นในประเทศไทย หรือในต่างประเทศ คือ พระเจดีย์ที่เรียกว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือแบบที่เรียกว่า เหมือนพุ่มเทียน พระเจดีย์แบบนี้มีเฉพาะ จังหวัดสุโขทัย ตาก กำแพงเพชร ไม่เคยพบในจังหวัดอื่นเลย แต่แปลกที่เจดีย์แบบนี้ไปมีในเมืองจีนด้วยถึง 2 องค์ ไม่ทราบว่าใครเอาอย่างใคร แต่อย่างไรก็ตามแสดงว่าในสมัยกรุงสุโขทัย โดยเฉพาะในรัชสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระพุทธศาสนามั่นคงพอสมควร
นอกจากเมืองสุโขทัยแล้ว ที่เมืองศรีสัชนาลัย ก็ยังมีโบราณวัตถุคล้ายกับสุโขทัย เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว พระสถูปทรงข้าวบิณฑ์ มีหลักฐานแสดงว่าในสมัยสุโขทัยนั้น ไทยได้เลิกนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานอย่างขอม ซึ่งลัทธินี้รุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไทยในสมัยนี้ได้รับเอาลัทธิลังกาวงศ์ จากจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้ามา แต่ตั้งแต่นั้นมาไทยไม่เคยเปลี่ยนลัทธิทางพระพุทธศาสนาอีกเลย
แม้การปกครองที่เปลี่ยนจากระบบเทพาวตาร ไทยก็เปลี่ยนมาเป็นระบบพ่อปกครองลูก ข้อนี้เป็นเพราะอิทธิพลของอพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยเฉพาะข้อความในจักรวัตติสูตรและอัคคัญญสูตร มีอิทธิพลอย่างสูงต่อระบบการปกครอง ทำให้กษัตริย์ไทยทรงสำนึกในหน้าที่ในการบำรุงจักรวรรดิต่อประชาชน
ด้านปูชนียวัตถุ มีการสร้างพระสถูปเจดีย์แบบไทยแท้ ตัวอย่าง เช่น พระสถูปวัดช้างร้อง เมืองศรีสัชนาลัย วัดเจดีย์เจ็ดแถว ที่เมืองศรีสัชนาลัย
ด้านพระพุทธปฏิมา พุทธศิลป์ในสมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่รุ่งเรืองที่สุด ระยะผสม และ ระยะเสื่อม เราอาจกล่าวได้ว่า ไทยเป็นที่ผลิตพระพุทธรูปมากที่สุดในโลก และพุทธศิลป์ที่งามที่สุดคือสมัยกรุงสุโขทัย ในการหล่อพระพุทธปฏิมาไทยสามารถหล่อพระพุทธปฏิมาใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น แม้แต่ชาติอิตาลีก็ไม่สามารถทำได้ เช่น พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันอยู่ในวิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม หน้าตักสามวาเศษ พระพุทธรูปนิยมสร้างใน 4 อิริยาบถ คือยืน เดิน นั่ง นอน พระยืนนั้นที่เป็นสำริดมีน้อย ไม่เหมือนชนิดปูนั้น ที่เรียกว่า พระอัฏฐารสอาจดูตัวอย่างได้ในวัดมหาธาตุ สุโขทัย และพระอัฏฐารสที่วัดสระเกศในปัจจุบัน พระพุทธลีลาที่ถือว่างามที่สุด อยู่ที่วิหารคต วัดเบญจมบพิตร พระปูนปั้นขนาดใหญ่ เช่น พระอัจนะ ที่วัดศรีชุม ส่วนพระสำริดขนาดใหญ่ เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศาสดา และพระที่ยังมีปัญหาอีกอยู่อีกองค์หนึ่ง คือ พระทอง วัดไตรมิตร พระปางไสยาสน์นั้นมีอยู่ที่วิหารพระศรีศาสดา ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ในสมัยสุโขทัยตอนต้นนั้น คณะสงฆ์ที่มีอยู่สืบต่อมาจากสมัยทวาราวดีพวกหนึ่ง คณะสงฆ์ที่สืบต่อมาแต่สมัยลพบุรีพวกหนึ่ง ครั้งแรกมีทั้งเถรวาทและมหายาน พอมาถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ได้ส่งทูตไปนิมนต์คณะสงฆ์ลังกาวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นประดิษฐานที่กรุงสุโขทัย เพราะฉะนั้นในจารึกของพระองค์ จึงพรรณนาความว่า
“ในเมืองสุโขทัยนี้ มีปู่ครู มีเถระมหาเถระสังฆราชปราชญ์เรียนจบไตร ฉลาดกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกตนลุกมาแต่เมืองนครศรีธรรมราช”
อันที่จริงจำเดิมแต่พระเจ้าปรักกมพาหุมหาราชฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา มีการประชุมพระสงฆ์แต่งฎีกา เป็นต้น ในตอนต้นศตวรรษที่ 17 นั้น ก็ปรากฏว่า มีพระพม่า พระมอญ พระชาวทวาราวดี และลพบุรี ออกไปเรียนรู้ลัทธิจากลังกาเข้ามา สำหรับประเทศไทยนั้นปรากฏว่า คณะสงฆ์ลังกาวงศ์เข้ามาตั้งที่เมืองนครศรีธรรมราช ก่อนเป็นแห่งแรก เวลานั้นยังเป็นประเทศชื่อว่า ตามพรลิงค์ สังฆปาโมกข์นิกายนี้ ชื่อว่า พระราหุล เหตุการณ์นี้เกิดก่อนอาณาจักรสุโขทัย ประมาณ 100 ปี เมื่ออาณาเขตสมัยพ่อขุนรามคำแหงแผ่ลงไปถึงหัวเมืองมลายูแล้ว จึงยอมรับเอาลัทธินี้เป็นศาสนาประจำรัฐของไทยไป ส่วนนิกายเดิมที่มีอยู่ก่อนก็ค่อย ๆ เสื่อมไป เมื่อลังกาวงศ์มาตั้งที่สุโขทัยแล้ว ได้เกิดผลสะท้อนในทางการศึกษา การปกครองคณะสงฆ์ และศิลปกรรมดังต่อไปนี้ คือ
1. ในด้านการศึกษา ไทยได้รับพระไตรปิฎกทั้งอรรถกถา ฎีกา จากลังกา แม้ก่อนหน้านี้ พระไตรปิฎกของเถรวาท จะมีอยู่แล้วในชนชาติมอญ ครั้งสมัยทวาราวดีก็จริง เข้าใจว่าในสมัยหลังคงตกหล่นหาไปมาก เพิ่งได้รับพระไตรปิฎกครบถ้วน ในสมัยต้นสุโขทัยจากลังกา เป็นเหตุให้การออกเสียงภาษามคธ ของสงฆ์ไทย ชัดถ้อย ชัดคำ ตามแบบลังกายิ่งกว่าชนชาติอื่น
2. คัมภีร์พระพุทธศาสนาในยุคแรก คงจารึกด้วยอักษรสิงหล ต่อมาได้ถ่ายเป็นอักษรขอม ที่ไม่ถ่ายเป็นอักษรไทยตามที่พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์ขึ้น อาจเป็นเพราะความนิยมอักษรขอมของคนในยุคนั้น เพราะอักษรพ่อขุนรามคำแหงเป็นการดัดแปลงอักษรไทยเดิมเท่านั้นเอง ข้อนี้พึงเห็นอักษรไทยลื้อในยูนนานเป็นตัวอย่าง อีกประการหนึ่ง อักษรที่พ่อขุนรามคำแหงบัญญัติขึ้นมีอักษรไม่พอเขียนคำมคธ จึงได้ถือเอาอักษรขอมเป็นคำจารึก
3. อิทธิพลของลังกาวงศ์ต่อการปกครองคณะสงฆ์ไทย ได้ทำให้เกิดสมณศักดิ์ขึ้น สมณศักดิ์นี้ในอินเดียหามีไม่ ลังกาเป็นผู้คิดขึ้นก่อน ในชั้นเดิมมี 2 ตำแหน่ง คือ ตำแหน่งสวามี และตำแหน่ง มหาสวามี ทางสุโขทัยรับมาเปลี่ยนแปลงตามทางโลก จึงเกิดทำเนียบสมณศักดิ์ ขึ้นครั้งแรก คือ
1. ครูบา
2. เถระ
3. มหาเถระ
4. สังฆราช เทียบตำแหน่งมหาสวามี
5. สังฆปรินายกสิทธิ
การปกครองคณะสงฆ์แบ่งออกเป็น 3 คณะ คือ
- คณะคามวาสี มีเจ้าคณะชื่อ สังฆราชญาณรูจีมหาเถระ
- คณะอรัญวาสี มีเจ้าคณะชื่อพระบรมครูติโลกดิลกติรัตนสีลคันธวนวาสีธรรมกิตติ สังฆราชมหาสวามี
- คณะพระรูป คณะนี้มืดมนไม่ทราบที่ไปที่มา
4. อิทธิพลเกี่ยวกับศาสนพิธี ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงได้พรรณนาถึงสภาพของชาวสุโขทัยและประเพณีทางศาสนามีข้อความว่า “คนเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เมื่อพรรษาทุกรูป เมื่อออกพรรษากราลกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อกราลกฐินมีพนมเบี้ยพนมหมากพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนนอน มีบริพารกฐิน เป็นต้น”
ชาวสุโขทัยเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาของคนบางคนว่า การที่นับถือศาสนาพุทธ ทำให้ขี้เกียจ เพราะพ่อขุนรามคำแหงจารึกต่อไป ว่า “แต่คนในเมืองสุโขทัยนี้ด้วยรู้ ด้วยหลวก ด้วยกล้า ด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรก หาคนเสมอมิได้” เมื่อคนสุโขทัยขยันขันแข็งทำให้ “มีวิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมาก ป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วง ป่าขาม ดูงามดังแกล้ง”
5. เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยตั้งพระองค์เป็นพ่อใกล้ชิดกับราษฎรผู้เป็นลูกอยู่เสมอ จึงได้เกิดสุภาษิตสอนราษฎร เช่น พ่อสอนลูก เรียกว่า ภาษิตพระร่วง เช่น “อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายแต่พอแรง ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย อย่าขุดคนด้วยปาก อย่าถากคนด้วยตา อย่าแผ่เผื่อความผิด อย่าผูกมิตรคนจร อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ำ อย่ารักถ้ำกว่าเรือน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน”
6. อิทธิพลทางศิลปะ ไทยได้พระพุทธสิหิงค์จากลังกา ซึ่งเป็นแม่แบบของพระพุทธรูปสุโขทัย พระพุทธรูปในประเทศไทยก่อนหน้านี้ทุกยุคไม่เคยมีเปลวรัศมีสูง เพิ่งจะมีขึ้นครั้งแรกในสมัยสุโขทัย สังฆาฏิพระพุทธรูปในสมัยก่อนหน้านี้ ไม่เคยเป็นแฉกชนิดที่เรียกว่า เขี้ยวตะขาบ พุทธปฏิมาแบบสุโขทัย มีพระเจดีย์แบบลอมฟาง ซึ่งถ่ายจากรีจิเจดีย์ในลังกาก็ดี ถูปารามในลังกาก็ดี สมัยสุโขทัยได้สร้างขึ้น เช่น พระมหาธาตุวัดช้างร้องเมืองชะเลียง
ชาวสุโขทัยเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาของคนบางคนว่า การที่นับถือศาสนาพุทธ ทำให้ขี้เกียจ เพราะพ่อขุนรามคำแหงจารึกต่อไป ว่า “แต่คนในเมืองสุโขทัยนี้ด้วยรู้ ด้วยหลวก ด้วยกล้า ด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรก หาคนเสมอมิได้” เมื่อคนสุโขทัยขยันขันแข็งทำให้ “มีวิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมาก ป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วง ป่าขาม ดูงามดังแกล้ง”
5. เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยตั้งพระองค์เป็นพ่อใกล้ชิดกับราษฎรผู้เป็นลูกอยู่เสมอ จึงได้เกิดสุภาษิตสอนราษฎร เช่น พ่อสอนลูก เรียกว่า ภาษิตพระร่วง เช่น “อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายแต่พอแรง ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย อย่าขุดคนด้วยปาก อย่าถากคนด้วยตา อย่าแผ่เผื่อความผิด อย่าผูกมิตรคนจร อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ำ อย่ารักถ้ำกว่าเรือน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน”
6. อิทธิพลทางศิลปะ ไทยได้พระพุทธสิหิงค์จากลังกา ซึ่งเป็นแม่แบบของพระพุทธรูปสุโขทัย พระพุทธรูปในประเทศไทยก่อนหน้านี้ทุกยุคไม่เคยมีเปลวรัศมีสูง เพิ่งจะมีขึ้นครั้งแรกในสมัยสุโขทัย สังฆาฏิพระพุทธรูปในสมัยก่อนหน้านี้ ไม่เคยเป็นแฉกชนิดที่เรียกว่า เขี้ยวตะขาบ พุทธปฏิมาแบบสุโขทัย มีพระเจดีย์แบบลอมฟาง ซึ่งถ่ายจากรีจิเจดีย์ในลังกาก็ดี ถูปารามในลังกาก็ดี สมัยสุโขทัยได้สร้างขึ้น เช่น พระมหาธาตุวัดช้างร้องเมืองชะเลียง
การปกครองคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย
1. การบรรพชา อุปสมบท รับไตรสรณคมน์ 2 ครั้ง คือรับ แบบภาษาบาลีและแบบภาษาสันสกฤต ตัวอย่าง เช่น
แบบบาลี พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ
แบบสันสกฤต พุทธมฺ สรณมฺ คจฺฉามิ ฯ
2. การสร้างอุโบสถ ใช้เสมา 2 ใบ บางแห่ง ใช้ 3 ใบ โดยเฉพาะวัดหลวง ที่มีหลักฐานปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คือที่มีเสมา 3 ใบคือวัดเขารังแร้ง อ. สวรรคโลก จ. สุโขทัย
เปรียบเทียบศิลปะวัฒนธรรมสมัยสุโขทัยกับสมัยขอม
1. การบรรพชา อุปสมบท รับไตรสรณคมน์ 2 ครั้ง คือรับ แบบภาษาบาลีและแบบภาษาสันสกฤต ตัวอย่าง เช่น
แบบบาลี พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ
แบบสันสกฤต พุทธมฺ สรณมฺ คจฺฉามิ ฯ
2. การสร้างอุโบสถ ใช้เสมา 2 ใบ บางแห่ง ใช้ 3 ใบ โดยเฉพาะวัดหลวง ที่มีหลักฐานปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คือที่มีเสมา 3 ใบคือวัดเขารังแร้ง อ. สวรรคโลก จ. สุโขทัย
เปรียบเทียบศิลปะวัฒนธรรมสมัยสุโขทัยกับสมัยขอม
- สมัยสุโขทัยนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท แบบลังกาวงศ์ ส่วน สมัยขอมนั้นนับถือพระพุทธศาสนาแบบนิกายมหายาน
- อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก(สมบูรณาญาสิทธิราช) คือกษัตริย์มีความใกล้ชิดต่อประชาชนเหมือนครอบครัวเดียวกัน และกษัตริย์เป็นผู้ทรงธรรม ส่วนอาณาจักรขอมนั้น ก็ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชเหมือนกันแต่ สถานของกษัตริย์อยู่คนละสถานะกับราษฎร คือกษัตริย์มีสถานะเป็น เทพาวตาร มีความเหินห่างต่อประชาชน เหมือนเทวดากับมนุษย์
- อาณาจักรสุโขทัยมีศิลาจารึกถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ในด้านเศรษฐกิจ สังคม เป็นอาทิ ไม่มีการจารึกคำสาปแช่งศัตรูให้ฉิบหาย ส่วนอาณาจักรขอม ศิลาจารึก มีการจารึกคำ สดุดีพระมหากษัตริย์ เหมือนเทพเจ้า และลงท้ายด้วยคำสาปแช่งศัตรู มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงศ์ มาจากประเทศลังกา มาประจำที่เมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นพ่อขุนรามคำแหงก็อัญเชิญมาประดิษฐานยังกรุงสุโขทัย
จากหลักฐานที่กล่าวถึง คือในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ได้แสดงว่า พระพุทธสิหิงศ์ เข้ามาสู่เมืองนครศรีธรรมราช ในศตวรรษที่ 18 และในสมัยสุโขทัยนี้ ได้มีการสร้างพระพุทธรูปทองคำ ที่ปรากฏมีอยู่ 3 องค์ คือ
1. พระพุทธรุปทองคำวัดไตรมิตร
2. พระพุทธรูปทองคำวัดมหรรณพาราม
3. พระพุทธรูปทองคำวัดหงส์รัตนาราม
และยังมีการสร้างพระพุทธรูปปางยืน ชื่อว่า พระอัฏฐารส, พระพิมพ์(พระกำแพงเขย่ง)
1. พระพุทธรุปทองคำวัดไตรมิตร
2. พระพุทธรูปทองคำวัดมหรรณพาราม
3. พระพุทธรูปทองคำวัดหงส์รัตนาราม
และยังมีการสร้างพระพุทธรูปปางยืน ชื่อว่า พระอัฏฐารส, พระพิมพ์(พระกำแพงเขย่ง)
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท
กษัตริย์พระองค์นี้เป็นรัชกาลที่ 5 ในราชวงศ์พระร่วง ปรากฏในจารึกอักษรขอมเรียกว่า “กมรเต็งอัญศรีสุริยพงษ์รามมหาธรรมราชา” พระองค์มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก ซึ่งพอจะแยกเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
1. การศึกษาพระพุทธศาสนา ในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นพระราชบุตรอยู่ ได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในครั้งนั้น เช่น พระอโนมทัสสี พระสารีบุตร และอุปเสนราชบัณฑิต เป็นต้น จึงนับว่าเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรก ที่ทรงรอบรู้ในภาษามคธและพระไตรปิฎก จนถึงกับทรงนิพนธ์ เตภูมิกถา หลักฐานที่ทรงใช้ในการรจนามีประมาณ 30 กว่าเล่ม บางเล่มในปัจจุบันไม่มีต้นฉบับ ในปัจจุบันพระยาดำรงราชานุภาพ พระอนุชารัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือเตภูมิกถาใหม่ เป็นไตรภูมิพระร่วง โดยเนื้อหาได้กล่าวถึงภูมิทั้ง 3 คือ 1. กามภูมิ 2. รูปภูมิ 3. อรูปภูมิ
2. ในการคณะสงฆ์ พระเจ้าลิไทได้ส่งทูตไปนิมนต์คณะสงฆ์ลังกาเข้ามาสุโขทัย เมื่อพระสงฆ์จากลังกามาถึง มีการต้อนรับกันอย่างมโหฬารและพระองค์ได้จัดคณะสงฆ์ให้อยู่ตามสัปปายะที่ชอบ คือถ้าปรารถนาจะเรียนปริยัติธรรมก็ให้อยู่วัดในบ้านเมือง ถ้าปรารถนาจะปฏิบัติกรรมฐานก็ให้สร้างวัดป่าให้อยู่จำพรรษา จึงมีคำเรียกแบ่งเป็น 2 คณะ ในครั้งนั้นคือ
(1) คณะคามวาสี อยู่วัดบ้าน
(2) คณะอรัญญวาสี อยู่วัดป่า
พระองค์ได้ทรงผนวชในพระพุทธศาสนา เป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ผนวชขณะครองราชย์ พิธีผนวชทำเป็นสองตอน คือ ตอนบรรพชาทำในวัง ตอนอุปสมบททำที่วัดป่ามะม่วง พระองค์ได้รับสรรเสริญจากสังฆราชลังกาว่า ทรงเคร่งครัดมาก เนื่องจากมีกองทัพข้าศึกมารุกราน อำมาตย์ทั้งหลายจึงทูลขอให้ปริวัตรเพศออกไป
3. โรงเรียนไทยโรงเรียนแรกได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ กล่าวคือ พระเจ้าลิไททรงอุทิศพระราชมณเฑียร เป็นที่บอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรขึ้นครั้งแรก เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ทรงทำตาม พระองค์ทรงส่งพระภิกษุสามเณรที่ได้รับการศึกษาให้ไปประกาศพระศาสนาตามถิ่นต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ แพร่ และน่าน เป็นต้น
4. พระเจ้าลิไททรงส่งทูตไปจำลองรอยพระพุทธบาท บนยอดเขาสุมนกูฏในลังกามาสร้างไว้ตามไหล่เขา ตามหัวเมืองสำคัญ เช่น บนภูเขาสุมนกูฏ อ. สวรรคโลก จ. พิษณุโลก บนภูเขาเมืองศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย บนเขานางทอง จ. กำแพงเพชร บนภูเขาปากพระบาง(ปัจจุบันเขาวรนาถบรรพรต) จ. นครสวรรค์ รอยพระบาทนี้พึงเห็นตัวอย่างได้ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเกิดประเพณีไหว้พระบาทเป็นครั้งแรก
5. พระเจ้าลิไทได้ทรงหล่อพระพุทธปฏิมาชุดใหญ่ หลายชุด หลายครั้ง ครั้งละหลาย 10 องค์ ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ชุดพระพุทธชินราช(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระศรีสรรเพชร) พระพุทธชินสีห์(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศ) พระศรีศากยมุนี(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศน์) ข้อสังเกตปฏิมากรรมในสมัยนี้ชอบทำนิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทเสมอกัน ผิดกับพระพุทธรูปสุโขทัยยุคก่อน ซึ่งนิ้วพระบาท นิ้วพระหัตถ์ไม่เสมอกัน
6. ทรงก่อพระธาตุที่สำคัญในเมืองกำแพงเพชร พระมหาธาตุนี้อยู่ปากคลองสวนหมาก วัดพระธาตุแช่แห้ง เดิมมีรูปอย่างพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ต่อมาคฤหบดีชาวกระเหรี่ยง คนหนึ่ง ชื่อพระยาเก่า ในรัชกาลที่ 5 รื้อพระเจดีย์ออกแล้ว ก่อใหม่เป็นรูปเจดีย์พม่า ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
7. โปรดให้ทูตไปเชิญหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากอนุราธปุระมาปลูกไว้ในอาณาเขตสุโขทัยหลายแห่ง ประเพณีบูชาต้นโพธิ์จึงเกิดขึ้นในเมืองไทย
8. พระเจ้าลิไท นอกจากจะทรงแตกฉานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังแตกฉานในโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์อีกด้วย ทรงทำพิธีทางไสยศาสตร์ หล่อเทวรูปชุดสำคัญมี พระอิศวร พระนารายณ์ และพระอุมา ขนาดโตกว่าคน ฝีมือดีมาก ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
มีบางคนกล่าวว่า เป็นเพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามากเกินไป ทำให้การปกครองอ่อนแอ ถ้ามองกันด้วยความเป็นธรรมแล้ว พ่อขุนรามคำแหงก็ดี พระเจ้าลิไทก็ดี ล้วนเป็นผู้เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาทั้งนั้น บ้านเมืองก็ไม่อ่อนแอ พระเจ้าลิไททรงสามารถยับยั้งการรุกรานของอยุธยาไว้ได้ แม้อาณาจักรอู่ทอง ซึ่งเป็นรัฐอิสระ ยังยอมให้สุโขทัยเป็นผู้นำทางการเมือง จะไปโทษว่า เพราะเคร่งครัดทางศาสนาแล้ว การปกครองจะอ่อนไปก็ไม่ถูกต้องนัก
สาเหตุการออกผนวชของพระธรรมราชาลิไทย 3 ประการ
1. ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์
2. ทรงปรารถนาพุทธภูมิ(ตามศิลาจารึก)
3. ดำเนินรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช
กษัตริย์พระองค์นี้เป็นรัชกาลที่ 5 ในราชวงศ์พระร่วง ปรากฏในจารึกอักษรขอมเรียกว่า “กมรเต็งอัญศรีสุริยพงษ์รามมหาธรรมราชา” พระองค์มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก ซึ่งพอจะแยกเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
1. การศึกษาพระพุทธศาสนา ในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นพระราชบุตรอยู่ ได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในครั้งนั้น เช่น พระอโนมทัสสี พระสารีบุตร และอุปเสนราชบัณฑิต เป็นต้น จึงนับว่าเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรก ที่ทรงรอบรู้ในภาษามคธและพระไตรปิฎก จนถึงกับทรงนิพนธ์ เตภูมิกถา หลักฐานที่ทรงใช้ในการรจนามีประมาณ 30 กว่าเล่ม บางเล่มในปัจจุบันไม่มีต้นฉบับ ในปัจจุบันพระยาดำรงราชานุภาพ พระอนุชารัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือเตภูมิกถาใหม่ เป็นไตรภูมิพระร่วง โดยเนื้อหาได้กล่าวถึงภูมิทั้ง 3 คือ 1. กามภูมิ 2. รูปภูมิ 3. อรูปภูมิ
2. ในการคณะสงฆ์ พระเจ้าลิไทได้ส่งทูตไปนิมนต์คณะสงฆ์ลังกาเข้ามาสุโขทัย เมื่อพระสงฆ์จากลังกามาถึง มีการต้อนรับกันอย่างมโหฬารและพระองค์ได้จัดคณะสงฆ์ให้อยู่ตามสัปปายะที่ชอบ คือถ้าปรารถนาจะเรียนปริยัติธรรมก็ให้อยู่วัดในบ้านเมือง ถ้าปรารถนาจะปฏิบัติกรรมฐานก็ให้สร้างวัดป่าให้อยู่จำพรรษา จึงมีคำเรียกแบ่งเป็น 2 คณะ ในครั้งนั้นคือ
(1) คณะคามวาสี อยู่วัดบ้าน
(2) คณะอรัญญวาสี อยู่วัดป่า
พระองค์ได้ทรงผนวชในพระพุทธศาสนา เป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ผนวชขณะครองราชย์ พิธีผนวชทำเป็นสองตอน คือ ตอนบรรพชาทำในวัง ตอนอุปสมบททำที่วัดป่ามะม่วง พระองค์ได้รับสรรเสริญจากสังฆราชลังกาว่า ทรงเคร่งครัดมาก เนื่องจากมีกองทัพข้าศึกมารุกราน อำมาตย์ทั้งหลายจึงทูลขอให้ปริวัตรเพศออกไป
3. โรงเรียนไทยโรงเรียนแรกได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ กล่าวคือ พระเจ้าลิไททรงอุทิศพระราชมณเฑียร เป็นที่บอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรขึ้นครั้งแรก เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ทรงทำตาม พระองค์ทรงส่งพระภิกษุสามเณรที่ได้รับการศึกษาให้ไปประกาศพระศาสนาตามถิ่นต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ แพร่ และน่าน เป็นต้น
4. พระเจ้าลิไททรงส่งทูตไปจำลองรอยพระพุทธบาท บนยอดเขาสุมนกูฏในลังกามาสร้างไว้ตามไหล่เขา ตามหัวเมืองสำคัญ เช่น บนภูเขาสุมนกูฏ อ. สวรรคโลก จ. พิษณุโลก บนภูเขาเมืองศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย บนเขานางทอง จ. กำแพงเพชร บนภูเขาปากพระบาง(ปัจจุบันเขาวรนาถบรรพรต) จ. นครสวรรค์ รอยพระบาทนี้พึงเห็นตัวอย่างได้ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเกิดประเพณีไหว้พระบาทเป็นครั้งแรก
5. พระเจ้าลิไทได้ทรงหล่อพระพุทธปฏิมาชุดใหญ่ หลายชุด หลายครั้ง ครั้งละหลาย 10 องค์ ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ชุดพระพุทธชินราช(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระศรีสรรเพชร) พระพุทธชินสีห์(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศ) พระศรีศากยมุนี(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศน์) ข้อสังเกตปฏิมากรรมในสมัยนี้ชอบทำนิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทเสมอกัน ผิดกับพระพุทธรูปสุโขทัยยุคก่อน ซึ่งนิ้วพระบาท นิ้วพระหัตถ์ไม่เสมอกัน
6. ทรงก่อพระธาตุที่สำคัญในเมืองกำแพงเพชร พระมหาธาตุนี้อยู่ปากคลองสวนหมาก วัดพระธาตุแช่แห้ง เดิมมีรูปอย่างพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ต่อมาคฤหบดีชาวกระเหรี่ยง คนหนึ่ง ชื่อพระยาเก่า ในรัชกาลที่ 5 รื้อพระเจดีย์ออกแล้ว ก่อใหม่เป็นรูปเจดีย์พม่า ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
7. โปรดให้ทูตไปเชิญหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากอนุราธปุระมาปลูกไว้ในอาณาเขตสุโขทัยหลายแห่ง ประเพณีบูชาต้นโพธิ์จึงเกิดขึ้นในเมืองไทย
8. พระเจ้าลิไท นอกจากจะทรงแตกฉานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังแตกฉานในโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์อีกด้วย ทรงทำพิธีทางไสยศาสตร์ หล่อเทวรูปชุดสำคัญมี พระอิศวร พระนารายณ์ และพระอุมา ขนาดโตกว่าคน ฝีมือดีมาก ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
มีบางคนกล่าวว่า เป็นเพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามากเกินไป ทำให้การปกครองอ่อนแอ ถ้ามองกันด้วยความเป็นธรรมแล้ว พ่อขุนรามคำแหงก็ดี พระเจ้าลิไทก็ดี ล้วนเป็นผู้เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาทั้งนั้น บ้านเมืองก็ไม่อ่อนแอ พระเจ้าลิไททรงสามารถยับยั้งการรุกรานของอยุธยาไว้ได้ แม้อาณาจักรอู่ทอง ซึ่งเป็นรัฐอิสระ ยังยอมให้สุโขทัยเป็นผู้นำทางการเมือง จะไปโทษว่า เพราะเคร่งครัดทางศาสนาแล้ว การปกครองจะอ่อนไปก็ไม่ถูกต้องนัก
สาเหตุการออกผนวชของพระธรรมราชาลิไทย 3 ประการ
1. ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์
2. ทรงปรารถนาพุทธภูมิ(ตามศิลาจารึก)
3. ดำเนินรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช
พระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา(ลานนา)
สมัยนั้นแม่น้ำ 4 สายถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน บางที่เรียกพระพุทธศาสนายุคล้านนาว่า พระพุทธศาสนาลุ่มน้ำปิง ชนเผ่าดั้งเดิม คือพวกข่า ต่อมาเป็นพวกมอญ ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 พวกมอญครองเมืองลพบุรีส่งธิดาชื่อจามเทวีไปครองเมืองหริภุญชัยหรือลำพูนในปัจจุบัน
เมื่อชนเผ่าไทยลงมาอยู่สุวรรณภูมิได้ตั้งนครแห่งแรกที่เมืองแถง ใน ดินแดนสิบสองปันนา ปกครองโดยขุนบรม และได้ส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองในทิศทางต่าง ๆ ในจำนวนนั้น ขุนลอได้มาสร้างประเทศลานช้าง คือลาวเดี๋ยวนี้ มีเมืองสำคัญคือเมืองเชียงกง เชียงทอง(หลวงพระบาง) และขุนไสยผงหรือไชยพงศ์ได้เข้ามาทางแม่น้ำปิงมาตั้งเมืองเงินยางเชียงแสนขึ้น เป็นปฐมบรรพบุรุษของคนไทยในประเทศไทยลูกหลานของขุนไสยผงได้เดินทางลงมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้นตระกูลของราชวงศ์สุโขทัยและอู่ทองภายหลัง ในพุทธศตวรรษที่ 18 นี้คนไทยในถิ่นต่าง ๆ อยู่ในขั้นสร้างบ้านแปงเมืองอย่างแข็งขันโดยทางลุ่มเเม่น้ำปิง มีพ่อขุนเม็งรายเป็นหัวหน้า ทางลานช้างมีพระเจ้าฟ้างุ้ม ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พระเจ้าเม็งรายเป็นราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง กษัตริย์แห่งนครเงินยาง(เชียงแสนเก่า) เป็นพระสหายร่วมน้ำสาบานกับพระเจ้างำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยาและพระเจ้ารามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย พระองค์ทรงรวบรวมเผ่าไทยในลานนาขับไล่อิทธิพลของพวกมอญออกไปจากลุ่มแม่น้ำปิง ต้องทำสงครามกับพระเจ้าญีบาแห่งหริภุญไชยอย่างหนักหน่วงจนทรงชนะในที่สุด และต่อมาทรงเลือกชัยภูมิที่บริเวณเชิงเขาสุเทวบรรพต บนฝั่งขวาของแม่น้ำปิงสร้างราชธานีใหม่ขึ้น ขนานนามว่า “นวบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เสด็จประทับเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลานนาไทย โปรดให้สถาปนาพระตำหนักเดิมขึ้นเป็นวัด ใช้ชื่อว่า วัดเชียงมั่น ประดิษฐานพระเสต็งคมณี(พระแก้วขาว) ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหริภุญไชย อันพระนางจามเทวีทรงนำมาแต่อาณาจักรทวาราวดี ด้วยเหตุนี้อาณาจักรหริภุญไชยของมอญ ซึ่งตั้งมาถึง 6–7ศตวรรษมีกษัตริย์ปกครองกว่า 40 พระองค์ ก็เป็นอันดับสูญไป
สมัยนั้นแม่น้ำ 4 สายถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน บางที่เรียกพระพุทธศาสนายุคล้านนาว่า พระพุทธศาสนาลุ่มน้ำปิง ชนเผ่าดั้งเดิม คือพวกข่า ต่อมาเป็นพวกมอญ ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 พวกมอญครองเมืองลพบุรีส่งธิดาชื่อจามเทวีไปครองเมืองหริภุญชัยหรือลำพูนในปัจจุบัน
เมื่อชนเผ่าไทยลงมาอยู่สุวรรณภูมิได้ตั้งนครแห่งแรกที่เมืองแถง ใน ดินแดนสิบสองปันนา ปกครองโดยขุนบรม และได้ส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองในทิศทางต่าง ๆ ในจำนวนนั้น ขุนลอได้มาสร้างประเทศลานช้าง คือลาวเดี๋ยวนี้ มีเมืองสำคัญคือเมืองเชียงกง เชียงทอง(หลวงพระบาง) และขุนไสยผงหรือไชยพงศ์ได้เข้ามาทางแม่น้ำปิงมาตั้งเมืองเงินยางเชียงแสนขึ้น เป็นปฐมบรรพบุรุษของคนไทยในประเทศไทยลูกหลานของขุนไสยผงได้เดินทางลงมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้นตระกูลของราชวงศ์สุโขทัยและอู่ทองภายหลัง ในพุทธศตวรรษที่ 18 นี้คนไทยในถิ่นต่าง ๆ อยู่ในขั้นสร้างบ้านแปงเมืองอย่างแข็งขันโดยทางลุ่มเเม่น้ำปิง มีพ่อขุนเม็งรายเป็นหัวหน้า ทางลานช้างมีพระเจ้าฟ้างุ้ม ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พระเจ้าเม็งรายเป็นราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง กษัตริย์แห่งนครเงินยาง(เชียงแสนเก่า) เป็นพระสหายร่วมน้ำสาบานกับพระเจ้างำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยาและพระเจ้ารามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย พระองค์ทรงรวบรวมเผ่าไทยในลานนาขับไล่อิทธิพลของพวกมอญออกไปจากลุ่มแม่น้ำปิง ต้องทำสงครามกับพระเจ้าญีบาแห่งหริภุญไชยอย่างหนักหน่วงจนทรงชนะในที่สุด และต่อมาทรงเลือกชัยภูมิที่บริเวณเชิงเขาสุเทวบรรพต บนฝั่งขวาของแม่น้ำปิงสร้างราชธานีใหม่ขึ้น ขนานนามว่า “นวบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เสด็จประทับเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลานนาไทย โปรดให้สถาปนาพระตำหนักเดิมขึ้นเป็นวัด ใช้ชื่อว่า วัดเชียงมั่น ประดิษฐานพระเสต็งคมณี(พระแก้วขาว) ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหริภุญไชย อันพระนางจามเทวีทรงนำมาแต่อาณาจักรทวาราวดี ด้วยเหตุนี้อาณาจักรหริภุญไชยของมอญ ซึ่งตั้งมาถึง 6–7ศตวรรษมีกษัตริย์ปกครองกว่า 40 พระองค์ ก็เป็นอันดับสูญไป
พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าเม็งราย(ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา)
พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าเม็งรายเป็นแบบเถรวาท ที่รับมาจากมอญ ศิลปกรรมทางศาสนามีปฏิมากรรมเป็นต้นเป็นแบบทวาราวดี เป็นเมืองเชียงแสนยุคต้นและเชียงแสนยุคหลัง พงศาวดารเมืองเหนือกล่าวว่า ในสมัยพระเจ้าเม็งรายมีคณะสงฆ์จากลังกาเข้ามา ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาถวายด้วยที่วัดเชียงมั่นพบพระพุทธรูปแบบปาละ ซึ่งอิทธิพลแบบปาละจะแผ่เข้ามาถึง หรือมีผู้นำติดตัวมาจากอินเดียลงไปที่นั้นก็ได้
ศตวรรษที่ 18 มีการตั้งถิ่นฐานดังมีปรากฏเป็นหลักฐานดังนี้
1. บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง - พ่อขุนเม็งรายเป็นผู้ตั้งเมือง
2. บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา – พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นผู้ตั้งเมือง
3. บริเวณลานช้าง – ขุนลอ เป็นผู้ตั้งเมือง
พุทธศิลป์สมัยพ่อขุนเม็งราย
พุทธศิลป์ในยุคพ่อขุนเม็งรายโดยมากได้รับอิทธิพลมากจากกรุงทวาราวดี และได้แบ่งพุทธศิลป์ออกเป็น 2 ยุค คือ
1. พุทธศิลป์แบบเชียงแสนยุคต้น
2. พุทธศิลป์แบบเชียงแสนยุคหลัง
พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าเม็งรายเป็นแบบเถรวาท ที่รับมาจากมอญ ศิลปกรรมทางศาสนามีปฏิมากรรมเป็นต้นเป็นแบบทวาราวดี เป็นเมืองเชียงแสนยุคต้นและเชียงแสนยุคหลัง พงศาวดารเมืองเหนือกล่าวว่า ในสมัยพระเจ้าเม็งรายมีคณะสงฆ์จากลังกาเข้ามา ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาถวายด้วยที่วัดเชียงมั่นพบพระพุทธรูปแบบปาละ ซึ่งอิทธิพลแบบปาละจะแผ่เข้ามาถึง หรือมีผู้นำติดตัวมาจากอินเดียลงไปที่นั้นก็ได้
ศตวรรษที่ 18 มีการตั้งถิ่นฐานดังมีปรากฏเป็นหลักฐานดังนี้
1. บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง - พ่อขุนเม็งรายเป็นผู้ตั้งเมือง
2. บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา – พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นผู้ตั้งเมือง
3. บริเวณลานช้าง – ขุนลอ เป็นผู้ตั้งเมือง
พุทธศิลป์สมัยพ่อขุนเม็งราย
พุทธศิลป์ในยุคพ่อขุนเม็งรายโดยมากได้รับอิทธิพลมากจากกรุงทวาราวดี และได้แบ่งพุทธศิลป์ออกเป็น 2 ยุค คือ
1. พุทธศิลป์แบบเชียงแสนยุคต้น
2. พุทธศิลป์แบบเชียงแสนยุคหลัง
พระเจ้ากือนาธรรมิกราช (ตื้อนา)
พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เข้าไปเจริญรุ่งเรืองในสมัยพระองค์ ในขณะนั้นมีพระจากลังกาเดินทางมาอยู่ที่เมาะตะมะ คือพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี พระเจ้ากือนาได้ส่งราชทูตไปนิมนต์มาที่เมืองของพระองค์ แต่พระอุทุมพรบุบผามหาสวามี มีอายุมากเดินทางลำบาก จึงได้ส่งพระอานันทเถระผู้เป็นหลานไปแทน เมื่อไปถึงพระเจ้ากือนาต้องการให้ทำพิธีบรรพชาอุปสมบท พระอานันทเถระจึงได้ทูลพระเจ้ากือนาให้ไปนิมนต์พระสุมนะเถระมาเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอโนมทัสสี มาเป็นพระกรรมวาจา ในการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรชาวเมืองเพื่อสืบทอดศาสนา พระเจ้ากือนาพระองค์ทรงสร้าง เจดีย์วัดสวนดอก เจดีย์สุเทวบรรพรต(ดอยสุเทพ)
พระเจ้าแสนเมืองพระโอรสของพระเจ้ากือนา ทรงสร้างวัดพระสิงห์ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์
พระเจ้าสามฝั่งแกน ครองราชย์ประมาณปี พุทธศักราช 1954 เป็นต้นมา พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนา สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ พระองค์ให้สร้างวัดมุมเมืองเพื่อเก็บทรัพย์สินและผลประโยชน์ของวัดต่าง ๆ ทั้งเมืองมารวมไว้ที่เดียวกันคือที่วัดมุมเมืองแห่งนี้ จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์หลายรูปเกิดความไม่พอใจ และมีบางรูปได้เดินทางไปที่ประเทศลังกา เช่น พระเมธังกร พระญาณมงคล และพระมอญ พระเขมร ฯลฯ
เหตุผลในการเดินทางไปลังกาของพระเถรเหล่านั้น คือ
1. เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
2. เพื่ออุปสมบทใหม่ (ในสมัยนั้นพระที่เดินทางไปอยู่ที่ลังกาจะต้องเข้าอุปสมบทใหม่ในสีมากลางแม่น้ำกัลยาณีคงคา เรียกว่า อุทกสีมา โดยมีพระธรรมสวามี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวันรัต เป็นพระกรรมวาจา)
หลังจากบ้านเมืองทางสยามเกิดสงบลงจึงได้เดินทางกลับมาและได้นิมนต์พระชาวลังกามาด้วย 2 รูป คือ 1. พระอุตตมปัญญาสามี 2 . พระวิกรมพาหุสามี พระชาวลังกาทั้งสองรูปนี้เมื่อมาแล้วก็ได้บวชกุลบุตรที่ประเทศไทยและได้ตั้งนิกายใหม่ เรียกว่า “นิกายลังกาวงศ์ใหม่”
เพราะฉะนั้นจึงทำให้ในล้านนาตอนนั้นมีนิกายทางพระพุทธศาสนา อยู่ถึง 3 นิกาย คือ
1. นิกายเดิม
2. นิกายลังกาวงศ์เก่า (สุโขทัย)
3. นิกายลังกาวงศ์ใหม่ (ลังกา)
พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เข้าไปเจริญรุ่งเรืองในสมัยพระองค์ ในขณะนั้นมีพระจากลังกาเดินทางมาอยู่ที่เมาะตะมะ คือพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี พระเจ้ากือนาได้ส่งราชทูตไปนิมนต์มาที่เมืองของพระองค์ แต่พระอุทุมพรบุบผามหาสวามี มีอายุมากเดินทางลำบาก จึงได้ส่งพระอานันทเถระผู้เป็นหลานไปแทน เมื่อไปถึงพระเจ้ากือนาต้องการให้ทำพิธีบรรพชาอุปสมบท พระอานันทเถระจึงได้ทูลพระเจ้ากือนาให้ไปนิมนต์พระสุมนะเถระมาเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอโนมทัสสี มาเป็นพระกรรมวาจา ในการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรชาวเมืองเพื่อสืบทอดศาสนา พระเจ้ากือนาพระองค์ทรงสร้าง เจดีย์วัดสวนดอก เจดีย์สุเทวบรรพรต(ดอยสุเทพ)
พระเจ้าแสนเมืองพระโอรสของพระเจ้ากือนา ทรงสร้างวัดพระสิงห์ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์
พระเจ้าสามฝั่งแกน ครองราชย์ประมาณปี พุทธศักราช 1954 เป็นต้นมา พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนา สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ พระองค์ให้สร้างวัดมุมเมืองเพื่อเก็บทรัพย์สินและผลประโยชน์ของวัดต่าง ๆ ทั้งเมืองมารวมไว้ที่เดียวกันคือที่วัดมุมเมืองแห่งนี้ จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์หลายรูปเกิดความไม่พอใจ และมีบางรูปได้เดินทางไปที่ประเทศลังกา เช่น พระเมธังกร พระญาณมงคล และพระมอญ พระเขมร ฯลฯ
เหตุผลในการเดินทางไปลังกาของพระเถรเหล่านั้น คือ
1. เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
2. เพื่ออุปสมบทใหม่ (ในสมัยนั้นพระที่เดินทางไปอยู่ที่ลังกาจะต้องเข้าอุปสมบทใหม่ในสีมากลางแม่น้ำกัลยาณีคงคา เรียกว่า อุทกสีมา โดยมีพระธรรมสวามี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวันรัต เป็นพระกรรมวาจา)
หลังจากบ้านเมืองทางสยามเกิดสงบลงจึงได้เดินทางกลับมาและได้นิมนต์พระชาวลังกามาด้วย 2 รูป คือ 1. พระอุตตมปัญญาสามี 2 . พระวิกรมพาหุสามี พระชาวลังกาทั้งสองรูปนี้เมื่อมาแล้วก็ได้บวชกุลบุตรที่ประเทศไทยและได้ตั้งนิกายใหม่ เรียกว่า “นิกายลังกาวงศ์ใหม่”
เพราะฉะนั้นจึงทำให้ในล้านนาตอนนั้นมีนิกายทางพระพุทธศาสนา อยู่ถึง 3 นิกาย คือ
1. นิกายเดิม
2. นิกายลังกาวงศ์เก่า (สุโขทัย)
3. นิกายลังกาวงศ์ใหม่ (ลังกา)
พระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงของไทยอยู่ถึง 417 ปี ในช่วงระเวลาทั้งหมดนี้มีกษัตริย์ทรงปกครองเมืองถึง 33 พระองค์ ในจำนวน กษัตริย์ทั้งหมดแบ่งเป็นราชวงศ์ได้ 5 ราชวงศ์ คือ
1. ราชวงศ์เชียงราย
2. ราชวงศ์สุวรรณภูมิ
3. ราชวงศ์สุโขทัย
4. ราชวงศ์ปราสาททอง
5. ราชวงศ์พลูหลวง
กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงของไทยอยู่ถึง 417 ปี ในช่วงระเวลาทั้งหมดนี้มีกษัตริย์ทรงปกครองเมืองถึง 33 พระองค์ ในจำนวน กษัตริย์ทั้งหมดแบ่งเป็นราชวงศ์ได้ 5 ราชวงศ์ คือ
1. ราชวงศ์เชียงราย
2. ราชวงศ์สุวรรณภูมิ
3. ราชวงศ์สุโขทัย
4. ราชวงศ์ปราสาททอง
5. ราชวงศ์พลูหลวง
พระพุทธศาสนาสมัยพระบรมไตรโลกนาถ
พระบรมไตรโลกนาถทรงครองราชย์ประมาณปี พ. ศ. 1991 เป็นต้นมา พระองค์ทรงครองราชย์อยู่ 40 ปี พระองค์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วง(พระมารดาเป็นพระธิดาของกรุงสุโขทัย) พระองค์ปกครองบ้านเมืองระบอบเดียวกันกับกรุงสุโขทัย คือธรรมราชา พระไปประทับอยู่ที่พระราชวังเมืองพิษณุโลก ทรงดำเนินนโยบายการปกครองประเทศตามอย่างพระราชา 2 พระองค์ คือ ตามอย่าง พระธรรมราชาลิไทและพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากถึงกับได้ลาพักราชการออกผนวชที่วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชนัดดาและข้าราชการรวมทั้งหมดถึง 1,000 เศษ เป็นเวลา 8 เดือน (หลักฐานจากพงศาวดารของหลวงประเสริฐเขียนไว้) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกในกรุงศรีอยุธยาที่ทรงผนวชในขณะที่กำลังครองราชย์อยู่ หลังจากที่พระองค์ลาสึกจากการผนวชแล้ว พระองค์ทรงสนับสนุนให้พระราชโอรสและพระราชนัดดาและข้าราชการให้ลาข้าราชการออกบวชในพระพุทธศาสนาและในขณะที่ออกบวชก็ยังจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือนขณะบวช เรียกเงินประเภทนี้ว่า เงิน “ราชภัต”
ในศตวรรษที่ 21 นี้ พระสงฆ์จากลานนาและกรุงศรีอยุธยาไปบวชเรียนจากสำนักพระวันรัตที่ลังกา แล้วมาฟื้นนิกายลังกาวงศ์ขึ้นใหม่แบบสำนักพระวันรัต พระองค์ทรงโปรดให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตสมัยนั้นแต่งหนังสือโดยอาศัยคัมภีร์พระไตรปิฎกหนังสืออ้างอิง เรื่อง “มหาชาติคำหลวง” ในปี พ. ศ. 2025 ถือเป็นวรรณคดีเล่มแรกของกรุงศรีอยุธยา การที่คนไทยนิยมฟังเทศน์มหาชาติได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา แต่อิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังของการฟังเทศน์มหาชาติอยู่ที่เรื่องพระมาลัยเทวเถระ และพระองค์โปรดให้สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับวัดพระเเก้วในปัจจุบัน โปรดให้หล่อรูปพระโพธิสัตว์ 500 ชาติไว้ในวัดนั้น ปัจจุบันยังคงเหลืออยู่สองสามรูป
พุทธศิลป์ในยุคพระบรมไตรโลกนาถ
ยุคนี้ได้สืบทอดแบบการสร้างพระพุทธรูปแบบ สมัยลพบุรี และ ลังกาวงศ์ เช่นมีปรากฏพุทธศิลป์ให้เห็นได้ เช่น ที่วัดพุทไธสวรรค์ , วัดพระราม , วัดมหาธาตุ เป็นต้น ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปยืน สูง 8 วา พระอุระกว้าง 11 ศอก น้ำหนัก 50,000 ชั่ง หล่อแล้วแผ่ทองคำหุ้ม หนัก 200 กว่าชั่ง พระพักตร์ยาว 4 ศอก ใช้เวลาหล่อตกแต่ง 3 ปีจึงแล้วเสร็จ ถวายพระนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์” คิดเป็นราคาทองในตลาดปัจจุบัน 15 ล้านบาท นับว่าเป็นพระพุทธรูปทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ถูกพม่าทำลายเมื่อคราวกรุงแตกครั้งที่ 2 แต่เราสามารถหาตัวอย่างดูได้จากพระพุทธรูปใหญ่อีกองค์หนึ่ง คือ พระโลกนาถ ซึ่งหล่อในสมัยพระเจ้าบรมราชาหน่อพุทธางกูร เป็นพระพุทธรูปยืนสูง 5 วา อยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ด้วยกัน ปัจจุบันอยู่ในวิหารมุขตะวันออก วัดพระเชตุพน
พระบรมไตรโลกนาถทรงครองราชย์ประมาณปี พ. ศ. 1991 เป็นต้นมา พระองค์ทรงครองราชย์อยู่ 40 ปี พระองค์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วง(พระมารดาเป็นพระธิดาของกรุงสุโขทัย) พระองค์ปกครองบ้านเมืองระบอบเดียวกันกับกรุงสุโขทัย คือธรรมราชา พระไปประทับอยู่ที่พระราชวังเมืองพิษณุโลก ทรงดำเนินนโยบายการปกครองประเทศตามอย่างพระราชา 2 พระองค์ คือ ตามอย่าง พระธรรมราชาลิไทและพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากถึงกับได้ลาพักราชการออกผนวชที่วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชนัดดาและข้าราชการรวมทั้งหมดถึง 1,000 เศษ เป็นเวลา 8 เดือน (หลักฐานจากพงศาวดารของหลวงประเสริฐเขียนไว้) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกในกรุงศรีอยุธยาที่ทรงผนวชในขณะที่กำลังครองราชย์อยู่ หลังจากที่พระองค์ลาสึกจากการผนวชแล้ว พระองค์ทรงสนับสนุนให้พระราชโอรสและพระราชนัดดาและข้าราชการให้ลาข้าราชการออกบวชในพระพุทธศาสนาและในขณะที่ออกบวชก็ยังจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือนขณะบวช เรียกเงินประเภทนี้ว่า เงิน “ราชภัต”
ในศตวรรษที่ 21 นี้ พระสงฆ์จากลานนาและกรุงศรีอยุธยาไปบวชเรียนจากสำนักพระวันรัตที่ลังกา แล้วมาฟื้นนิกายลังกาวงศ์ขึ้นใหม่แบบสำนักพระวันรัต พระองค์ทรงโปรดให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตสมัยนั้นแต่งหนังสือโดยอาศัยคัมภีร์พระไตรปิฎกหนังสืออ้างอิง เรื่อง “มหาชาติคำหลวง” ในปี พ. ศ. 2025 ถือเป็นวรรณคดีเล่มแรกของกรุงศรีอยุธยา การที่คนไทยนิยมฟังเทศน์มหาชาติได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา แต่อิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังของการฟังเทศน์มหาชาติอยู่ที่เรื่องพระมาลัยเทวเถระ และพระองค์โปรดให้สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับวัดพระเเก้วในปัจจุบัน โปรดให้หล่อรูปพระโพธิสัตว์ 500 ชาติไว้ในวัดนั้น ปัจจุบันยังคงเหลืออยู่สองสามรูป
พุทธศิลป์ในยุคพระบรมไตรโลกนาถ
ยุคนี้ได้สืบทอดแบบการสร้างพระพุทธรูปแบบ สมัยลพบุรี และ ลังกาวงศ์ เช่นมีปรากฏพุทธศิลป์ให้เห็นได้ เช่น ที่วัดพุทไธสวรรค์ , วัดพระราม , วัดมหาธาตุ เป็นต้น ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปยืน สูง 8 วา พระอุระกว้าง 11 ศอก น้ำหนัก 50,000 ชั่ง หล่อแล้วแผ่ทองคำหุ้ม หนัก 200 กว่าชั่ง พระพักตร์ยาว 4 ศอก ใช้เวลาหล่อตกแต่ง 3 ปีจึงแล้วเสร็จ ถวายพระนามว่า “พระศรีสรรเพชญ์” คิดเป็นราคาทองในตลาดปัจจุบัน 15 ล้านบาท นับว่าเป็นพระพุทธรูปทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ถูกพม่าทำลายเมื่อคราวกรุงแตกครั้งที่ 2 แต่เราสามารถหาตัวอย่างดูได้จากพระพุทธรูปใหญ่อีกองค์หนึ่ง คือ พระโลกนาถ ซึ่งหล่อในสมัยพระเจ้าบรมราชาหน่อพุทธางกูร เป็นพระพุทธรูปยืนสูง 5 วา อยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ด้วยกัน ปัจจุบันอยู่ในวิหารมุขตะวันออก วัดพระเชตุพน
พระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2163 เป็นต้นมา)
พระนามเดิมของพระองค์ว่า “ศรีสิงห์” บวชจนได้เป็นพระราชาคณะที่ “พระพิมลธรรม” ทรงอุทิศพระที่นั่งจอมทอง 3 หลัง บอกหนังสือบาลีแก่พระภิกษุสามเณรที่เดินผลัดเวียนกันมาศึกษาโดยพระองค์เอง เมื่อพวกญี่ปุ่นเป็นกบฏยกเข้าวังหลวงจะจับพระเจ้าแผ่นดิน พระภิกษุสามเณรก็พากันช่วยป้องเอาไว้ได้ ในรัชสมัยของพระองค์มีพระภิกษุไทยที่กลับจากไปศึกษาที่ลังกา ทูลว่า พระสงฆ์ลังกายืนยันว่า มีรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยแน่แท้ คือ พระศาสดาได้ประทับรอยพระบาทไว้ในมงคลสถาน 5 แห่ง และได้ค้นพบ หลังจากนั้นพระองค์ให้สร้างมณฑปปกคลุมรอยพระพุทธบาท และมีกวีเอกในสมัยนั้น ชื่อว่า เจ้าฟ้ากุ้ง(เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร) ได้แต่งหนังสือ กาพย์ห่อโคลง ประภาสธารทองเเดง , กาพย์ห่อโคลง นิราศพระบาท
พระองค์ทรงสร้างมณฑปครอบพระมงคลบพิตร แต่งกาพย์มหาชาติ ประมาณ พ. ศ. 2170 ทรงสร้างพระไตรปิฎก(ฉบับสมบูรณ์) และในสมัยของพระองค์ประชาชนนิยมสร้างวัดเป็นจำนวนมาก เหตุที่สร้างวัดมากในสมัยนั้น
1. เพื่อบรรจุอัฐิของบรรพบุรุษ
2. เพื่อเป็นสถานศึกษาพระธรรมวินัย และตามที่ได้บันทึกไว้ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรมมีความตอนหนึ่งว่า “บ้านเมืองสงบดีเขาสร้างวัดให้ลูกหลานเล่น”
พระนามเดิมของพระองค์ว่า “ศรีสิงห์” บวชจนได้เป็นพระราชาคณะที่ “พระพิมลธรรม” ทรงอุทิศพระที่นั่งจอมทอง 3 หลัง บอกหนังสือบาลีแก่พระภิกษุสามเณรที่เดินผลัดเวียนกันมาศึกษาโดยพระองค์เอง เมื่อพวกญี่ปุ่นเป็นกบฏยกเข้าวังหลวงจะจับพระเจ้าแผ่นดิน พระภิกษุสามเณรก็พากันช่วยป้องเอาไว้ได้ ในรัชสมัยของพระองค์มีพระภิกษุไทยที่กลับจากไปศึกษาที่ลังกา ทูลว่า พระสงฆ์ลังกายืนยันว่า มีรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยแน่แท้ คือ พระศาสดาได้ประทับรอยพระบาทไว้ในมงคลสถาน 5 แห่ง และได้ค้นพบ หลังจากนั้นพระองค์ให้สร้างมณฑปปกคลุมรอยพระพุทธบาท และมีกวีเอกในสมัยนั้น ชื่อว่า เจ้าฟ้ากุ้ง(เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร) ได้แต่งหนังสือ กาพย์ห่อโคลง ประภาสธารทองเเดง , กาพย์ห่อโคลง นิราศพระบาท
พระองค์ทรงสร้างมณฑปครอบพระมงคลบพิตร แต่งกาพย์มหาชาติ ประมาณ พ. ศ. 2170 ทรงสร้างพระไตรปิฎก(ฉบับสมบูรณ์) และในสมัยของพระองค์ประชาชนนิยมสร้างวัดเป็นจำนวนมาก เหตุที่สร้างวัดมากในสมัยนั้น
1. เพื่อบรรจุอัฐิของบรรพบุรุษ
2. เพื่อเป็นสถานศึกษาพระธรรมวินัย และตามที่ได้บันทึกไว้ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรมมีความตอนหนึ่งว่า “บ้านเมืองสงบดีเขาสร้างวัดให้ลูกหลานเล่น”
พระพุทธศาสนาสมัยพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.2199เป็นต้นมา)
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปราสาททองแห่งราชวงศ์ปราสาททอง ในสมัยของพระองค์มีการบวชเรียนกันมาก มีข้าราชการบางคนหนีข้าราชการบวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัย หลวงสรศักดิ์ จึงได้กราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องนี้ หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงมีบัญชาให้ผู้นำสงฆ์ประชุมสงฆ์เพื่อสอบความรู้เรื่อง พระธรรมวินัย ถ้าพระไม่มีความรู้เรื่องพระธรรมวินัย ก็จะโดนจับสึก
ในสมัยนั้น มีการค้าขายกับชาวต่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย มี พวกโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น ในยุคนี้จึงมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและถือว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทยต้องผจญกับอันตรายที่เกิดขึ้นจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคเป็นครั้งแรกโดย มีพ่อค้าได้นำศาสนาคริสต์(มิชชันนารี)เข้ามา พระองค์จึงออกกฎหมายกฤษฎีการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะเป็นการต่อรองให้ประเทศรอดพ้นจากการที่ประเทศจะตกเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในรัชสมัยของพระชัยราชาธิราช โดยติดตามพวกโปรตุเกสเข้ามา แต่ในสมัยนั้นมีคนนับถือน้อย ส่วนมากก็เป็นพวกโปรตุเกสเอง ต่อมาพวกบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเข้ามา พระนารายณ์มหาราชได้ทรงมีพระราชหัตถ์เลขาไปถึงโป๊ปอินโนเซ้นท์ ที่วาติกัน โป๊ปจึงได้ส่งบาทหลวงเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยาโดยตรง และถือว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรในเอเซีย ทั้งนี้เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในขณะที่รัฐบาลจีน ญี่ปุ่น ญวน ตั้งข้อรังเกียจต่อศาสนาคริสต์ว่าเป็นผู้มาเบียดเบียนทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคริสตศาสนิกชนอยู่ประมาณ 2 แสนคน คนเหล่านั้นให้ความเคารพเชื่อฟังบาทหลวงยิ่งเสียกว่ารัฐบาล เวลาญี่ปุ่นรบกับฝรั่ง พวกชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์ กลับเป็นแนวที่ 5 ให้กับฝรั่ง จนท่านมหาอำมาตย์ญี่ปุ่น ชื่อ ดิเดโยชิ ถึงกับอุทานว่า “ประเทศญี่ปุ่นมีแนวที่ 5 อยู่ถึง 2 แสนคนเชียวหรือ”
ดังนั้น เมื่อศาสนาคริสต์เข้าไปในประเทศเหล่านั้น จึงไม่ได้รับการต้อนรับจากรัฐบาล ตรงข้ามกับในกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ศาสนาทุกศาสนา พระราชทานที่ให้สร้างโบสถ์หรือวัดเซนต์เปาโล ที่จ. ลพบุรี และวัดเซนต์โยเซฟ ที่จ. อยุธยา พระราชทานทรัพย์เกื้อกูลแก่ศาสนาคริสต์ จนถึงประกาศเป็นพระบรมราชโองการให้ประชาชนเลือกนับถือศาสนาตามศรัทธาของตน โปรดให้บาทหลวงเเปลคัมภีร์ไบเบิลให้ฟัง ในขณะเดียวกันก็ให้ทูตทางเปอร์เซียแปลคัมภีร์อัลกูรอานให้ฟัง โป๊ปจึงตั้งศูนย์คริสตจักรขึ้นในเมืองไทย และตั้งตั้งโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับผลิตนักเผยแผ่ เพื่อส่งไปเผยเเผ่ศาสนาในประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า ญวน และมลายู อีกด้วย
จากจดหมายเหตุของบาทหลวงคริสต์ พบว่า คนไทยได้เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนพัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวป่า ชาวเขา เชลยที่ทางรัฐบาลไทยได้จับมา คนที่ไปนับถือศาสนาคริสต์จึงเป็นพวกมีการศึกษาน้อย ในสมัยนั้นอิทธิพลของพระสงฆ์ยังมีอยู่มาก การทำงานของพระสงฆ์จึงหนักเพิ่มขึ้น นอกจากจะต้องแนะนำสั่งสอนศาสนธรรมแก่ประชาชนคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ยังต้องไปดึงคนไทยที่ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ให้กลับมานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนเดิม โดยการชี้แจงเปรียบเทียบให้คนเหล่านั้นมองเห็นความดีงามของศาสนาทั้งสองแล้วพิจารณาเลือกเอาเองว่า ควรจะนับถือศาสนาอะไร แม้คนที่บาทหลวงนำไปรับศีลมหาสนิท ล้างบาปแล้ว ก็ถูกพระสงฆ์กลับใจให้กลับมาเป็นพุทธศาสนิกชนอีกเป็นจำนวนมาก บาทหลวงนั้นเข้าใจผิดคิดว่า การที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้การอุปถัมภ์บำรุงยกย่องสนับสนุนกิจกรรมของศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ แสดงว่าพระองค์ทรงมีความเคารพนับถือเลื่อมใสในศาสนาคริสต์ จนถึงกับได้ใช้ความเพียรพยายามที่จะโน้มน้าวพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้เป็นคริสตศาสนิกชนและคนที่บทบาทในเรื่องนี้อย่างสำคัญ คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน ที่เป็นฝรั่งชาติกรีก เดิมชื่อว่า เยรากี ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นฟอลคอน เดิมทีเดียวเป็นคนจรจัดได้สมัครเป็นกลาสีติดตามสินค้ามาทางตะวันออก ท่องเที่ยวไปหลายหัวเมือง ฟอลคอนได้วางแผนร่วมมือกับฝรั่งเศสที่จะเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้น แม้ว่าเดิมทีเดียวเยรากีหรือฟอลคอนจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปแตสแตนท์ก็ตาม แต่เพราะต้องการจะอาศัยอิทธิพลของฝรั่งเศส จึงได้เปลี่ยนเป็นโรมันแคธอลิค พระเจ้าหลุยที่ 14 ของฝรั่งเศสได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้แก่ฟอลคอน พร้อมทั้งอิสริยาภรณ์หรือบองออนเนอร์ และได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าช่วยให้เมืองไทยเป็นเมืองขึ้นได้ ก็จะให้กลับไปรับราชการอยู่ที่ปารีส แผนการที่จะเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นจึงได้ถูกกำหนดขึ้น
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปราสาททองแห่งราชวงศ์ปราสาททอง ในสมัยของพระองค์มีการบวชเรียนกันมาก มีข้าราชการบางคนหนีข้าราชการบวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัย หลวงสรศักดิ์ จึงได้กราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องนี้ หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงมีบัญชาให้ผู้นำสงฆ์ประชุมสงฆ์เพื่อสอบความรู้เรื่อง พระธรรมวินัย ถ้าพระไม่มีความรู้เรื่องพระธรรมวินัย ก็จะโดนจับสึก
ในสมัยนั้น มีการค้าขายกับชาวต่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย มี พวกโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น ในยุคนี้จึงมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและถือว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทยต้องผจญกับอันตรายที่เกิดขึ้นจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคเป็นครั้งแรกโดย มีพ่อค้าได้นำศาสนาคริสต์(มิชชันนารี)เข้ามา พระองค์จึงออกกฎหมายกฤษฎีการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะเป็นการต่อรองให้ประเทศรอดพ้นจากการที่ประเทศจะตกเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในรัชสมัยของพระชัยราชาธิราช โดยติดตามพวกโปรตุเกสเข้ามา แต่ในสมัยนั้นมีคนนับถือน้อย ส่วนมากก็เป็นพวกโปรตุเกสเอง ต่อมาพวกบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเข้ามา พระนารายณ์มหาราชได้ทรงมีพระราชหัตถ์เลขาไปถึงโป๊ปอินโนเซ้นท์ ที่วาติกัน โป๊ปจึงได้ส่งบาทหลวงเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยาโดยตรง และถือว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรในเอเซีย ทั้งนี้เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในขณะที่รัฐบาลจีน ญี่ปุ่น ญวน ตั้งข้อรังเกียจต่อศาสนาคริสต์ว่าเป็นผู้มาเบียดเบียนทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคริสตศาสนิกชนอยู่ประมาณ 2 แสนคน คนเหล่านั้นให้ความเคารพเชื่อฟังบาทหลวงยิ่งเสียกว่ารัฐบาล เวลาญี่ปุ่นรบกับฝรั่ง พวกชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์ กลับเป็นแนวที่ 5 ให้กับฝรั่ง จนท่านมหาอำมาตย์ญี่ปุ่น ชื่อ ดิเดโยชิ ถึงกับอุทานว่า “ประเทศญี่ปุ่นมีแนวที่ 5 อยู่ถึง 2 แสนคนเชียวหรือ”
ดังนั้น เมื่อศาสนาคริสต์เข้าไปในประเทศเหล่านั้น จึงไม่ได้รับการต้อนรับจากรัฐบาล ตรงข้ามกับในกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ศาสนาทุกศาสนา พระราชทานที่ให้สร้างโบสถ์หรือวัดเซนต์เปาโล ที่จ. ลพบุรี และวัดเซนต์โยเซฟ ที่จ. อยุธยา พระราชทานทรัพย์เกื้อกูลแก่ศาสนาคริสต์ จนถึงประกาศเป็นพระบรมราชโองการให้ประชาชนเลือกนับถือศาสนาตามศรัทธาของตน โปรดให้บาทหลวงเเปลคัมภีร์ไบเบิลให้ฟัง ในขณะเดียวกันก็ให้ทูตทางเปอร์เซียแปลคัมภีร์อัลกูรอานให้ฟัง โป๊ปจึงตั้งศูนย์คริสตจักรขึ้นในเมืองไทย และตั้งตั้งโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับผลิตนักเผยแผ่ เพื่อส่งไปเผยเเผ่ศาสนาในประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า ญวน และมลายู อีกด้วย
จากจดหมายเหตุของบาทหลวงคริสต์ พบว่า คนไทยได้เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนพัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวป่า ชาวเขา เชลยที่ทางรัฐบาลไทยได้จับมา คนที่ไปนับถือศาสนาคริสต์จึงเป็นพวกมีการศึกษาน้อย ในสมัยนั้นอิทธิพลของพระสงฆ์ยังมีอยู่มาก การทำงานของพระสงฆ์จึงหนักเพิ่มขึ้น นอกจากจะต้องแนะนำสั่งสอนศาสนธรรมแก่ประชาชนคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ยังต้องไปดึงคนไทยที่ไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ให้กลับมานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนเดิม โดยการชี้แจงเปรียบเทียบให้คนเหล่านั้นมองเห็นความดีงามของศาสนาทั้งสองแล้วพิจารณาเลือกเอาเองว่า ควรจะนับถือศาสนาอะไร แม้คนที่บาทหลวงนำไปรับศีลมหาสนิท ล้างบาปแล้ว ก็ถูกพระสงฆ์กลับใจให้กลับมาเป็นพุทธศาสนิกชนอีกเป็นจำนวนมาก บาทหลวงนั้นเข้าใจผิดคิดว่า การที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้การอุปถัมภ์บำรุงยกย่องสนับสนุนกิจกรรมของศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ แสดงว่าพระองค์ทรงมีความเคารพนับถือเลื่อมใสในศาสนาคริสต์ จนถึงกับได้ใช้ความเพียรพยายามที่จะโน้มน้าวพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้เป็นคริสตศาสนิกชนและคนที่บทบาทในเรื่องนี้อย่างสำคัญ คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน ที่เป็นฝรั่งชาติกรีก เดิมชื่อว่า เยรากี ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นฟอลคอน เดิมทีเดียวเป็นคนจรจัดได้สมัครเป็นกลาสีติดตามสินค้ามาทางตะวันออก ท่องเที่ยวไปหลายหัวเมือง ฟอลคอนได้วางแผนร่วมมือกับฝรั่งเศสที่จะเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้น แม้ว่าเดิมทีเดียวเยรากีหรือฟอลคอนจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปแตสแตนท์ก็ตาม แต่เพราะต้องการจะอาศัยอิทธิพลของฝรั่งเศส จึงได้เปลี่ยนเป็นโรมันแคธอลิค พระเจ้าหลุยที่ 14 ของฝรั่งเศสได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้แก่ฟอลคอน พร้อมทั้งอิสริยาภรณ์หรือบองออนเนอร์ และได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าช่วยให้เมืองไทยเป็นเมืองขึ้นได้ ก็จะให้กลับไปรับราชการอยู่ที่ปารีส แผนการที่จะเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นจึงได้ถูกกำหนดขึ้น
แผนการยึดเมืองไทยของฝรั่งเศส
- ให้ทำลายอิทธิพลของพระพุทธศาสนา โดยส่งบาทหลวงเป็นจำนวนมากเข้ามา และมีสาส์นจากโป๊ปอินโนเซ้นท์ถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ของร้องให้ทรงคุ้มครองโรมันแคธอลิคในประเทศไทย โดยหวังว่า เมื่อคนไทยนับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้น ก็จะได้คนเหล่านี้ในการยึดครองประเทศไทย
- พยายามเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมด้วยพระราชวงศ์ผู้ใหญ่และขุนนางที่มีอิทธิพลในบ้านเมืองให้เข้ารีต ซึ่งถ้าใครเข้ารีตก็จะตอบแทนด้วยตำแหน่งหน้าทีการงานในเมืองไทย หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ยึดครองแล้ว ซึ่งเเผนการเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับที่โปรตุเกสเคยใช้สำเร็จมาแล้วในประเทศลังกา
- ส่งทหารเข้าเมืองไทยให้ยึดป้อมสำคัญ ๆ เอาไว้ แผนหลักทั้ง 3 ประการนี้ ได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องกัน แต่เพราะคนไทยรู้เท่าทันถึงแผนการของศาสนาคริสต์ที่จะมุ่งยึดครองประเทศไทย ทำให้รังเกียจศาสนาคริสต์มากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะบาทหลวงไปยุยงส่งเสริมให้คนไทยที่เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ปฏิเสธไม่ยอมร่วมพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น
พระราชพิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยอ้างว่าผิดหลักคำสอนในศาสนาคริสต์ คนเหล่านี้จึงถูกทางการของไทยกล่าวหาว่าเป็นกบฏและนำไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ประกอบกับการเผยเเผ่ศาสนาในลักษณะที่ถือดีว่ามีกองทัพประเทศของตนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง พวกบาทหลวงจึงมักใช้วิธีรุนแรง ในลักษณะที่ยกตนข่มท่าน ทำให้คนไทยมีความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับการพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงไปเข้ารีตนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ส่งราชทูตมาขอร้องให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเข้ารีต โดยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นคนกลาง แต่เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีความเคารพนับถือในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงไม่ทรงยอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ประกอบกับข้อความที่ปรากฏในพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีใจความลักษณะเชิดชูศาสนาของตนเองมากจนเกินไป และยกตนข่มท่าน จนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับสั่ง ฝากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นใจความว่า ใครไปทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสว่า เราจะนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน ก็ทูลว่า พวกบาทหลวงที่มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้กราบทูลไว้ โดยเห็นการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์บำรุงศาสนาต่าง ๆ จึงเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงชี้แจงให้เข้าใจว่า
“เรื่องของความเป็นมิตรสนิทสนมส่วนตัวระหว่างพระองค์กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การจะเปลี่ยนศาสนาซึ่งนับถือกันมาถึง 2229 ปี ไม่ใช่เป็นของง่าย ถ้าพวกบาทหลวงต้องการจะให้พระองค์นับถือศาสนาคริสต์ ก็ขอให้ชักชวนราษฎรให้เข้ารีตเป็นคริสต์ให้หมดเสียก่อน แล้วพระองค์จะทรงเป็นคริสต์ทีหลัง”
อีกประการหนึ่ง การกระทำของบาทหลวงก็ดี การกระทำของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ดี พระองค์ทรงมีความรู้สึกว่าเป็นการก้าวก่ายกับฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะการที่ศาสนาในโลกมีอยู่หลายศาสนานั้น ก็น่าจะเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงปล่อยให้เป็นไปดังนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดลบันดาลให้มีอยู่เพียงศาสนาเดียว เมื่อพวกคริสต์มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีฤทธิ์มากเช่นนี้ แสดงว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะให้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาไปก่อน ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความประสงค์จะให้พระองค์เข้ารีตเป็นคริสตศาสนิก ก็ขอให้พระเจ้าซึ่งเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ มีอำนาจดลบันดาลให้พระทัยของพระองค์เลื่อมใสในศาสนาคริสต์เสียก่อน เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในวันใด ก็จะทรงเข้ารีต แล้วก็ทรงตบท้ายด้วยประโยคที่คมคายว่า
“เราจึงของฝากชะตากรรมของเราและของกรุงศรีอยุธยา สุดแต่พระผู้เป็นเจ้าจะดลบันดาลเถิด พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เป็นพระสหายของเราอย่าได้ทรงเสียพระทัยเลย”
พระราชดำรัสครั้งนี้ถือว่า เป็นพระดำรัสทางการทูตที่ยอดเยี่ยมมาก ทางฝรั่งเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะโฆษณาสรรพคุณของพระเจ้าตนเองไว้เป็นอันมาก
สำหรับการนำเอาทหารฝรั่งเศสมายึดป้อมต่าง ๆ นั้น อ้างว่าจะมาช่วยไทยรบอังกฤษ ที่จริงทหารเหล่านี้ก็มีแผนที่จะยึดราชบัลลังก์ ตอนมาก็มากันมาก แต่ว่าตายเสียในระหว่างทางบ้าง รัฐบาลไทย ทางราชการไทยไม่ยอมให้พักอยู่ในพระนคร ส่งไปอยู่ทางมะริด และตะนาวศรี มีทหารเหลืออยู่ประมาณ 400 คน รักษาป้อมอยู่ที่เมืองธนบุรี แต่อย่างไรก็ตาม แผนการของคริสต์นั้นสำเร็จไปขั้นหนึ่ง คือนำเอาพระปิยะซึ่งเป็นพระราชโอรสบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้เข้ารีตเป็นโรมันแคธอลิคได้ โดยคนพวกนี้หวังว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคตแล้ว ก็จะยกย่องพระปิยะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนคนไทยนับถือคริสตศาสนาในภายหลัง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเอง ทรงนิยมไปประทับที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์และพระที่นั่งธัญญมหาปราสาทในพระราชวังที่เมืองลพบุรี การที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอนฝักใฝ่กับฝรั่งเศส และมีแผนการจนถึงกับจะยึดครองประเทศไทยเช่นนี้ ทำให้ข้าราชการไทยในสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเพทราชา กับ ขุนหลวงสรศักดิ์ ได้พรักพร้อมกันยึดอำนาจบ้านเมือง เพราะเห็นว่าถ้าปล่อยให้ราชสมบัติตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระปิยะแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะเป็นอันตราย และเพื่อเป็นการตัดรากถอนโคนราชวงศ์ปราสาททอง เจ้านายผู้ใหญ่ที่อยู่สมัยนั้นก็ถูกฆ่าถูกประหารไปเป็นจำนวนมาก แม้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะทรงทราบว่าอะไรเป็นอะไร แต่ในขณะนั้น ทรงพระประชวนหนักอยู่ ทำได้เพียงทรงสาปแช่งพระเพทราชากับขุนหลวงสรศักดิ์เท่านั้น และเมื่อทรงเห็นว่า พระองค์จะสวรรคตแน่แล้ว จึงได้อุทิศพระราชวังที่ลพบุรีให้เป็นวิสุงคามสีมา และให้ข้าราชบริพารของพระองค์บวช เพื่อหนีภัยจากพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ จึงเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ปราสาททองเข้าสู่ยุคราชวงศ์พลูหลวง
สำหรับการพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงไปเข้ารีตนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ส่งราชทูตมาขอร้องให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเข้ารีต โดยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นคนกลาง แต่เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีความเคารพนับถือในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงไม่ทรงยอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ประกอบกับข้อความที่ปรากฏในพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีใจความลักษณะเชิดชูศาสนาของตนเองมากจนเกินไป และยกตนข่มท่าน จนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับสั่ง ฝากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นใจความว่า ใครไปทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสว่า เราจะนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน ก็ทูลว่า พวกบาทหลวงที่มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้กราบทูลไว้ โดยเห็นการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์บำรุงศาสนาต่าง ๆ จึงเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงชี้แจงให้เข้าใจว่า
“เรื่องของความเป็นมิตรสนิทสนมส่วนตัวระหว่างพระองค์กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การจะเปลี่ยนศาสนาซึ่งนับถือกันมาถึง 2229 ปี ไม่ใช่เป็นของง่าย ถ้าพวกบาทหลวงต้องการจะให้พระองค์นับถือศาสนาคริสต์ ก็ขอให้ชักชวนราษฎรให้เข้ารีตเป็นคริสต์ให้หมดเสียก่อน แล้วพระองค์จะทรงเป็นคริสต์ทีหลัง”
อีกประการหนึ่ง การกระทำของบาทหลวงก็ดี การกระทำของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ดี พระองค์ทรงมีความรู้สึกว่าเป็นการก้าวก่ายกับฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะการที่ศาสนาในโลกมีอยู่หลายศาสนานั้น ก็น่าจะเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงปล่อยให้เป็นไปดังนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดลบันดาลให้มีอยู่เพียงศาสนาเดียว เมื่อพวกคริสต์มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีฤทธิ์มากเช่นนี้ แสดงว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะให้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาไปก่อน ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความประสงค์จะให้พระองค์เข้ารีตเป็นคริสตศาสนิก ก็ขอให้พระเจ้าซึ่งเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ มีอำนาจดลบันดาลให้พระทัยของพระองค์เลื่อมใสในศาสนาคริสต์เสียก่อน เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในวันใด ก็จะทรงเข้ารีต แล้วก็ทรงตบท้ายด้วยประโยคที่คมคายว่า
“เราจึงของฝากชะตากรรมของเราและของกรุงศรีอยุธยา สุดแต่พระผู้เป็นเจ้าจะดลบันดาลเถิด พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เป็นพระสหายของเราอย่าได้ทรงเสียพระทัยเลย”
พระราชดำรัสครั้งนี้ถือว่า เป็นพระดำรัสทางการทูตที่ยอดเยี่ยมมาก ทางฝรั่งเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะโฆษณาสรรพคุณของพระเจ้าตนเองไว้เป็นอันมาก
สำหรับการนำเอาทหารฝรั่งเศสมายึดป้อมต่าง ๆ นั้น อ้างว่าจะมาช่วยไทยรบอังกฤษ ที่จริงทหารเหล่านี้ก็มีแผนที่จะยึดราชบัลลังก์ ตอนมาก็มากันมาก แต่ว่าตายเสียในระหว่างทางบ้าง รัฐบาลไทย ทางราชการไทยไม่ยอมให้พักอยู่ในพระนคร ส่งไปอยู่ทางมะริด และตะนาวศรี มีทหารเหลืออยู่ประมาณ 400 คน รักษาป้อมอยู่ที่เมืองธนบุรี แต่อย่างไรก็ตาม แผนการของคริสต์นั้นสำเร็จไปขั้นหนึ่ง คือนำเอาพระปิยะซึ่งเป็นพระราชโอรสบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้เข้ารีตเป็นโรมันแคธอลิคได้ โดยคนพวกนี้หวังว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคตแล้ว ก็จะยกย่องพระปิยะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนคนไทยนับถือคริสตศาสนาในภายหลัง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเอง ทรงนิยมไปประทับที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์และพระที่นั่งธัญญมหาปราสาทในพระราชวังที่เมืองลพบุรี การที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอนฝักใฝ่กับฝรั่งเศส และมีแผนการจนถึงกับจะยึดครองประเทศไทยเช่นนี้ ทำให้ข้าราชการไทยในสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเพทราชา กับ ขุนหลวงสรศักดิ์ ได้พรักพร้อมกันยึดอำนาจบ้านเมือง เพราะเห็นว่าถ้าปล่อยให้ราชสมบัติตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระปิยะแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะเป็นอันตราย และเพื่อเป็นการตัดรากถอนโคนราชวงศ์ปราสาททอง เจ้านายผู้ใหญ่ที่อยู่สมัยนั้นก็ถูกฆ่าถูกประหารไปเป็นจำนวนมาก แม้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะทรงทราบว่าอะไรเป็นอะไร แต่ในขณะนั้น ทรงพระประชวนหนักอยู่ ทำได้เพียงทรงสาปแช่งพระเพทราชากับขุนหลวงสรศักดิ์เท่านั้น และเมื่อทรงเห็นว่า พระองค์จะสวรรคตแน่แล้ว จึงได้อุทิศพระราชวังที่ลพบุรีให้เป็นวิสุงคามสีมา และให้ข้าราชบริพารของพระองค์บวช เพื่อหนีภัยจากพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ จึงเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ปราสาททองเข้าสู่ยุคราชวงศ์พลูหลวง
พระพุทธศาสนาสมัยสมเด็จพระบรมโกษฐ์(พ.ศ. 2275เป็นต้นมา)
สมเด็จพระบรมโกษฐ์พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าเสือ ทรงเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์พลูหลวง พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก กิจการเกี่ยวกับศาสนาในสมัยของพระองค์
สมเด็จพระบรมโกษฐ์พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าเสือ ทรงเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์พลูหลวง พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก กิจการเกี่ยวกับศาสนาในสมัยของพระองค์
- ในสมัยของพระองค์ได้มีการจัดให้ บูรณะวัดเก่าหลายวัด เช่น
(1) วัดพระศรีสรรเพชญ์
(2) วัดพระราม
(3) วัดภูเขาทอง และสร้างเจดีย์แบบย่อไม้ 12 ขึ้น และบูรณะวัดในจังหวัดต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก - ทรงสนับสนุนนักปราชญ์ราชบัณฑิตทางศาสนา และได้มีนักปราชญ์ที่สำคัญในสมัยนั้นคือ
(1) พระมหานาค วัดท่าทราย ได้เขียนเรื่อง ปุณโณวาทคำฉันท์ ยอพระเกียรติของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
(2) ขุนเสนพิทักษ์ ได้เขียนเรื่อง พระมาลัยคำฉันท์ , นันโทปนันทสูตร ฯลฯ
ในพุทธศตวรรษที่ 12 ประเทศลังกาเกิดขาดแคลนพระได้ส่งทูตมาติดต่อขอพระสงฆ์ไปจากเมืองไทยและทางเมืองไทยได้ส่งไปในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งตรงกับแผ่นดินของพระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะแห่งลังกา พระเถระที่ไปในครั้งนั้นก็มี พระอุบาลี พระอริยมุนี เป็นหัวหน้าได้ให้การบรรพชาอุปสมบทในประเทศลังกา ติดต่อกันถึง 4 ปี ว่ากันว่ามีผู้เข้ามาบวชถึง 6,000 รูป และนิกายนี้ก็สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า สยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ พระอุบาลีไม่ได้กลับมาที่ประเทศไทยอีก ท่านอยูที่ลังกาจนมรณภาพที่นั้น
พระเจ้าบรมโกษฐ์ได้ส่งพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปทองคำไปถวายเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ด้วย หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้จัดส่งสมณะทูตไทยไปที่ลังกาอีกเป็นชุดที่ 2 ตามคำขอของพระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ สมณทูตชุดที่ 2 ก็มี พระวิสุทธาจารย์ , พระวรญาณมุนี พร้อมด้วยพระภิกษุ 20 รูปและสามเณร 20 รูป
พระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ได้ส่งบรรณาการมาถวายตอบแทนพระองค์ คือ ได้ส่ง
(1) พระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
(2) พระพุทธรูปแก้ว
พระพุทธศาสนาช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ในปลายรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ไม่มีงานเด่นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา นอกจากมีการทะเลาะวิวาทแย่งชิงราชสมบัติกัน มีการหนีเข้าไปบวช แต่คนที่บวชแล้วก็สึกออกมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุดเมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยา ก็จบลงด้วยความระส่ำระสาย ทั้งทางบ้านเมืองและทางศาสนา ถึงขนาดที่มีคนซึ่งพระจัดตั้งขึ้น เป็นกองทัพ คือ ก๊กพระฝาง ความเชื่อถือของคนในสมัยนั้นหนักไปในด้านไสยศาสตร์ และเมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ ก็มีพระบางรูปออกมาร่วมกิจกรรมกู้ชาติบ้านเมือง เช่น พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช มาลงเลขยันต์ให้แก่ชาวหมู่บ้านบางระจัน ในด้านการทำศึกสงคราม ก็ไปให้ความสำคัญแก่ไสยศาสตร์เวทมนต์คาถากันมาก เช่น ให้อาจารย์ไสยศาสตร์เป็นผู้นำทัพ เมื่ออาจารย์ถูกยิงตาย กองทัพทั้งกองทัพก็แตก
อย่างคราวหนึ่งให้อาจารย์ฤกษ์ซึ่งเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์นำทัพเรือไปตีพม่าที่วัดภูเขาทอง พออาจารย์ฤกษ์ถูกยิงตาย ทหาร 4,000 ก็แตก เหตุการณ์ในคราวเสียกรุงครั้งนั้น พระพุทธรูปต่าง ๆ เจดีย์ เป็นต้น ก็ถูกทำลาย พระก็กระจัดกระจายไปในที่ต่าง ๆ และที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันศาสนามาก คือ หลังจากกรุงแตกไปแล้ว บรรดาก๊กทั้งหลายนั้น ก๊กเจ้าพระฝางซึ่งเป็นพระราชาคณะที่พระพากุละเถระ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชเมืองฝางในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า โดยยังครองจีวรอยู่ แต่ใช้สีแดงย้อมจีวร ลงผ้าประเจียดแจกแก่บรรดาพระสงฆ์ แต่งตั้งพระสงฆ์ให้เป็นแม่ทัพนายกอง แม่ทัพเอก ชื่อว่า พระครูสิริมานนท์ คุมกองทัพพระสงฆ์ออกปล้นตีชิงราษฎรในเขตอิทธิพลตั้งแต่เมืองทุ่งยั้ง คืออุตรดิตถ์ขึ้นไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สร้างความกระทบกระเทือน ความระแวงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในสถาบันสงฆ์ให้เกิดขึ้นในกาลต่อมา
พระเจ้าบรมโกษฐ์ได้ส่งพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปทองคำไปถวายเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ด้วย หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้จัดส่งสมณะทูตไทยไปที่ลังกาอีกเป็นชุดที่ 2 ตามคำขอของพระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ สมณทูตชุดที่ 2 ก็มี พระวิสุทธาจารย์ , พระวรญาณมุนี พร้อมด้วยพระภิกษุ 20 รูปและสามเณร 20 รูป
พระเจ้ากิตติสิริราชสิงห์ได้ส่งบรรณาการมาถวายตอบแทนพระองค์ คือ ได้ส่ง
(1) พระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
(2) พระพุทธรูปแก้ว
พระพุทธศาสนาช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ในปลายรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ไม่มีงานเด่นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา นอกจากมีการทะเลาะวิวาทแย่งชิงราชสมบัติกัน มีการหนีเข้าไปบวช แต่คนที่บวชแล้วก็สึกออกมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุดเมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยา ก็จบลงด้วยความระส่ำระสาย ทั้งทางบ้านเมืองและทางศาสนา ถึงขนาดที่มีคนซึ่งพระจัดตั้งขึ้น เป็นกองทัพ คือ ก๊กพระฝาง ความเชื่อถือของคนในสมัยนั้นหนักไปในด้านไสยศาสตร์ และเมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ ก็มีพระบางรูปออกมาร่วมกิจกรรมกู้ชาติบ้านเมือง เช่น พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช มาลงเลขยันต์ให้แก่ชาวหมู่บ้านบางระจัน ในด้านการทำศึกสงคราม ก็ไปให้ความสำคัญแก่ไสยศาสตร์เวทมนต์คาถากันมาก เช่น ให้อาจารย์ไสยศาสตร์เป็นผู้นำทัพ เมื่ออาจารย์ถูกยิงตาย กองทัพทั้งกองทัพก็แตก
อย่างคราวหนึ่งให้อาจารย์ฤกษ์ซึ่งเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์นำทัพเรือไปตีพม่าที่วัดภูเขาทอง พออาจารย์ฤกษ์ถูกยิงตาย ทหาร 4,000 ก็แตก เหตุการณ์ในคราวเสียกรุงครั้งนั้น พระพุทธรูปต่าง ๆ เจดีย์ เป็นต้น ก็ถูกทำลาย พระก็กระจัดกระจายไปในที่ต่าง ๆ และที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันศาสนามาก คือ หลังจากกรุงแตกไปแล้ว บรรดาก๊กทั้งหลายนั้น ก๊กเจ้าพระฝางซึ่งเป็นพระราชาคณะที่พระพากุละเถระ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชเมืองฝางในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า โดยยังครองจีวรอยู่ แต่ใช้สีแดงย้อมจีวร ลงผ้าประเจียดแจกแก่บรรดาพระสงฆ์ แต่งตั้งพระสงฆ์ให้เป็นแม่ทัพนายกอง แม่ทัพเอก ชื่อว่า พระครูสิริมานนท์ คุมกองทัพพระสงฆ์ออกปล้นตีชิงราษฎรในเขตอิทธิพลตั้งแต่เมืองทุ่งยั้ง คืออุตรดิตถ์ขึ้นไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สร้างความกระทบกระเทือน ความระแวงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในสถาบันสงฆ์ให้เกิดขึ้นในกาลต่อมา
สรุปพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา
- พระพุทธศาสนายุคนี้เป็นแบบลังกาวงศ์ที่สืบต่อมาจากกรุงสุโขทัย กษัตริยเป็นพุทธมามกะ
- ศิลปะและวรรณคดีในยุคนี้ เป็นศิลปะที่รับอิทธิพลมาจาก
(1)ศิลปะลพบุรี
(2) ศิลปะสุโขทัย
(3) ศิลปะอู่ทอง และมีวรรณคดีที่สำคัญ คือ มหาชาติคำหลวง - การปกครองคณะสงฆ์ แบ่งเป็น 2
แบบ คือ
(1) คามวาสี
(2) อรัญญวาสี และ คามวาสี แบ่งย่อยออกไปอีกเป็น คามวาสีฝ่ายซ้ายและคามวาสีฝ่ายขวา - การศึกษา มีการศึกษาพระไตรปิฎกในพระราชวัง และได้จัดการแบ่งธุระเพื่อเอื้ออำนวยกับนักบวชเป็น 2 ธุระ คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ คันถธุระคือการบวชศึกษาพระไตรปิฎก ส่วนวิปัสสนาธุระนั้นเป็นการบวชเพื่อปฏิบัติกรรมฐานปลีกวิเวกอยู่ตามวัดป่า
พระพุทธศาสนาในสมัยกรุงธนบุรี(พ.ศ.2310–2325)
ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) พระนามเดิมว่า “พระยาวชิรปราการ” ขึ้นครองราชย์ได้ประมาณ 15 ปี (พ. ศ. 2310–2325) ซึ่งพระองค์ท่านเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนามาก่อน มีความรอบรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดในด้านศาสนธรรม เนื่องจากบ้านเมืองได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพม่าข้าศึกอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพระองค์กู้ชาติขึ้นมาได้แล้วก็เกิดมีก๊กต่าง ๆ เกิดขึ้น 4 ก๊ก คือ
1. ก๊กสมเด็จเจ้าพระฝาง ตั้งขึ้นที่ สวางคบุรี(อุตตรดิตถ์)
2. ก๊กพิมาย
3. ก๊กนครศรีธรรมราช
4. และก๊กของพระเจ้าตากสินเอง
ทรงเริ่มทำงานที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น
ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) พระนามเดิมว่า “พระยาวชิรปราการ” ขึ้นครองราชย์ได้ประมาณ 15 ปี (พ. ศ. 2310–2325) ซึ่งพระองค์ท่านเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนามาก่อน มีความรอบรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดในด้านศาสนธรรม เนื่องจากบ้านเมืองได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพม่าข้าศึกอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพระองค์กู้ชาติขึ้นมาได้แล้วก็เกิดมีก๊กต่าง ๆ เกิดขึ้น 4 ก๊ก คือ
1. ก๊กสมเด็จเจ้าพระฝาง ตั้งขึ้นที่ สวางคบุรี(อุตตรดิตถ์)
2. ก๊กพิมาย
3. ก๊กนครศรีธรรมราช
4. และก๊กของพระเจ้าตากสินเอง
ทรงเริ่มทำงานที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น
- จัดสังฆมณฑลให้เรียบร้อย ประชุมพระสงฆ์ที่วัดบางหว้าใหญ่(วัดระฆัง) และแต่งตั้งสังฆราช ในสมัยของพระองค์มีสังฆราชปกครองสังฆมณฑลถึง 3 พระองค์ตามลำดับดังนี้ (1) สมเด็จพระสังฆราช (ดี วัดประดู่) (2) สมเด็จพระสังฆราช (ศรี วัดพนัญเชิง) (3)
สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น)
- ทรงบูรณะพระอารามต่าง ๆ ประมาณ 200 หลัง เช่น อุโบสถ , วิหาร ,
เสนาสนะ
- ทรงสนับสนุนการเรียนพระไตรปิฎก จัดตั้งฝ่ายสังฆการี ธรรมการ หรือแผนกทำบัญชีพระสงฆ์ ได้พระราชทานไตรจีวร 1 ไตรแก่พระภิกษุผู้ศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมทั้งถวายปัจจัยรูปละ 1 บาท และให้ช่างศิลป์จัดการเขียนจิตกรรมสมุดภาพไตรภูมิพระร่วง
- ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาที่นครศรีธรรมราช โดยการถวายปัจจัยแก่วัดต่าง ๆ ถวายปัจจัยแก่พระภิกษุ-สามเณรรูปละ 1 บาท และถวายข้าวสารรูปละ 1 ถุง พร้อมทั้งถวายผ้าไตรแก่พระภิกษุสามเณรที่ขาดแคลน หลังจากนั้นได้พระราชทานปัจจัยผู้ยากจนที่มาถือศีลในวันอุโบสถคนละ 1 สลึง
- ทรงได้ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตก็มี เช่น พระเทพกวี เป็นต้นรวมพระไตรปิฎกให้สมบูรณ์มากขึ้น เพราะในขณะนั้นพระไตรปิฎกถูกพม่าเผาเสียจึงขาดหายไปบางคัมภีร์ และได้นำหนังสือวิสุทธิมรรคจากนครศรีธรรมราชมาที่กรุงธนบุรี
- ทรงชำระพระอลัชชี เกิดจากการที่พระเข้าไปร่วมในกองทัพในก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งในทางหลักของพระวินัยแล้ว พระร่วมกันไปฆ่าคนหรือไปลักทรัพย์เขาเป็นเจตนาร่วมกัน แม้จะไปทำเพียงรูปสองรูปก็ชื่อว่าเป็นปาราชิกไปทั้งหมด ดังนั้น พระองค์จึงทรงเกิดความรังเกียจ สงสัยเนื่องจากไม่รู้ว่าใครเป็นใครอาศัยความเชื่อมั่นศรัทธาในคุณานุภาพแห่งพระรัตนตรัย และบรรดาสิ่งศักดิ์ทั้งหลายก็ได้เอาพระมาพิสูจน์ทดสอบด้านการดำน้ำเรียกว่า 3 กลั้นใจ ผู้ใดชนะแก่นาฬิกาก็ให้เป็นพระอยู่ต่อไป รูปใดที่ดำอยู่ไม่นานก็ให้สึกออกไป และให้จัดการอุปสมบทพระสงฆ์ทางเมืองเหนือเป็นอันมาก ซึ่งพิธีชำระพระอลัชชีนี้พระองค์เริ่มจัดขึ้นในวันอังคารขึ้น 6 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ประมาณ พ. ศ. 2313 โปรดให้ “
พระโพธิวงศาจารย์” ไปอยู่ประจำที่พิษณุโลก “พระพิมลธรรม” ไปอยู่ที่เมืองขวาง “พระธรรมเจดีย์” อยู่ที่ทุ่งยั้ง “พระธรรมอุดม” อยู่ที่เมืองพิชัย “พระเทพกวี” อยู่ที่เมืองสวรรคโลก “พระพรหมมุนี” ไปอยู่ที่ สุโขทัย เพื่อชำระสะสางพระศาสนา
- การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยนี้มีอยู่ 2 ฝ่าย คือ
(1) ฝ่ายคามวาสี
(2) ฝ่ายอรัญวาสี
และฝ่ายคามวาสีก็แบ่งไปอีกเป็น 2 ฝ่าย คือ คามวาสีฝ่ายขวา และ คามวาสีฝ่ายซ้าย และพระองค์ได้พระราชนิพนธ์หนังสือเรื่องหนึ่ง มีชื่อว่า “ลักษณะบุญ” เป็นหนังสืออธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมชั้นสูง (วิปัสสนา)
พระองค์เมื่อเสด็จไปที่นครศรีธรรมราช ได้ไปทำพระไตรปิฎก และอาราธนาพระอาจารย์ศรีมา ซึ่งต่อมาก็ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช คัมภีร์พระพุทธศาสนาส่วนใดที่ยังบกพร่องก็สืบเสาะหามาชำระคัดลอกเก็บรักษาไว้ ทั้งไปเอามาจากนครศรีธรรมราชบ้าง กัมพูชาบ้าง ในตอนปลายรัชสมัยของพระองค์ ก็ได้สนพระทัยในการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นพิเศษ
พระพุทธศาสนาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์(พ.ศ.2325 ถึงปัจจุบัน)
พระพุทธศาสนาในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการทำงานสืบต่อจากสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี งานที่เด่นเกี่ยวกับพระศาสนา คือการนำเอาพระแก้วมรกตมาจากประเทศลาวและโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้น เลียนแบบวัดพระศรีสรรเพชญ์ในกรุงเก่าต่าง ๆ เช่น วัดโพธาราม หรือวัดเชตุพน(วัดโพธิ์)ในปัจจุบัน สมเด็จกรมพระราชวังบวรได้ทรงบูรณะวัดนิพพานารามและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ก็คือวัดมหาธาตุในปัจจุบัน ได้ทรงอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือลงมาในพระนครเป็นอันมาก และทรงจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเมื่อปี พ. ศ. 2332 โดยทรงพิจารณาเห็นว่า การศึกษาของพระสงฆ์ย่อหย่อนลง พระไตรปิฎกที่จารึกคัดลอกสืบต่อกันมา เป็นบางส่วนวิปลาสคลาดเคลื่อนไปจึงทรงจัดให้มีการสังคายนาขึ้น โดยมีพระมหาเถระ 118 รูป ราชบัณฑิต 32 คน เมื่อชำระพระไตรปิฎกเสร็จเเล้ว ก็แบ่งออกเป็นคัมภีร์พระวินัย 80 คัมภีร์ พระสูตร 160 คัมภีร์ อภิธรรม 61 คัมภีร์ สัททาวิเสส 53 คัมภีร์ รวมเป็นหนังสือ 354 คัมภีร์ คิดเป็นใบลานได้ 3696 ผูก โปรดให้ประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างหอมณเฑียรธรรมขึ้น ผลจากการสังคายนาในครั้งนี้ก็ช่วยให้ปรับปรุงการศึกษาของพระสงฆ์ให้ดีขึ้น
พระพุทธศาสนาในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการทำงานสืบต่อจากสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี งานที่เด่นเกี่ยวกับพระศาสนา คือการนำเอาพระแก้วมรกตมาจากประเทศลาวและโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้น เลียนแบบวัดพระศรีสรรเพชญ์ในกรุงเก่าต่าง ๆ เช่น วัดโพธาราม หรือวัดเชตุพน(วัดโพธิ์)ในปัจจุบัน สมเด็จกรมพระราชวังบวรได้ทรงบูรณะวัดนิพพานารามและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ก็คือวัดมหาธาตุในปัจจุบัน ได้ทรงอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือลงมาในพระนครเป็นอันมาก และทรงจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเมื่อปี พ. ศ. 2332 โดยทรงพิจารณาเห็นว่า การศึกษาของพระสงฆ์ย่อหย่อนลง พระไตรปิฎกที่จารึกคัดลอกสืบต่อกันมา เป็นบางส่วนวิปลาสคลาดเคลื่อนไปจึงทรงจัดให้มีการสังคายนาขึ้น โดยมีพระมหาเถระ 118 รูป ราชบัณฑิต 32 คน เมื่อชำระพระไตรปิฎกเสร็จเเล้ว ก็แบ่งออกเป็นคัมภีร์พระวินัย 80 คัมภีร์ พระสูตร 160 คัมภีร์ อภิธรรม 61 คัมภีร์ สัททาวิเสส 53 คัมภีร์ รวมเป็นหนังสือ 354 คัมภีร์ คิดเป็นใบลานได้ 3696 ผูก โปรดให้ประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างหอมณเฑียรธรรมขึ้น ผลจากการสังคายนาในครั้งนี้ก็ช่วยให้ปรับปรุงการศึกษาของพระสงฆ์ให้ดีขึ้น
พระพุทธศาสนาสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(รัชกาลที่ 1)
ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(พ.ศ.2325–2352)การปกครองคณะสงฆ์ซึ่งคงรักษาโครงสร้างและรูปแบบในพุทธกาลเป็นหลักใหญ่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นฝ่ายคามวาสี อรัญญวาสี บางยุคบางสมัยมีคณะป่าแก้ว แต่ว่าก็ยังยึดถือเอาหลักพระวินัยกับหลักธรรมเป็นประการสำคัญ มาถึงรัชกาลที่ 1 ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า ถ้าจะปล่อยให้พระสงฆ์เป็นอยู่อย่างเดิม พระศาสนาก็จะเสื่อมลง พระเกียรติยศก็จะพลอยเสื่อมตามไปด้วย ดังนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นรูปของกฎหมายขึ้นมาถึง 10 ฉบับ จาก พ. ศ. 2325–2344 เพื่อบังคับควบคุมความประพฤติของพระสงฆ์ ในกรณีที่พระวินัยไม่สามารถจะเข้าไปจัดการได้ ให้ใช้พระราชบัญญัติเข้าไปจัดการ ช่วยให้การบริหารพระศาสนามีประสิทธิภาพสูงขึ้นพระที่ประพฤติไม่เหมาะสมแก่สมณภาวะถูกสึกออกไปจากพระศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์โปรดเกล้าให้สถาปนาพระอาจารย์ศรีซึ่งถูกถอดสมัยกรุงธนบุรีขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกในกรุงรัตนโกสินทร์
ด้านการเผยแผ่การศึกษา ของพระสงฆ์ในสมัยนี้ ก็คงศึกษาตามรูปแบบเดิม ที่ได้กระทำต่อกันมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องที่นำมาเผยแผ่กันส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมหาวิบาก ไตรภูมิพระร่วง เรื่องมหาชาติชาดก เป็นต้น งานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางศาสนา ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในส่วนพระคัมภีร์ดังกล่าวแล้วแต่ว่าการเผยแผ่ของพระ ก็ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม คือชาวบ้านไปฟังธรรมหรืออาราธนาพระไปแสดงธรรมเป็นหลัก
งานด้านสาธรณูปการ คือการก่อสร้างจะตกอยู่ในหมู่ของชาวพุทธ ที่เป็นฆราวาส คือพระมหากษัตริย์ข้าราชการผู้ใหญ่ เศรษฐี คหบดี เป็นประการสำคัญ การสร้างวัดจึงเกิดขึ้นเป็นอันมาก จนถึงกับมีคนพูดกันว่า “สร้างวัดเพื่อให้เป็นที่วิ่งเล่นของลูก
ในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(พ.ศ.2325–2352)การปกครองคณะสงฆ์ซึ่งคงรักษาโครงสร้างและรูปแบบในพุทธกาลเป็นหลักใหญ่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นฝ่ายคามวาสี อรัญญวาสี บางยุคบางสมัยมีคณะป่าแก้ว แต่ว่าก็ยังยึดถือเอาหลักพระวินัยกับหลักธรรมเป็นประการสำคัญ มาถึงรัชกาลที่ 1 ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า ถ้าจะปล่อยให้พระสงฆ์เป็นอยู่อย่างเดิม พระศาสนาก็จะเสื่อมลง พระเกียรติยศก็จะพลอยเสื่อมตามไปด้วย ดังนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นรูปของกฎหมายขึ้นมาถึง 10 ฉบับ จาก พ. ศ. 2325–2344 เพื่อบังคับควบคุมความประพฤติของพระสงฆ์ ในกรณีที่พระวินัยไม่สามารถจะเข้าไปจัดการได้ ให้ใช้พระราชบัญญัติเข้าไปจัดการ ช่วยให้การบริหารพระศาสนามีประสิทธิภาพสูงขึ้นพระที่ประพฤติไม่เหมาะสมแก่สมณภาวะถูกสึกออกไปจากพระศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์โปรดเกล้าให้สถาปนาพระอาจารย์ศรีซึ่งถูกถอดสมัยกรุงธนบุรีขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกในกรุงรัตนโกสินทร์
ด้านการเผยแผ่การศึกษา ของพระสงฆ์ในสมัยนี้ ก็คงศึกษาตามรูปแบบเดิม ที่ได้กระทำต่อกันมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องที่นำมาเผยแผ่กันส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมหาวิบาก ไตรภูมิพระร่วง เรื่องมหาชาติชาดก เป็นต้น งานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางศาสนา ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในส่วนพระคัมภีร์ดังกล่าวแล้วแต่ว่าการเผยแผ่ของพระ ก็ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม คือชาวบ้านไปฟังธรรมหรืออาราธนาพระไปแสดงธรรมเป็นหลัก
งานด้านสาธรณูปการ คือการก่อสร้างจะตกอยู่ในหมู่ของชาวพุทธ ที่เป็นฆราวาส คือพระมหากษัตริย์ข้าราชการผู้ใหญ่ เศรษฐี คหบดี เป็นประการสำคัญ การสร้างวัดจึงเกิดขึ้นเป็นอันมาก จนถึงกับมีคนพูดกันว่า “สร้างวัดเพื่อให้เป็นที่วิ่งเล่นของลูก
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ 2)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(พ.ศ.2352–2367)ในรัชกาลนี้มีงานที่น่าศึกษาอยู่บางประการ คือ
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น คือ เพียง 15 ปี แต่โปรดเกล้าสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระสังราช(ศุก) , สมเด็จพระสังฆราช (มี) , และสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทั้ง 3 พระองค์นั้น องค์แรกอยู่วัดราชบูรณะ องค์ที่ 2 อยู่วัดราชสิทธาราม องค์ที่ 3 อยู่วัดสระเกศมาก่อน แต่เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ก็ได้มาประทับที่วัดศรีสรรเพชญ์ ในสมัยนี้ประเทศไทยได้ส่งพระไปดูกิจการพระศาสนาที่ประเทศลังกา โดยมีพระอาจารย์ดี พระอาจารย์เทพ พระคง และพระทิวง จากวัดศรีสรรเพชญ์ 4 รูป พระอาจารย์อยู่ พระเซ่ง พระปราง และพระม่วง ร่วมกับพระลังกาอีก 2 รูปคือ พระรัตนปาละ กับพระหิธายะ รวมเป็น 10 รูป ได้เดินทางไปลังกา ท่านเหล่านี้เมื่อกลับมาแล้วก็ได้นำเอาหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกในเมืองไทยด้วย
ในสมัยสมเด็จสังฆราช(มี) ได้จัดให้มีการบำเพ็ญกุศลมาฆบูชาขึ้น เป็นกิจลักษณะ ในด้านการปกครอง การเผยเเผ่การศึกษาและสาธารณูปการ ก็คงเป็นเช่นเดิม
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(พ.ศ.2352–2367)ในรัชกาลนี้มีงานที่น่าศึกษาอยู่บางประการ คือ
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น คือ เพียง 15 ปี แต่โปรดเกล้าสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระสังราช(ศุก) , สมเด็จพระสังฆราช (มี) , และสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทั้ง 3 พระองค์นั้น องค์แรกอยู่วัดราชบูรณะ องค์ที่ 2 อยู่วัดราชสิทธาราม องค์ที่ 3 อยู่วัดสระเกศมาก่อน แต่เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ก็ได้มาประทับที่วัดศรีสรรเพชญ์ ในสมัยนี้ประเทศไทยได้ส่งพระไปดูกิจการพระศาสนาที่ประเทศลังกา โดยมีพระอาจารย์ดี พระอาจารย์เทพ พระคง และพระทิวง จากวัดศรีสรรเพชญ์ 4 รูป พระอาจารย์อยู่ พระเซ่ง พระปราง และพระม่วง ร่วมกับพระลังกาอีก 2 รูปคือ พระรัตนปาละ กับพระหิธายะ รวมเป็น 10 รูป ได้เดินทางไปลังกา ท่านเหล่านี้เมื่อกลับมาแล้วก็ได้นำเอาหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกในเมืองไทยด้วย
ในสมัยสมเด็จสังฆราช(มี) ได้จัดให้มีการบำเพ็ญกุศลมาฆบูชาขึ้น เป็นกิจลักษณะ ในด้านการปกครอง การเผยเเผ่การศึกษาและสาธารณูปการ ก็คงเป็นเช่นเดิม
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3)
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(2367–2394) นั้น เป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีเยี่ยงอย่างพระโพธิสัตว์ โดยถือแนวพระเวสสันดรเป็นหลัก ดังนั้นจึงทรงเคารพรัก พระภิกษุ สามเณร และทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ การซ่อมการสร้างวัดได้เกิดขึ้นเป็นอันมากและแยกการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะอรัญวาสี โดยให้มีพระราชาคณะหรือสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะใหญ่ในตำแหน่งทั้ง 4 นั้น เมืองไทยได้ขอยืมพระไตรปิฎกมาจากลังกาถึง 40 คัมภีร์ เพื่อคัดลอกเข้าสู่ภาษาไทย การติดต่อเรื่องพระพุทธศาสนากับประเทศลังกา ได้มีหลายครั้งด้วยกัน
กำเนิดคณะธรรมยุต
ในรัชสมัยนี้มีเรื่องที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ ซึ่งออกจะมีความสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง คือ การอุบัติบังเกิดขึ้นของคณะธรรมยุต โดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากทรงผนวชไม่นาน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้เสด็จสวรรคต ราชสมบัติตกอยู่แก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป หลังจากที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้าหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงกับการประพฤติปฏิบัติของพระในครั้งนั้น ทรงเห็นว่าบางอย่างไม่ตรงกัน เมื่อทรงสอบถามผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครที่จะชี้แจงอธิบายให้เกิดความเข้าพระทัยได้ ทำให้เกิดท้อพระทัย และคิดเลยไปถึงว่า ศาสนวงศ์ที่สืบต่อกันมาจากพระอริยสงฆ์ในสมัยพุทธกาลอาจจะหายไปหมดแล้ว จึงตั้งพระทัยอธิษฐาน ถ้าหากท่านที่สืบต่อมาจากพระอริยสงฆ์ยังมีอยู่ ก็ขอให้ท่านได้พบภายใน 3 วัน หรือ 7 วัน และในที่สุดก็ได้พบกับ พระสุเมธมุนี เป็นพระมอญอยู่ทางวัดบวรมงคล มีความรอบรู้แตกฉานในพระวินัยปิฎก เคร่งครัดมากจึงได้เสด็จไปสนทนาสอบถามเทียบเคียงกับหลักที่ได้ทรงศึกษามา เห็นว่ามีความถูกตรงตามหลักของพระไตรปิฎก จึงทรงมีพระศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตามนั้น แต่มีขัดข้องอยู่ เนื่องจากในขณะนั้น ยังประทับอยู่ในสำนักของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ คือสมเด็จพระสังฆราช ที่วัดมหาธาตุ จึงได้เสด็จย้ายไปที่วัดสมอราย ในปี พ.ศ. 2372 แต่ไม่ได้ลาขาดจากวัดมหาธาตุแต่ประการใดก็คงเสด็จไป ๆ มา ๆ อยู่ เพียงแต่ว่ามีพระประสงค์จะปฏิบัติให้ถูกตรงตามหลักธรรมพระไตรปิฎกเท่านั้นเอง ถ้ามองถึงเหตุผลของการแยกพระองค์ไปประพฤติปฏิบัติธรรมให้ถูกตรงตามหลักของพระวินัยในครั้งนั้น คงไม่มีพระประสงค์ให้เกิดนิกายขึ้นแต่ประการใด เพียงแต่ว่าเมื่อบวชมาแล้ว ก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องได้ ก็ไม่ควรจะบวช
ในระยะแรกก็มีภิกษุที่ถวายตัวเป็นลูกศิษย์เพียง 6 รูปเท่านั้นเองแต่จากการประพฤติปฏิบัติของพระองค์ที่ทรงมีความเคร่งครัด จึงสร้างศรัทธาปสาทะให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนมากขึ้น จนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ ทรงจัดการปรับปรุงการศึกษา การปฏิบัติที่วัดสมอราย ให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีเสียงครหานินทาว่า พระวชิรญาณหรือเจ้าฟ้ามงกุฏฝักใฝ่ทางการเมือง รัชกาลที่ 3 ทรงรู้สึกรำคาญ จึงปรึกษากับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยชาญเมื่อครั้งยังเป็นที่พระยาศรีพิพัฒน์ ได้โปรดเลื่อนสมณศักดิ์พระวชิรญาณขึ้นเป็นเจ้าคณะรองและเชิญเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2379 เพื่อให้อยู่ใกล้พระเนตรพระกรรณ จะได้ขจัดเรื่องความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนออกไป ขณะที่พระวชิรญาณหรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศนั้น มีพระชันษาได้ 32 พรรษาพอดี พระองค์ได้ทรงวางระเบียบในการประพฤติปฏิบัติสำหรับคณะธรรมยุตขึ้น โดยยึดถือหลักพระธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ ปัญหาที่ไม่ค่อยจะตรงกันกับพระสงฆ์เดิมก็คือ เรื่องการห่มจีวรกับการปฏิบัตวินัยบางข้อ บางประการเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก ในด้านของการปกครอง พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในการปกครองของคณะกลาง ซึ่งขึ้นตรงต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อมองจากสายทั้ง 4 จะได้ภาพรวมดังนี้
การปกครอง ก็คงเป็นไปในรูปเดิม คือมีประมุขสงฆ์สูงสุด ได้แก่สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้บริหาร และมีพระเถระรับผิดชอบลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ โครงสร้างใหญ่จึงมีลักษณะเดียวกับในสมัยพุทธกาล ในสุโขทัย และแม้ในสมัยอยุธยา
ด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างมาก จนถึงกับเปิดโอกาสให้พระสงฆ์เข้าเรียนและเข้าสอบในพระบรมมหาราชวัง การสอบความรู้ในสมัยนั้นเป็นการสอบด้วยปากเปล่า คณะกรรมการเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีความรอบรู้แตกฉานในภาษาบาลี มีการเลือกเฟ้นกลั่นกรองกรรมการเป็นอย่างดี และผู้ที่เข้าสอบเองก็มีการเลือกเฟ้นกันเป็นอย่างมาก การสอบนั้นก็เรียกกันไปเป็นประโยค ๆ บางรูปสามารถสอบได้รวดเดียวเป็นเปรียญ 9 ประโยค ก็มี เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์ สอบเป็นเปรียญได้ 9 ประโยคในสมัยรัชกาลที่ 3
ด้านการเผยแผ่พระศาสนา ทางราชการโดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ พ่อค้า คหบดี นิยมการฟังธรรมด้วยการอาราธนาพระไปเทศน์ในวังหรือในบ้านของตน ส่วนการเผยเเผ่ในแนวอื่น คงรูปแบบเดียวกับที่ทำมาแต่ก่อนนั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเข้าไปฟังธรรมในวันธรรมสวนะและอาราธนาพระเทศน์ การเทศน์จะมุ่งเน้นหนักไปในด้านนิทานชาดกที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นธรรมระดับสูง ที่มุ่งไปทางมรรคผลนิพพาน เนื่องจากสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงทรงบำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีหรือพุทธการกธรรมตามหลักของบารมี 10 ประการ คือ แนวหลักก็ทรงยึดแนวของพระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระชาติใหญ่
ด้านสาธารณูปการ การก่อสร้างวัดได้เกิดขึ้นมากในรัชกาลที่ 3 เพราะพระองค์ทรงเน้นที่ทานบารมี และการให้ทานนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การให้ที่อยู่อาศัยชื่อว่าให้ทุกอย่าง ศิลปกรรมที่นำมาก่อสร้างในครั้งนั้น เน้นไปในด้านศิลปกรรมที่เป็นแบบจีน อาจจะเป็นเพราะทรงทำมาค้าขายกับจีนมาก่อน ความคุ้นเคยชอบพอกับศิลปกรรมแบบจีนซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าความสวยงาม เจ้านาย ผู้ใหญ่ เศรษฐี คหบดี ต่าง ๆ นิยมสร้างวัด บูรณะวัด ซ่อมแซมวัดเป็นส่วนมากวัดจึงเกิดขึ้นในยุคนี้มาก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา เรียกว่าทุกด้าน เนื่องจากยุคสมัยนั้นประชากรเรามีไม่มากนัก ปัญหาในด้านศีลธรรม จริยธรรม จึงไม่ค่อยมีอะไรที่รุนแรง ประกอบกับองค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ทรงมีความหนักแน่นในธรรม แม้จะมีคนยุยงส่งเสริมให้แตกแยกกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นทรงเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ทำให้การพระศาสนาในยุคนั้นดำเนินไปด้วยดี แม้ว่าการเกิดขึ้นของคณะธรรมยุต ซึ่งเรียกกันในกาลต่อมาว่า ธรรมยุติกนิกาย และเรียกว่าคณะธรรมยุตในปัจจุบันจะทำให้ทรงขุ่นข้องพระทัยในด้านการห่มจีวร โดยมีความเข้าพระทัยว่าเป็นการห่มจีวรแบบมอญ ในกาลต่อมา ทางคณะธรรมยุตเองก็ไม่เห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญอะไร ก็ไปห่มตามแบบพระสงฆ์ที่มีอยู่ก่อน ซึ่งเรียกในตอนหลังว่า คณะมหานิกาย ความเป็นนิกายไม่ว่าในยุคใดสมัยใดเกิดขึ้นมาจากกิเลส ความรู้สึกเป็นเรา เป็นเขา เป็นพวกเรา พวกเขา ไม่มีจุดกลางของความคิดที่จะนัดพบกันที่หลักพระธรรมวินัยที่อยู่ในฐานะของพระศาสดา แทนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ก่อนปรินิพพานที่ว่า
“ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย พระธรรมและพระวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”
เจตนารมณ์ในการคิดปรับปรุงตนเองให้ปฏิบัติถูกตรงตามหลักพระธรรมวินัยที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก เกิดขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าของพระวชิรญาณหรือเจ้าฟ้ามหามกุฏในครั้งนั้น เป็นเหตุผลทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของยุคสมัย ที่คนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และอยู่ในสถานการณ์นั้นเท่านั้นจะเข้าใจได้ว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเพียงไร แต่ถ้ามองกันโดยเหตุผลแล้ว ดูเหมือนพระองค์ไม่ได้คิดว่าจะแยกออกไปเป็นนิกายหนึ่งต่างหาก การปฏิบัติอุปัชฌายวัตรก็ดี การอยู่ในคณะสงฆ์ก็ดีก็คงปฏิบัติอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้แยกออกเป็นคณะหนึ่งต่างหาก โดยไม่ยอมรับนับถือการบังคับบัญชาจากพระสังฆเถระทั้งหลาย ความแตกแยกที่เด่นชัดจึงอยู่ที่
ฝ่ายหนึ่งคิดว่า “ การปฏิบัติตามหลักพระไตรปิฎกเป็นความถูกต้อง” อีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่า “การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เชื่อถือกันมาถูกต้อง” ต่อมาในยุคหลังอาศัยการรังเกียจเดียดฉันท์กันถือเราถือเขากัน การแยกกันอย่างเป็นนิกายจริง ๆ มาแยกกันในตอนหลัง เมื่อก่อนก็เป็นกลุ่มคณะที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ยุติด้วยธรรมหรือประกอบด้วยธรรมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ยังทรงสมณเพศอยู่ก็มีเหมือนกัน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความริษยา ความเข้าใจผิด ความหูเบาของคนบางคนซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
ด้านการต่างประเทศนั้น สมัยรัชกาลที่ 3 มีกบฏและสงคราม คือกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ สงครามเมืองเขมร เมืองญาน เมืองพม่า ฉะนั้น ยามใดที่มีศึกสงคราม พระพุทธศาสนาก็ย่อมกระทบกระเทือนบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงกับมีอะไรรุนแรงเสียหายอย่างที่เคยเกิดในตอนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(2367–2394) นั้น เป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีเยี่ยงอย่างพระโพธิสัตว์ โดยถือแนวพระเวสสันดรเป็นหลัก ดังนั้นจึงทรงเคารพรัก พระภิกษุ สามเณร และทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ การซ่อมการสร้างวัดได้เกิดขึ้นเป็นอันมากและแยกการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะอรัญวาสี โดยให้มีพระราชาคณะหรือสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะใหญ่ในตำแหน่งทั้ง 4 นั้น เมืองไทยได้ขอยืมพระไตรปิฎกมาจากลังกาถึง 40 คัมภีร์ เพื่อคัดลอกเข้าสู่ภาษาไทย การติดต่อเรื่องพระพุทธศาสนากับประเทศลังกา ได้มีหลายครั้งด้วยกัน
กำเนิดคณะธรรมยุต
ในรัชสมัยนี้มีเรื่องที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ ซึ่งออกจะมีความสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง คือ การอุบัติบังเกิดขึ้นของคณะธรรมยุต โดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากทรงผนวชไม่นาน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้เสด็จสวรรคต ราชสมบัติตกอยู่แก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป หลังจากที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้าหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงกับการประพฤติปฏิบัติของพระในครั้งนั้น ทรงเห็นว่าบางอย่างไม่ตรงกัน เมื่อทรงสอบถามผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครที่จะชี้แจงอธิบายให้เกิดความเข้าพระทัยได้ ทำให้เกิดท้อพระทัย และคิดเลยไปถึงว่า ศาสนวงศ์ที่สืบต่อกันมาจากพระอริยสงฆ์ในสมัยพุทธกาลอาจจะหายไปหมดแล้ว จึงตั้งพระทัยอธิษฐาน ถ้าหากท่านที่สืบต่อมาจากพระอริยสงฆ์ยังมีอยู่ ก็ขอให้ท่านได้พบภายใน 3 วัน หรือ 7 วัน และในที่สุดก็ได้พบกับ พระสุเมธมุนี เป็นพระมอญอยู่ทางวัดบวรมงคล มีความรอบรู้แตกฉานในพระวินัยปิฎก เคร่งครัดมากจึงได้เสด็จไปสนทนาสอบถามเทียบเคียงกับหลักที่ได้ทรงศึกษามา เห็นว่ามีความถูกตรงตามหลักของพระไตรปิฎก จึงทรงมีพระศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตามนั้น แต่มีขัดข้องอยู่ เนื่องจากในขณะนั้น ยังประทับอยู่ในสำนักของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ คือสมเด็จพระสังฆราช ที่วัดมหาธาตุ จึงได้เสด็จย้ายไปที่วัดสมอราย ในปี พ.ศ. 2372 แต่ไม่ได้ลาขาดจากวัดมหาธาตุแต่ประการใดก็คงเสด็จไป ๆ มา ๆ อยู่ เพียงแต่ว่ามีพระประสงค์จะปฏิบัติให้ถูกตรงตามหลักธรรมพระไตรปิฎกเท่านั้นเอง ถ้ามองถึงเหตุผลของการแยกพระองค์ไปประพฤติปฏิบัติธรรมให้ถูกตรงตามหลักของพระวินัยในครั้งนั้น คงไม่มีพระประสงค์ให้เกิดนิกายขึ้นแต่ประการใด เพียงแต่ว่าเมื่อบวชมาแล้ว ก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องได้ ก็ไม่ควรจะบวช
ในระยะแรกก็มีภิกษุที่ถวายตัวเป็นลูกศิษย์เพียง 6 รูปเท่านั้นเองแต่จากการประพฤติปฏิบัติของพระองค์ที่ทรงมีความเคร่งครัด จึงสร้างศรัทธาปสาทะให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนมากขึ้น จนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ ทรงจัดการปรับปรุงการศึกษา การปฏิบัติที่วัดสมอราย ให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีเสียงครหานินทาว่า พระวชิรญาณหรือเจ้าฟ้ามงกุฏฝักใฝ่ทางการเมือง รัชกาลที่ 3 ทรงรู้สึกรำคาญ จึงปรึกษากับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยชาญเมื่อครั้งยังเป็นที่พระยาศรีพิพัฒน์ ได้โปรดเลื่อนสมณศักดิ์พระวชิรญาณขึ้นเป็นเจ้าคณะรองและเชิญเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2379 เพื่อให้อยู่ใกล้พระเนตรพระกรรณ จะได้ขจัดเรื่องความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนออกไป ขณะที่พระวชิรญาณหรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศนั้น มีพระชันษาได้ 32 พรรษาพอดี พระองค์ได้ทรงวางระเบียบในการประพฤติปฏิบัติสำหรับคณะธรรมยุตขึ้น โดยยึดถือหลักพระธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ ปัญหาที่ไม่ค่อยจะตรงกันกับพระสงฆ์เดิมก็คือ เรื่องการห่มจีวรกับการปฏิบัตวินัยบางข้อ บางประการเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก ในด้านของการปกครอง พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในการปกครองของคณะกลาง ซึ่งขึ้นตรงต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อมองจากสายทั้ง 4 จะได้ภาพรวมดังนี้
การปกครอง ก็คงเป็นไปในรูปเดิม คือมีประมุขสงฆ์สูงสุด ได้แก่สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้บริหาร และมีพระเถระรับผิดชอบลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ โครงสร้างใหญ่จึงมีลักษณะเดียวกับในสมัยพุทธกาล ในสุโขทัย และแม้ในสมัยอยุธยา
ด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างมาก จนถึงกับเปิดโอกาสให้พระสงฆ์เข้าเรียนและเข้าสอบในพระบรมมหาราชวัง การสอบความรู้ในสมัยนั้นเป็นการสอบด้วยปากเปล่า คณะกรรมการเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีความรอบรู้แตกฉานในภาษาบาลี มีการเลือกเฟ้นกลั่นกรองกรรมการเป็นอย่างดี และผู้ที่เข้าสอบเองก็มีการเลือกเฟ้นกันเป็นอย่างมาก การสอบนั้นก็เรียกกันไปเป็นประโยค ๆ บางรูปสามารถสอบได้รวดเดียวเป็นเปรียญ 9 ประโยค ก็มี เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์ สอบเป็นเปรียญได้ 9 ประโยคในสมัยรัชกาลที่ 3
ด้านการเผยแผ่พระศาสนา ทางราชการโดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ พ่อค้า คหบดี นิยมการฟังธรรมด้วยการอาราธนาพระไปเทศน์ในวังหรือในบ้านของตน ส่วนการเผยเเผ่ในแนวอื่น คงรูปแบบเดียวกับที่ทำมาแต่ก่อนนั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเข้าไปฟังธรรมในวันธรรมสวนะและอาราธนาพระเทศน์ การเทศน์จะมุ่งเน้นหนักไปในด้านนิทานชาดกที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นธรรมระดับสูง ที่มุ่งไปทางมรรคผลนิพพาน เนื่องจากสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงทรงบำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีหรือพุทธการกธรรมตามหลักของบารมี 10 ประการ คือ แนวหลักก็ทรงยึดแนวของพระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระชาติใหญ่
ด้านสาธารณูปการ การก่อสร้างวัดได้เกิดขึ้นมากในรัชกาลที่ 3 เพราะพระองค์ทรงเน้นที่ทานบารมี และการให้ทานนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การให้ที่อยู่อาศัยชื่อว่าให้ทุกอย่าง ศิลปกรรมที่นำมาก่อสร้างในครั้งนั้น เน้นไปในด้านศิลปกรรมที่เป็นแบบจีน อาจจะเป็นเพราะทรงทำมาค้าขายกับจีนมาก่อน ความคุ้นเคยชอบพอกับศิลปกรรมแบบจีนซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าความสวยงาม เจ้านาย ผู้ใหญ่ เศรษฐี คหบดี ต่าง ๆ นิยมสร้างวัด บูรณะวัด ซ่อมแซมวัดเป็นส่วนมากวัดจึงเกิดขึ้นในยุคนี้มาก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา เรียกว่าทุกด้าน เนื่องจากยุคสมัยนั้นประชากรเรามีไม่มากนัก ปัญหาในด้านศีลธรรม จริยธรรม จึงไม่ค่อยมีอะไรที่รุนแรง ประกอบกับองค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ทรงมีความหนักแน่นในธรรม แม้จะมีคนยุยงส่งเสริมให้แตกแยกกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นทรงเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ทำให้การพระศาสนาในยุคนั้นดำเนินไปด้วยดี แม้ว่าการเกิดขึ้นของคณะธรรมยุต ซึ่งเรียกกันในกาลต่อมาว่า ธรรมยุติกนิกาย และเรียกว่าคณะธรรมยุตในปัจจุบันจะทำให้ทรงขุ่นข้องพระทัยในด้านการห่มจีวร โดยมีความเข้าพระทัยว่าเป็นการห่มจีวรแบบมอญ ในกาลต่อมา ทางคณะธรรมยุตเองก็ไม่เห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญอะไร ก็ไปห่มตามแบบพระสงฆ์ที่มีอยู่ก่อน ซึ่งเรียกในตอนหลังว่า คณะมหานิกาย ความเป็นนิกายไม่ว่าในยุคใดสมัยใดเกิดขึ้นมาจากกิเลส ความรู้สึกเป็นเรา เป็นเขา เป็นพวกเรา พวกเขา ไม่มีจุดกลางของความคิดที่จะนัดพบกันที่หลักพระธรรมวินัยที่อยู่ในฐานะของพระศาสดา แทนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ก่อนปรินิพพานที่ว่า
“ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย พระธรรมและพระวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”
เจตนารมณ์ในการคิดปรับปรุงตนเองให้ปฏิบัติถูกตรงตามหลักพระธรรมวินัยที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก เกิดขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าของพระวชิรญาณหรือเจ้าฟ้ามหามกุฏในครั้งนั้น เป็นเหตุผลทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของยุคสมัย ที่คนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และอยู่ในสถานการณ์นั้นเท่านั้นจะเข้าใจได้ว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเพียงไร แต่ถ้ามองกันโดยเหตุผลแล้ว ดูเหมือนพระองค์ไม่ได้คิดว่าจะแยกออกไปเป็นนิกายหนึ่งต่างหาก การปฏิบัติอุปัชฌายวัตรก็ดี การอยู่ในคณะสงฆ์ก็ดีก็คงปฏิบัติอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้แยกออกเป็นคณะหนึ่งต่างหาก โดยไม่ยอมรับนับถือการบังคับบัญชาจากพระสังฆเถระทั้งหลาย ความแตกแยกที่เด่นชัดจึงอยู่ที่
ฝ่ายหนึ่งคิดว่า “ การปฏิบัติตามหลักพระไตรปิฎกเป็นความถูกต้อง” อีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่า “การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เชื่อถือกันมาถูกต้อง” ต่อมาในยุคหลังอาศัยการรังเกียจเดียดฉันท์กันถือเราถือเขากัน การแยกกันอย่างเป็นนิกายจริง ๆ มาแยกกันในตอนหลัง เมื่อก่อนก็เป็นกลุ่มคณะที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ยุติด้วยธรรมหรือประกอบด้วยธรรมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ยังทรงสมณเพศอยู่ก็มีเหมือนกัน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความริษยา ความเข้าใจผิด ความหูเบาของคนบางคนซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
ด้านการต่างประเทศนั้น สมัยรัชกาลที่ 3 มีกบฏและสงคราม คือกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ สงครามเมืองเขมร เมืองญาน เมืองพม่า ฉะนั้น ยามใดที่มีศึกสงคราม พระพุทธศาสนาก็ย่อมกระทบกระเทือนบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงกับมีอะไรรุนแรงเสียหายอย่างที่เคยเกิดในตอนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่4)
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2394–2411)เป็นนักปราชญ์ทางศาสนาพระองค์หนึ่งที่ประเทศไทยเคยมีมา ทรงมีความรอบรู้แตกฉานในภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาอังกฤษ และแตกฉานในพระธรรมวินัย เนื่องจากได้ทรงผนวชอยู่เป็นเวลานานถึง 27 พรรษา พระพุทธศาสนาในยุคนี้ จึงถือว่าเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งนักการศาสนา สามารถคิดพินิจพิจารณาวิเคราะห์วิจัยหลักคำสอนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เพราะถ้าเรามองถึงความเป็นมาทางศาสนาแล้วจะพบว่า มีลักษณะเหมือนกับแม่น้ำที่ไหลลงจากที่สูง ต้นน้ำนั้นบริสุทธิ์สะอาดจริง แต่จำนวนน้ำก็น้อย และอยู่สูงเกินไป คนจะใช้ประโยชน์จากน้ำข้างบนนั้นได้น้อย แต่เมื่อน้ำเหล่านั้นได้ไหลมาลงในลำคลอง จากลำคลองสู่เเม่น้ำน้อยจากแม่น้ำน้อยสู่แม่น้ำใหญ่ จากแม่น้ำใหญ่ก็ออกไปสู่มหาสมุทร สถานที่เหล่านั้นเก็บน้ำได้มากขึ้นแต่น้ำก็ไม่สะอาดเหมือเดิม เพราะได้ชะล้างสิ่งต่าง ๆ มาเป็นอันมากบุคคลสามารถใช้สอยน้ำได้มากขึ้น แต่ถ้าจะนำมาดื่มก็ต้องผ่านกรรมวิธีด้วยการกลั่นกรอง
หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาก็มีลักษณะอย่างนั้น ผ่านเหตุการณ์ยุคสมัยเงื่อนไขต่าง ๆ ของสังคมในยุคในสมัยนั้นมานานก็ต้องมีอะไรแปลกปลอมปะปนเข้ามาบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งอาจจะเปรียบได้เหมือนการส่งของจากที่ไกล จากมือผ่านมือ จากยุคผ่านยุค จากสมัยผ่านสมัย ก็ต้องมีอะไรอัดอะไรปะปนอยู่บ้าง คนที่รับของในปลายทางจะต้องเลือกเฟ้นเอาว่า “อะไรคือสิ่งที่ท่านส่งมาให้จริง ๆ อะไรคือสิ่งที่ท่านใช้ห่อของนั้นมา” ฉะนั้นจุดเด่นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงอาจจะสรุปได้ว่า
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2394–2411)เป็นนักปราชญ์ทางศาสนาพระองค์หนึ่งที่ประเทศไทยเคยมีมา ทรงมีความรอบรู้แตกฉานในภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาอังกฤษ และแตกฉานในพระธรรมวินัย เนื่องจากได้ทรงผนวชอยู่เป็นเวลานานถึง 27 พรรษา พระพุทธศาสนาในยุคนี้ จึงถือว่าเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งนักการศาสนา สามารถคิดพินิจพิจารณาวิเคราะห์วิจัยหลักคำสอนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เพราะถ้าเรามองถึงความเป็นมาทางศาสนาแล้วจะพบว่า มีลักษณะเหมือนกับแม่น้ำที่ไหลลงจากที่สูง ต้นน้ำนั้นบริสุทธิ์สะอาดจริง แต่จำนวนน้ำก็น้อย และอยู่สูงเกินไป คนจะใช้ประโยชน์จากน้ำข้างบนนั้นได้น้อย แต่เมื่อน้ำเหล่านั้นได้ไหลมาลงในลำคลอง จากลำคลองสู่เเม่น้ำน้อยจากแม่น้ำน้อยสู่แม่น้ำใหญ่ จากแม่น้ำใหญ่ก็ออกไปสู่มหาสมุทร สถานที่เหล่านั้นเก็บน้ำได้มากขึ้นแต่น้ำก็ไม่สะอาดเหมือเดิม เพราะได้ชะล้างสิ่งต่าง ๆ มาเป็นอันมากบุคคลสามารถใช้สอยน้ำได้มากขึ้น แต่ถ้าจะนำมาดื่มก็ต้องผ่านกรรมวิธีด้วยการกลั่นกรอง
หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาก็มีลักษณะอย่างนั้น ผ่านเหตุการณ์ยุคสมัยเงื่อนไขต่าง ๆ ของสังคมในยุคในสมัยนั้นมานานก็ต้องมีอะไรแปลกปลอมปะปนเข้ามาบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งอาจจะเปรียบได้เหมือนการส่งของจากที่ไกล จากมือผ่านมือ จากยุคผ่านยุค จากสมัยผ่านสมัย ก็ต้องมีอะไรอัดอะไรปะปนอยู่บ้าง คนที่รับของในปลายทางจะต้องเลือกเฟ้นเอาว่า “อะไรคือสิ่งที่ท่านส่งมาให้จริง ๆ อะไรคือสิ่งที่ท่านใช้ห่อของนั้นมา” ฉะนั้นจุดเด่นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงอาจจะสรุปได้ว่า
- ทรงเป็นพระองค์แรกที่กล้าใช้วิจารณญาณ วินิจฉัย ตีความในอรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา คือคัมภีร์รุ่นหลัง ไม่ใช่ไปตีความพระไตรปิฎก
- ทรงเป็นนักโบราณคดีที่มีความรอบรู้ในเรื่องโบราณคดีจากการเสด็จไปธุดงค์ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศทำให้ทอดพระเนตรเห็นโบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้เป็นอันมาก
- ทรงเป็นบุคคลแรกที่อ่านอักษรคฤนถ์ได้ และทรงวินิจฉัยจุดของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งแรกในเมืองไทยได้ว่า อยู่ที่นครปฐม
- ทรงศึกษาแตกฉานในภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาลาติน ภาษาอังกฤษ และเป็นกษัตริย์ทางเอเชียพระองค์แรกที่รู้ภาษาอังกฤษจนพูดได้แต่งได้
ผลจากการศึกษาของพระองค์นี้ มีประโยชน์ต่อชาติไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล พระเกียรติคุณในฐานะที่เป็นผู้แตกฉานในด้านพระธรรมวินัยแพร่หลายไปถึงต่างประเทศ โดยเฉพาะเขมรกับลังกา จนพระสงฆ์ทั้งสองประเทศนั้นต้องส่งคณะทูตเข้ามาเรียนข้อวัตรปฏิบัติกับพระองค์ท่านที่วัดบวรนิเวศวิหาร และนำไปประดิษฐานที่ประเทศของตน ทรงมีพระปรารภที่จะนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในประเทศต่าง ๆ ปรากฏเอกสารหลักฐานที่ทรงมีไปถึงลังกา รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป แต่ว่าติดขัดด้วยระเบียบประเพณีในฐานะที่ทรงเป็นราชวงศ์ผู้ใหญ่ก็กลัวกันว่าจะไม่ปลอดภัย พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ทรงยอมให้ออกไปต่างประเทศทำให้ไม่อาจดำเนินการได้ ในขณะที่ทรงครองสมณเพศอยู่ 27 ปีนั้น ทรงใช้เวลาส่วนหนึ่งเสด็จจาริกธุดงค์ไปในส่วนต่าง ๆ ของประเทศทำให้สนิทสนมคุ้นเคยกับราษฎรและรู้สารทุกข์สุขดิบของราษฎร ทรงคุ้นเคยกับเจ้านาย พระเจ้าแผ่นดินและข้าราชการผู้ใหญ่ในประเทศทางยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น ตั้งแต่สมัยที่ผนวชเป็นพระอยู่และจากการที่ทรงศึกษาปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนาทำให้เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้ดี เมื่อเสด็จออกเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็ทรงให้สถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากยิ่งขึ้นกว่าสมัยก่อน
งานในด้านพระศาสนาที่กระจายออกไป มองตามแนวองค์การกว้าง ๆ ดังต่อไปนี้
ด้านการปกครอง ในสมัยนั้น การปกครองก็คงอาศัยรูปแบบเดิม พระองค์เองแม้จะทรงเป็นต้นวงศ์ของคณะธรรมทูต แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกที่ดี ระยะ 3 ปีแรกไม่ได้ทรงยกย่องพระเถระในคณะธรรมยุติขึ้นมาเลย เพราะตอนนั้นอายุพรรษาของท่านเหล่านั้นยังไม่สูงมากนัก กลับทรงยกย่องพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายมหานิกาย ทั้งนี้แม้แต่ท่านพุทธาจารย์(ฉิม) วัดโมฬีโลกยาราม ซึ่งขัดแย้งกันในสมัยที่เป็นกรรมการสอบบาลี พระองค์แยกเรื่องส่วนพระองค์ กับส่วนการงานได้และยกย่องท่านพระพุทธาจารย์(ฉิม) วัดโมฬีโลกยารามขึ้นเป็นที่พระราชาคณะ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) แต่งคาถาประพันธ์ยกย่องและใช้จำสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากพระองค์ทรงรู้ปัญหาในการบริหารคณะสงฆ์เป็นอย่างดีว่าบทบัญญัติตามพระวินัยนั้น ใช้สำหรับพระที่มีจิตสำนึกเป็นสมณะที่ดี ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าพระบางองค์ที่ไร้ยางอายขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อสมณภาวะของตน หรือเพราะพื้นเพจริตอัชฌาสัยยังไม่อ่อนโยนพอที่จะฝึกปรือ ด้วยบทบัญญัติทางพระวินัย จำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางกฎหมาย ทำให้พระองค์มีพระบรมราชโองการสั่งบังคับจัดการแก้ปัญหาที่พระในสมัยนั้นทำ และป้องกันปัญหาที่พระจะทำขึ้นไว้เป็นอันมาก นี้ก็เป็นหลักของการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ของพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะ การบริหารคณะสงฆ์ไม่ว่ายุคใดสมัยใดในส่วนใดของโลกพระพุทธศาสนาก็ตาม ปัญหาบางอย่างนั้น คณะสงฆ์ไม่สามารถจัดการแก้ไขได้เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ในพระพุทธศาสนาไม่มีอาชญา ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลังที่จะไปจัดการกับปัญหาเหล่านั้น พระมหากษัตริย์จึงต้องทรงเข้ามาอุปถัมภ์จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ แม้ในสมัยพุทธกาลเองก็เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นการกระทำของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเป็นการดำเนินตามปฏิปทาของบุพกษัตริย์พุทธมามกะในอดีต
ด้านการศึกษา ทรงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างสูง จึงมีพระเถระที่ทรงความรู้ความสามารถเกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นเป็นอันมาก และพระองค์ได้ทรงนิพนธ์คาถาที่เป็นภาษาบาลีออกมา ริเริ่มให้มีการทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน บททำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นก็เป็นงานนิพนธ์ภาษาบาลีของพระองค์
ด้านของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปแบบคงรูปแบบเดิมอยู่เรื่อย ๆ ถ้ามองในแง่ของการทำงานแล้วก็ถือว่ามีการเคลื่อนไหวต่ำมากต้องรอให้ชาวบ้านอาราธนาเสียก่อน พระจึงจะเทศน์ มีพิธีรีตองขัดขวางอยู่มากแต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของศรัทธา เชื่อถือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติกันมานาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำพระองค์เป็นแบบอย่าง ทรงอาราธนาพระเถรที่มีความรอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยไปเทศน์ถวายในวัง และพระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าราชบริพารภายในวัง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในการฟังธรรม การปฏิบัติพระองค์ในลักษณะนี้ ก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงได้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล คือให้เอาพระองค์เองเป็นจุดเป็นฐานในการประพฤติปฏิบัติธรรม โดยใจความว่า ถ้าหากว่าพระเจ้าแผ่นดินประพฤติธรรม ประพฤติสุจริตแล้ว คนใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดิน ก็จะประพฤติธรรม ประพฤติสุจริตตามไป เสนาข้าราชการน้อยใหญ่ ก็จะประพฤติปฏิบัติธรรม อาณาประชาราษฎร์ก็จะประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะได้ผู้นำที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมเหล่านี้เป็นการแสดง ปรารภผู้บริหารเป็นกษัตริย์ในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ผู้บริหารก็คือผู้บริหาร ชื่ออย่างไรนั้นไม่สำคัญ แต่เมื่อเป็นผู้บริหารแล้ว จะต้องเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย ถ้าเป็นได้เช่นนี้ การแก้ปัญหาต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นสะดวกขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำพระองค์ให้เป็นตัวอย่าง ในด้านการเผยแผ่ธรรม ก็ทำให้บุคคลเหล่าอื่นประพฤติปฏิบัติตามไป งานการเผยแผ่ของพระในรูปแบบต่าง ๆ คือในด้านการเทศน์ การสนทนา ในการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง สนทนาปราศรัยกันในเรื่องธรรมะก็เพิ่มขึ้น
ด้านสาธารณูปการคือในด้านก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดไว้เป็นอันมากในรัชสมัยนี้ วัดใดที่เป็นวัดโบราณ มีการชำรุดทรุดโทรม ก็ให้การบูรณะปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างพวกเจดีย์พวกปราสาท ที่สำคัญก็คือว่าทรงบูรณะพระปฐมเจดีย์ ที่ทรงพบในสมัยยังเป็นพระอยู่ ในสมัยนั้นเคยทรงมากราบทูลถวายพระพรให้รัชกาลที่ 3 ทรงบูรณะซ่อมแซม แต่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงเห็นว่าอยู่ไกลเกินไป ไม่คุ้มทุนที่จะไปบูรณะซ่อมแซม พระองค์จึงทรงตั้งพระทัยที่จะทำและโปรดให้พระยาพิพัฒน์เป็นแม่กองบูรณะจ้างพวกจีนพวกมอญเผาอิฐเกณฑ์ประชาชนสร้างพระมหาเจดีย์ครอบองค์เก่า องค์เก่าเดิมสูง 2 เส้นเศษ ทรงสร้างใหม่เป็น 3 เส้นเศษ สร้างครั้งแรกก็พังไป แล้วในที่สุดก็สร้างสืบต่อกันมา มาสมบูรณ์จริง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 6
งานในด้านการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนาอื่น ในสมัยนี้ศาสนาคริสต์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น คือพวกบาทหลวงที่ถูกขับไล่ออกไปในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะไม่ยอมเคารพกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนกฎหมายของไทย ก็ได้กลับเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 1 เริ่มมีสมัครพรรคพวกมากขึ้น จนมาถึงรัชกาลที่ 3 คนเหล่านี้เผยแผ่ศาสนาในลักษณะก้าวร้าวรุนแรง มองเห็นศาสนาอื่นเป็นศัตรูกับตนเสียหมด จึงมุ่งที่จะทำลายพระพุทธศาสนาตามแนวเดิมที่มีมาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในรัชกาลที่ 3 คนพวกนี้ได้เขียนหนังสือชื่อว่า “ปุจฉาวิสัชนา” มาเล่มหนึ่งเป็นคำถามเองแล้วก็ตอบเอง มีคำถามคำตอบทั้งหมด 27 ข้อด้วยกัน ด่าว่าโจมตีพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เสีย 24 ข้อ โจมตีนิกายโปรแตสแตนท์ เสีย 3 ข้อ แต่ถูกเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เรียกมาว่ากล่าวตักเตือนและบังคับให้เผาทำลายหนังสือเหล่านั้นให้หมด ถ้าไม่อย่างนั้นจะไล่ออกไปต่างประเทศ พวกนี้ก็ลดความรุนแรงลงไประยะหนึ่ง แต่พอมาถึงรัชกาลที่ 4 เนื่องจากทรงรอบรู้ในเรื่องการต่างประเทศมาก ประกอบด้วยกาลัญญุตา คือรู้กาล รู้เวลา ทรงเป็นการณวสิโก อยู่ในอำนาจแห่งเหตุ เห็นว่าถ้าใช้วิธีรุนแรงอย่างนั้นสำหรับสถานการณ์เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าอยู่ในยุคสมัยของฝรั่งนักล่าเมืองขึ้นที่จ้องจะฮุบประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ พระองค์จึงให้ความสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ทำพระองค์คล้าย ๆ กับพระสหาย และเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่สมัยยังผนวชเป็นพระอยู่ ขนาดบาทหลวงขอเข้าไปเทศน์ที่ศาลาวัดบวรนิเวศ พระองค์ก็ทรงให้เทศน์ ตอนประทับที่วัดราชาธิวาสวิหาร บาทหลวงขอเข้าไปพูดไปเทศน์ก็ทรงอนุญาตให้ทำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนไทยสมัยนั้นที่เข้าวัดฟังธรรมจำศีล มีความรอบรู้แตกฉานในพระศาสนา ฟังบาทหลวงเทศน์ก็ฟังไปสนุก ๆ เท่านั้นเอง ทำให้รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ด้วย รักษาไมตรีที่กับต่างประเทศไว้ได้ด้วย
งานในด้านพระศาสนาที่กระจายออกไป มองตามแนวองค์การกว้าง ๆ ดังต่อไปนี้
ด้านการปกครอง ในสมัยนั้น การปกครองก็คงอาศัยรูปแบบเดิม พระองค์เองแม้จะทรงเป็นต้นวงศ์ของคณะธรรมทูต แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกที่ดี ระยะ 3 ปีแรกไม่ได้ทรงยกย่องพระเถระในคณะธรรมยุติขึ้นมาเลย เพราะตอนนั้นอายุพรรษาของท่านเหล่านั้นยังไม่สูงมากนัก กลับทรงยกย่องพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายมหานิกาย ทั้งนี้แม้แต่ท่านพุทธาจารย์(ฉิม) วัดโมฬีโลกยาราม ซึ่งขัดแย้งกันในสมัยที่เป็นกรรมการสอบบาลี พระองค์แยกเรื่องส่วนพระองค์ กับส่วนการงานได้และยกย่องท่านพระพุทธาจารย์(ฉิม) วัดโมฬีโลกยารามขึ้นเป็นที่พระราชาคณะ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) แต่งคาถาประพันธ์ยกย่องและใช้จำสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากพระองค์ทรงรู้ปัญหาในการบริหารคณะสงฆ์เป็นอย่างดีว่าบทบัญญัติตามพระวินัยนั้น ใช้สำหรับพระที่มีจิตสำนึกเป็นสมณะที่ดี ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าพระบางองค์ที่ไร้ยางอายขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อสมณภาวะของตน หรือเพราะพื้นเพจริตอัชฌาสัยยังไม่อ่อนโยนพอที่จะฝึกปรือ ด้วยบทบัญญัติทางพระวินัย จำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางกฎหมาย ทำให้พระองค์มีพระบรมราชโองการสั่งบังคับจัดการแก้ปัญหาที่พระในสมัยนั้นทำ และป้องกันปัญหาที่พระจะทำขึ้นไว้เป็นอันมาก นี้ก็เป็นหลักของการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ของพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะ การบริหารคณะสงฆ์ไม่ว่ายุคใดสมัยใดในส่วนใดของโลกพระพุทธศาสนาก็ตาม ปัญหาบางอย่างนั้น คณะสงฆ์ไม่สามารถจัดการแก้ไขได้เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ในพระพุทธศาสนาไม่มีอาชญา ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลังที่จะไปจัดการกับปัญหาเหล่านั้น พระมหากษัตริย์จึงต้องทรงเข้ามาอุปถัมภ์จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ แม้ในสมัยพุทธกาลเองก็เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นการกระทำของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเป็นการดำเนินตามปฏิปทาของบุพกษัตริย์พุทธมามกะในอดีต
ด้านการศึกษา ทรงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างสูง จึงมีพระเถระที่ทรงความรู้ความสามารถเกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นเป็นอันมาก และพระองค์ได้ทรงนิพนธ์คาถาที่เป็นภาษาบาลีออกมา ริเริ่มให้มีการทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน บททำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นก็เป็นงานนิพนธ์ภาษาบาลีของพระองค์
ด้านของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปแบบคงรูปแบบเดิมอยู่เรื่อย ๆ ถ้ามองในแง่ของการทำงานแล้วก็ถือว่ามีการเคลื่อนไหวต่ำมากต้องรอให้ชาวบ้านอาราธนาเสียก่อน พระจึงจะเทศน์ มีพิธีรีตองขัดขวางอยู่มากแต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของศรัทธา เชื่อถือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติกันมานาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำพระองค์เป็นแบบอย่าง ทรงอาราธนาพระเถรที่มีความรอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยไปเทศน์ถวายในวัง และพระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าราชบริพารภายในวัง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในการฟังธรรม การปฏิบัติพระองค์ในลักษณะนี้ ก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงได้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล คือให้เอาพระองค์เองเป็นจุดเป็นฐานในการประพฤติปฏิบัติธรรม โดยใจความว่า ถ้าหากว่าพระเจ้าแผ่นดินประพฤติธรรม ประพฤติสุจริตแล้ว คนใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดิน ก็จะประพฤติธรรม ประพฤติสุจริตตามไป เสนาข้าราชการน้อยใหญ่ ก็จะประพฤติปฏิบัติธรรม อาณาประชาราษฎร์ก็จะประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะได้ผู้นำที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมเหล่านี้เป็นการแสดง ปรารภผู้บริหารเป็นกษัตริย์ในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ผู้บริหารก็คือผู้บริหาร ชื่ออย่างไรนั้นไม่สำคัญ แต่เมื่อเป็นผู้บริหารแล้ว จะต้องเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย ถ้าเป็นได้เช่นนี้ การแก้ปัญหาต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นสะดวกขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำพระองค์ให้เป็นตัวอย่าง ในด้านการเผยแผ่ธรรม ก็ทำให้บุคคลเหล่าอื่นประพฤติปฏิบัติตามไป งานการเผยแผ่ของพระในรูปแบบต่าง ๆ คือในด้านการเทศน์ การสนทนา ในการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง สนทนาปราศรัยกันในเรื่องธรรมะก็เพิ่มขึ้น
ด้านสาธารณูปการคือในด้านก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดไว้เป็นอันมากในรัชสมัยนี้ วัดใดที่เป็นวัดโบราณ มีการชำรุดทรุดโทรม ก็ให้การบูรณะปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างพวกเจดีย์พวกปราสาท ที่สำคัญก็คือว่าทรงบูรณะพระปฐมเจดีย์ ที่ทรงพบในสมัยยังเป็นพระอยู่ ในสมัยนั้นเคยทรงมากราบทูลถวายพระพรให้รัชกาลที่ 3 ทรงบูรณะซ่อมแซม แต่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงเห็นว่าอยู่ไกลเกินไป ไม่คุ้มทุนที่จะไปบูรณะซ่อมแซม พระองค์จึงทรงตั้งพระทัยที่จะทำและโปรดให้พระยาพิพัฒน์เป็นแม่กองบูรณะจ้างพวกจีนพวกมอญเผาอิฐเกณฑ์ประชาชนสร้างพระมหาเจดีย์ครอบองค์เก่า องค์เก่าเดิมสูง 2 เส้นเศษ ทรงสร้างใหม่เป็น 3 เส้นเศษ สร้างครั้งแรกก็พังไป แล้วในที่สุดก็สร้างสืบต่อกันมา มาสมบูรณ์จริง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 6
งานในด้านการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสนาอื่น ในสมัยนี้ศาสนาคริสต์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น คือพวกบาทหลวงที่ถูกขับไล่ออกไปในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะไม่ยอมเคารพกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนกฎหมายของไทย ก็ได้กลับเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 1 เริ่มมีสมัครพรรคพวกมากขึ้น จนมาถึงรัชกาลที่ 3 คนเหล่านี้เผยแผ่ศาสนาในลักษณะก้าวร้าวรุนแรง มองเห็นศาสนาอื่นเป็นศัตรูกับตนเสียหมด จึงมุ่งที่จะทำลายพระพุทธศาสนาตามแนวเดิมที่มีมาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในรัชกาลที่ 3 คนพวกนี้ได้เขียนหนังสือชื่อว่า “ปุจฉาวิสัชนา” มาเล่มหนึ่งเป็นคำถามเองแล้วก็ตอบเอง มีคำถามคำตอบทั้งหมด 27 ข้อด้วยกัน ด่าว่าโจมตีพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เสีย 24 ข้อ โจมตีนิกายโปรแตสแตนท์ เสีย 3 ข้อ แต่ถูกเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เรียกมาว่ากล่าวตักเตือนและบังคับให้เผาทำลายหนังสือเหล่านั้นให้หมด ถ้าไม่อย่างนั้นจะไล่ออกไปต่างประเทศ พวกนี้ก็ลดความรุนแรงลงไประยะหนึ่ง แต่พอมาถึงรัชกาลที่ 4 เนื่องจากทรงรอบรู้ในเรื่องการต่างประเทศมาก ประกอบด้วยกาลัญญุตา คือรู้กาล รู้เวลา ทรงเป็นการณวสิโก อยู่ในอำนาจแห่งเหตุ เห็นว่าถ้าใช้วิธีรุนแรงอย่างนั้นสำหรับสถานการณ์เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าอยู่ในยุคสมัยของฝรั่งนักล่าเมืองขึ้นที่จ้องจะฮุบประเทศไทยเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ พระองค์จึงให้ความสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ทำพระองค์คล้าย ๆ กับพระสหาย และเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่สมัยยังผนวชเป็นพระอยู่ ขนาดบาทหลวงขอเข้าไปเทศน์ที่ศาลาวัดบวรนิเวศ พระองค์ก็ทรงให้เทศน์ ตอนประทับที่วัดราชาธิวาสวิหาร บาทหลวงขอเข้าไปพูดไปเทศน์ก็ทรงอนุญาตให้ทำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนไทยสมัยนั้นที่เข้าวัดฟังธรรมจำศีล มีความรอบรู้แตกฉานในพระศาสนา ฟังบาทหลวงเทศน์ก็ฟังไปสนุก ๆ เท่านั้นเอง ทำให้รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ด้วย รักษาไมตรีที่กับต่างประเทศไว้ได้ด้วย
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช(พ.ศ.2411–2453)พระองค์เสวยราชย์แล้วดำเนินตามโบราณราชประเพณีแล้ว เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงลาผนวช 15 วัน เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2416 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยกรมหมื่นรังสีสุริยพันธ์ เป็นพระราชอุปัชฌาย์ เมื่อทรงกระทำพิธีราชาภิเษกครั้งที่ 2 จึงทรงสถาปนาพระราชอุปัชฌาย์ขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระปวเรศวริยาลงภรณ์ ในปี พ.ศ. 2434 โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระปวเรศวิรยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งมหาสังฆปรินายก เหมือนกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ
พระองค์สนพระทัยศึกษาทางพระพุทธศาสนามาก ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้หลายเรื่อง ทั้งยังทรงส่งเสริมและโปรดริเริ่มเกี่ยวกับวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดหนังสือที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาพระพุทธศาสนามิใช่น้อย โดยในรัชกาลนี้ได้มีการคัดเลือกมหาชาติร่ายยาวขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2445 โดยกรมศึกษาธิการ ถึงปัจจุบันหนังสือนี้ยังได้ใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนชั้นสูงและมหาวิทยาลัยด้วย สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้นิพนธ์หลักการใช้ตัวอักษรไทยเพื่อถ่ายทอดคำบาลี ชื่อ กถาปัฏฐปนะและอักขราวิธาน เมื่อ พ.ศ. 2426 ซึ่งเป็นผลให้การใช้ภาษาบาลีอักษรไทย โดยใช้เครื่องหมายในวงเล็บ(.)แทนการใช้ไม้ยมก ดังปรากฏในปัจจุบัน และวรรณกรรมที่เรียกว่า ประเภทสัททศาสตร์ก็ปรากฏขึ้นในรัชกาลที่ 5 นี้
เกี่ยวกับพระศาสนสถาน รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา สร้างวัดขึ้นหลายวัดและทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆอีกหลายวัด
เกี่ยวกับต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2414 หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 3 ปี ได้เสด็จประพาสต่างประเทศและเสด็จถึงประเทศอินเดียแดนพุทธภูมิด้วย เสด็จไปบูชาสังเวชนียสถานมฤคทายวัน ทรงหาศาสนวัตถุ ตลอดจนภาพพุทธเจดีย์ได้มาหลายอย่าง และการเสด็จประเทศอินเดียครั้งนี้เองเป็นเหตุให้นักศึกษาพระพุทธศาสนาเปลี่ยนเส้นทางจากศรีลังกาหันไปสนใจอินเดียตั้งแต่นั้นสืบมา และนับว่ารัชกาลที่ 5 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประเทศอินเดีย อนึ่ง ในรัชกาลนี้ ยังได้พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาโดยตรงอีกด้วย ทรงโปรดให้ปลูกไว้ที่วัดเบญจมบพิตร 1 ต้น และที่วัตอัษฎางคนิมิตร 1 ต้น ต่อมาได้มีผู้ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ และมีคำจารึกเป็นอักษรเก่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นหลักฐาน ณ ป่าเมืองกบิลพัสดุ์ มาร์ควิส เดอสัน อุปราชอินเดียในสมัยนั้นจึงอัญเชิญกราบทูลถวายมายังประเทศไทย ในรัชกาลที่ 5 นี้ด้วย พระองค์จึงโปรดให้พระยาสุขุมนัยประดิษฐ์ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าพระยายมราช(มหาปั้น สุขุม)เดินทางไปอัญเชิญมา ในการนี้ปรากฏว่ามีทูตานุทูตจากประเทศพระพุทธศาสนาเข้ามาเมืองไทย กราบทูลขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พระองค์ก็ทรงพระกรุณาแบ่งให้ ส่วนที่เป็นสมบัติของไทย โปรดให้บรรจุไว้ในพระเจดีย์บนยอดเขาสุวรรณบรรพต(ภูเขาทอง)วัดสระเกศ กรุงเทพฯ
เกี่ยวกับการศึกษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงนิมนต์ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นประธานในการวางระเบียบการศึกษาของประชาชน โดยให้พระเถระทั้งหลายทั้งในส่วนกลางและตามหัวเมืองต่างๆทั่วพระราชอาณาจักรตั้งโรงเรียนสอนเด็กขึ้นในวัด โดยให้พระเป็นครูอาจารย์สอนเอง รัฐบาลเป็นฝ่ายเกื้อกูล นี้คือจุดเริ่มต้นการศึกษาของชาติที่เกิดมาจากวัด ต่อมาเมื่อมีกระทรวงธรรมการขึ้นจึงได้รับงานการศึกษานี้ไป อันเป็นเหตุให้การศึกษาของชาติขั้นมูลฐานห่างออกไปจากวัดและพระสงฆ์มาโดยลำดับ และพระองค์ยังทรงส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์ในระดับสูงอีก คือโปรดให้ตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น 2 แห่ง คือที่วัดบวรนิเวศวิหาร เรียก “มหามกุฎราชวิทยาลัย” และที่วัดมหาธาตุเรียกว่า “มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย”
เกี่ยวกับพระไตรปิฎก เมื่อพระองค์เสวยราชย์ได้ 25 ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล เนื่องจากทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์หลักสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนาที่จารึกไว้ในใบลานนั้นเป็นการไม่มั่นคง ทั้งมีจำนวนมากยากแก่การรักษา และ ยังเป็นอักษรขอมอีกด้วย ผู้ไม่ได้เรียนภาษาขอมก็อ่านไม่ออกไม่เข้าใจไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร จึงโปรดให้พระเถรานุเถระทั้งหลายประชุมทำสังคายนาชำระพระไตรปิฎก ถ่ายจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย ภาษาบาลีขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2431 เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2436 และได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือจำนวน 1,000 จบ(ชุด) พระราชทานไปตามพระอารามหลวงทุกแห่งและหอสมุดในนานาประเทศพระพุทธศาสนา ในการนี้พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาสละพระราชทรัพย์ทั้งสิ้นเพื่อทรงบำเพ็ญพระมหากุศล เนื่องในวโรกาสที่พระองค์เสวยราชย์มาครบ 25 พรรษา นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย และเป็นประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากที่ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และถือว่าเป็นการวางรากฐานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วย จึงนับว่าเป็นพระราชกรณียกิจที่ควรแก่การสรรเสริญยิ่ง
เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์เมื่อทรงเสวยราชย์มา 12 ปี ในวงการคณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลง คือ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งรับกรมเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้มีสมณศักดิ์เป็น เจ้าคณะรองคณะธรรมยุตินิกาย จึงถือได้ว่าสมณศักดิ์ตำแหน่งนี้มีขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้สางเกตได้ว่า คณะธรรมยุติได้แยกตัวออกเป็นคณะต่างหากแต่ครั้งนี้เอง
เกี่ยวกับประกาศและพระราชบัญญัติ ในรัชกาลที่ 5 นี้ มีประกาศพระราชบัญญัติ กฎ ข้อบังคับที่สำคัญออกมาหลายฉบับ เช่น
(ก)ประกาศผู้บวชให้มีประกัน(พ.ศ. 2419)
(ข)ประกาศห้ามภิกษุสามเณรประพฤติอนาจาร
(ค)ข้อบังคับเรื่องเงินกัลปนา(พ.ศ. 2445)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช(พ.ศ.2411–2453)พระองค์เสวยราชย์แล้วดำเนินตามโบราณราชประเพณีแล้ว เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงลาผนวช 15 วัน เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2416 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยกรมหมื่นรังสีสุริยพันธ์ เป็นพระราชอุปัชฌาย์ เมื่อทรงกระทำพิธีราชาภิเษกครั้งที่ 2 จึงทรงสถาปนาพระราชอุปัชฌาย์ขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระปวเรศวริยาลงภรณ์ ในปี พ.ศ. 2434 โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระปวเรศวิรยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งมหาสังฆปรินายก เหมือนกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ
พระองค์สนพระทัยศึกษาทางพระพุทธศาสนามาก ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้หลายเรื่อง ทั้งยังทรงส่งเสริมและโปรดริเริ่มเกี่ยวกับวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดหนังสือที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาพระพุทธศาสนามิใช่น้อย โดยในรัชกาลนี้ได้มีการคัดเลือกมหาชาติร่ายยาวขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2445 โดยกรมศึกษาธิการ ถึงปัจจุบันหนังสือนี้ยังได้ใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนชั้นสูงและมหาวิทยาลัยด้วย สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้นิพนธ์หลักการใช้ตัวอักษรไทยเพื่อถ่ายทอดคำบาลี ชื่อ กถาปัฏฐปนะและอักขราวิธาน เมื่อ พ.ศ. 2426 ซึ่งเป็นผลให้การใช้ภาษาบาลีอักษรไทย โดยใช้เครื่องหมายในวงเล็บ(.)แทนการใช้ไม้ยมก ดังปรากฏในปัจจุบัน และวรรณกรรมที่เรียกว่า ประเภทสัททศาสตร์ก็ปรากฏขึ้นในรัชกาลที่ 5 นี้
เกี่ยวกับพระศาสนสถาน รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา สร้างวัดขึ้นหลายวัดและทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆอีกหลายวัด
เกี่ยวกับต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2414 หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 3 ปี ได้เสด็จประพาสต่างประเทศและเสด็จถึงประเทศอินเดียแดนพุทธภูมิด้วย เสด็จไปบูชาสังเวชนียสถานมฤคทายวัน ทรงหาศาสนวัตถุ ตลอดจนภาพพุทธเจดีย์ได้มาหลายอย่าง และการเสด็จประเทศอินเดียครั้งนี้เองเป็นเหตุให้นักศึกษาพระพุทธศาสนาเปลี่ยนเส้นทางจากศรีลังกาหันไปสนใจอินเดียตั้งแต่นั้นสืบมา และนับว่ารัชกาลที่ 5 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประเทศอินเดีย อนึ่ง ในรัชกาลนี้ ยังได้พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาโดยตรงอีกด้วย ทรงโปรดให้ปลูกไว้ที่วัดเบญจมบพิตร 1 ต้น และที่วัตอัษฎางคนิมิตร 1 ต้น ต่อมาได้มีผู้ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ และมีคำจารึกเป็นอักษรเก่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นหลักฐาน ณ ป่าเมืองกบิลพัสดุ์ มาร์ควิส เดอสัน อุปราชอินเดียในสมัยนั้นจึงอัญเชิญกราบทูลถวายมายังประเทศไทย ในรัชกาลที่ 5 นี้ด้วย พระองค์จึงโปรดให้พระยาสุขุมนัยประดิษฐ์ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าพระยายมราช(มหาปั้น สุขุม)เดินทางไปอัญเชิญมา ในการนี้ปรากฏว่ามีทูตานุทูตจากประเทศพระพุทธศาสนาเข้ามาเมืองไทย กราบทูลขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พระองค์ก็ทรงพระกรุณาแบ่งให้ ส่วนที่เป็นสมบัติของไทย โปรดให้บรรจุไว้ในพระเจดีย์บนยอดเขาสุวรรณบรรพต(ภูเขาทอง)วัดสระเกศ กรุงเทพฯ
เกี่ยวกับการศึกษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงนิมนต์ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นประธานในการวางระเบียบการศึกษาของประชาชน โดยให้พระเถระทั้งหลายทั้งในส่วนกลางและตามหัวเมืองต่างๆทั่วพระราชอาณาจักรตั้งโรงเรียนสอนเด็กขึ้นในวัด โดยให้พระเป็นครูอาจารย์สอนเอง รัฐบาลเป็นฝ่ายเกื้อกูล นี้คือจุดเริ่มต้นการศึกษาของชาติที่เกิดมาจากวัด ต่อมาเมื่อมีกระทรวงธรรมการขึ้นจึงได้รับงานการศึกษานี้ไป อันเป็นเหตุให้การศึกษาของชาติขั้นมูลฐานห่างออกไปจากวัดและพระสงฆ์มาโดยลำดับ และพระองค์ยังทรงส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์ในระดับสูงอีก คือโปรดให้ตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น 2 แห่ง คือที่วัดบวรนิเวศวิหาร เรียก “มหามกุฎราชวิทยาลัย” และที่วัดมหาธาตุเรียกว่า “มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย”
เกี่ยวกับพระไตรปิฎก เมื่อพระองค์เสวยราชย์ได้ 25 ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล เนื่องจากทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์หลักสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนาที่จารึกไว้ในใบลานนั้นเป็นการไม่มั่นคง ทั้งมีจำนวนมากยากแก่การรักษา และ ยังเป็นอักษรขอมอีกด้วย ผู้ไม่ได้เรียนภาษาขอมก็อ่านไม่ออกไม่เข้าใจไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร จึงโปรดให้พระเถรานุเถระทั้งหลายประชุมทำสังคายนาชำระพระไตรปิฎก ถ่ายจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย ภาษาบาลีขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2431 เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2436 และได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือจำนวน 1,000 จบ(ชุด) พระราชทานไปตามพระอารามหลวงทุกแห่งและหอสมุดในนานาประเทศพระพุทธศาสนา ในการนี้พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาสละพระราชทรัพย์ทั้งสิ้นเพื่อทรงบำเพ็ญพระมหากุศล เนื่องในวโรกาสที่พระองค์เสวยราชย์มาครบ 25 พรรษา นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย และเป็นประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากที่ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และถือว่าเป็นการวางรากฐานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วย จึงนับว่าเป็นพระราชกรณียกิจที่ควรแก่การสรรเสริญยิ่ง
เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์เมื่อทรงเสวยราชย์มา 12 ปี ในวงการคณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลง คือ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งรับกรมเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้มีสมณศักดิ์เป็น เจ้าคณะรองคณะธรรมยุตินิกาย จึงถือได้ว่าสมณศักดิ์ตำแหน่งนี้มีขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้สางเกตได้ว่า คณะธรรมยุติได้แยกตัวออกเป็นคณะต่างหากแต่ครั้งนี้เอง
เกี่ยวกับประกาศและพระราชบัญญัติ ในรัชกาลที่ 5 นี้ มีประกาศพระราชบัญญัติ กฎ ข้อบังคับที่สำคัญออกมาหลายฉบับ เช่น
(ก)ประกาศผู้บวชให้มีประกัน(พ.ศ. 2419)
(ข)ประกาศห้ามภิกษุสามเณรประพฤติอนาจาร
(ค)ข้อบังคับเรื่องเงินกัลปนา(พ.ศ. 2445)
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2453–2468)เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2453 เกี่ยวกับคณะสงฆ์ สิ่งแรกที่พระองค์ทรงปฏิบัติ คือ โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษกเลื่อนพระเรียนติยศกรมหลวงวชิรญาณวโรรสเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตำแหน่งสมเด็จพระมหาสมณะเป็นมหาสังฆปรินายกและเป็นเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตินิกายด้วย และพระราชทานอำนาจปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นภาระของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าทั้งฝ่ายการบริหารและฝ่ายการศึกษาพระปริยัติธรรม แต่ว่าการบริหารคณะสงฆ์ก็ยังคงเป็นไปตามพระราชบัญญัติลักขณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ดังที่ผ่านมาในรัชกาลที่ 5
เกี่ยวกับประกาศระเบียบข้อบังคับ ในรัชกาลนี้ ได้มีประกาศระเบียบข้อบังคับต่างๆเกี่ยวกับคณะสงฆ์หลายฉบับ ปรากฏตามแถลงการณ์คณะสงฆ์ พ.ศ. 2456–2457–2458 ดังนี้
(ก)ประกาศเรื่องตั้งพระอุปัชฌายะ
(ข)เกี่ยวกับพระต้องคดีอาญา
(ค)พระมหาสมณาณัติ เรื่องพระเที่ยวเตร็ดเตร่
(ง)ระเบียบปกครองใหม่ ให้คณะมณฑลขึ้นต่อปักษ์
เกี่ยวกับด้านวรรณกรรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถมากในทางวรรณกรรม ทรงพระนิพนธ์ได้ทุกแขนงวิชาการ จึงทรงได้รับพระนามเฉลิมพระปรีชาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราช” ตัวอย่างพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นวรรณกรรมที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้แม้ในปัจจุบัน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2457 โปรดให้ใช้พุทธศักราชแทนรัตนโกสินทรศก เป็นศักราชทางราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2457 เป็นต้นไป
ในปี พ.ศ. 2462 โปรดให้เปลี่ยนเรียกกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และย้ายกระทรวงธรรมการออำไปรวมอยู่ในราชสำนำตามประเพณีเดิม นับว่าทรงแยกการศึกษาฝ่ายศาสนากับฝ่ายบ้านเมืองให้อยู่ต่างที่ต่างสังกัดกัน กระทรวงธรรมการ สังกัดอยู่ในราชสำนัก มี 2 กรม คือ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2453–2468)เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2453 เกี่ยวกับคณะสงฆ์ สิ่งแรกที่พระองค์ทรงปฏิบัติ คือ โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษกเลื่อนพระเรียนติยศกรมหลวงวชิรญาณวโรรสเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตำแหน่งสมเด็จพระมหาสมณะเป็นมหาสังฆปรินายกและเป็นเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตินิกายด้วย และพระราชทานอำนาจปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นภาระของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าทั้งฝ่ายการบริหารและฝ่ายการศึกษาพระปริยัติธรรม แต่ว่าการบริหารคณะสงฆ์ก็ยังคงเป็นไปตามพระราชบัญญัติลักขณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ดังที่ผ่านมาในรัชกาลที่ 5
เกี่ยวกับประกาศระเบียบข้อบังคับ ในรัชกาลนี้ ได้มีประกาศระเบียบข้อบังคับต่างๆเกี่ยวกับคณะสงฆ์หลายฉบับ ปรากฏตามแถลงการณ์คณะสงฆ์ พ.ศ. 2456–2457–2458 ดังนี้
(ก)ประกาศเรื่องตั้งพระอุปัชฌายะ
(ข)เกี่ยวกับพระต้องคดีอาญา
(ค)พระมหาสมณาณัติ เรื่องพระเที่ยวเตร็ดเตร่
(ง)ระเบียบปกครองใหม่ ให้คณะมณฑลขึ้นต่อปักษ์
เกี่ยวกับด้านวรรณกรรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถมากในทางวรรณกรรม ทรงพระนิพนธ์ได้ทุกแขนงวิชาการ จึงทรงได้รับพระนามเฉลิมพระปรีชาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราช” ตัวอย่างพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นวรรณกรรมที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้แม้ในปัจจุบัน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2457 โปรดให้ใช้พุทธศักราชแทนรัตนโกสินทรศก เป็นศักราชทางราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2457 เป็นต้นไป
ในปี พ.ศ. 2462 โปรดให้เปลี่ยนเรียกกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และย้ายกระทรวงธรรมการออำไปรวมอยู่ในราชสำนำตามประเพณีเดิม นับว่าทรงแยกการศึกษาฝ่ายศาสนากับฝ่ายบ้านเมืองให้อยู่ต่างที่ต่างสังกัดกัน กระทรวงธรรมการ สังกัดอยู่ในราชสำนัก มี 2 กรม คือ
- กรมสังฆการี มีหน้าที่เป็นเจ้าทะเบียนสงฆ์ และดูแลพระอาราม
- กรมกัลปนา มีหน้าที่ดูแลที่ธรณีสงฆ์ โดยมีกองศาสนสมบัติ มีหน้าที่รักษาสมบัติสงฆ์ และกองปริยัติธรรม มีหน้าที่บำรุงการศึกษาในพระพุทธศาสนา
เกี่ยวกับการศึกษาพระปริยัติธรรม ในปี พ.ศ. 2454 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้รับพระบรมราชานุเคราะห์เกี่ยวกับการศึกษาพระปริยัติธรรม จึงทรงจัดให้มีการศึกษาปริยัติธรรมขึ้นใหม่อีกหลักสูตรหนึ่ง เรียกว่า “นักธรรม” เพื่ออบรมภิกษุสามเณรที่มีโอกาสบวชเรียนน้อยวันแล้วลาสิกขาบทไปให้ได้รับความรู้ในทางพระพุทธศาสนาตามสมควร จึงได้มีการสอบนักธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2457 ส่วนการศึกษาภาษาบาลีสนามหลวงก็ทรงเปลี่ยนวิธีการสอบใหม่มาเป็นวิธีเขียน ซึ่งนับว่าเป็นการสอบภาษาบาลีสนามหลวงด้วยวิธีเขียนเป็นครั้งแรก เริ่มด้วยประโยค 1-2 โดยประกาศใช้เป็นทางการทุกประโยคเมื่อ พ.ศ. 2458 พร้อมกันนั้นหนังสือบาลีไวยากรณ์ 7 เล่ม ซึ่งใช้เป็นแบบเรียนบังคับมาจนทุกวันนี้ ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์นั้น ก็ทรงนิพนธ์ขึ้นในครั้งนี้ด้วย
เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. 2462–2463 เนื่องในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และเพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวงด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงโปรดให้พิมพ์อรรถกถาชาดกและคัมภีร์ต่างๆ ในโอกาสต่างๆอีกด้วย
เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. 2462–2463 เนื่องในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และเพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวงด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงโปรดให้พิมพ์อรรถกถาชาดกและคัมภีร์ต่างๆ ในโอกาสต่างๆอีกด้วย
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 7)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2468–2477)เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2468 เกี่ยวกับด้านคณะสงฆ์ ประการแรกที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าขึ้นเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สกลมหาสังฆปรินายก และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติด้วย
เกี่ยวกับพฤติกรรมของพระสงฆ์บางกลุ่ม ในปี พ.ศ. 2475 (ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม) ได้มีพระสงฆ์บางกลุ่ม(เข้าใจว่าจะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย)เกิดการกระด้างกระเดื่องต่อผู้ใหญ่ฝ่ายสงฆ์ และเหตุนั้นอาจจะเนื่องมาจากไม่พอใจในการบริหารคณะสงฆ์ ด้วยระยะนั้นยังใช้ พ.ร.บง 121 อยู่ และ พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นของเก่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ผู้ได้เปรียบมากมีอำนาจมากได้แก่คณะธรรมยุติ พระสงฆ์หลายกลุ่มจึงมีทีว่าจะไม่เคารพยำเกรงต่อ พ.ร.บ. นั้น เมื่อ มีพฤติกรรมดังนี้เกิดขึ้น ทางมหาเถรสมาคม โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงสินวรสิริวัฒน์ ออกประกาศให้ทราบทั่วกัน ใจความสำคัญของประกาศ คือ ให้รักษาความสงบเรียบร้อยและให้เคารพต่อ พ.ร.บ. 121
เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของคณะปกครองสงฆ์ รัชกาลที่ 7 ได้กำหนดคณะใหม่ ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2468–2477)เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2468 เกี่ยวกับด้านคณะสงฆ์ ประการแรกที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าขึ้นเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สกลมหาสังฆปรินายก และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติด้วย
เกี่ยวกับพฤติกรรมของพระสงฆ์บางกลุ่ม ในปี พ.ศ. 2475 (ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม) ได้มีพระสงฆ์บางกลุ่ม(เข้าใจว่าจะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย)เกิดการกระด้างกระเดื่องต่อผู้ใหญ่ฝ่ายสงฆ์ และเหตุนั้นอาจจะเนื่องมาจากไม่พอใจในการบริหารคณะสงฆ์ ด้วยระยะนั้นยังใช้ พ.ร.บง 121 อยู่ และ พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นของเก่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ผู้ได้เปรียบมากมีอำนาจมากได้แก่คณะธรรมยุติ พระสงฆ์หลายกลุ่มจึงมีทีว่าจะไม่เคารพยำเกรงต่อ พ.ร.บ. นั้น เมื่อ มีพฤติกรรมดังนี้เกิดขึ้น ทางมหาเถรสมาคม โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงสินวรสิริวัฒน์ ออกประกาศให้ทราบทั่วกัน ใจความสำคัญของประกาศ คือ ให้รักษาความสงบเรียบร้อยและให้เคารพต่อ พ.ร.บ. 121
เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของคณะปกครองสงฆ์ รัชกาลที่ 7 ได้กำหนดคณะใหม่ ดังนี้
- คณะธรรมยุตินิกาย
- คณะกลาง ประกอบด้วย 4
มณฑล คือ คณะกรุงเทพฯ คณะมณฑลอยุธยา คณะมณฑลราชบุรีและคณะมณฑลปราจีนบุรี
- คณะเหนือ ประกอบด้วย 4
มณฑล คือ คณะมณฑลพิษณุโลก คณะมณฑลพายัพ คณะมณฑลนครราชสีมาและคณะมณฑลอุดร
- คณะใต้ ประกอบด้วย 2
มณฑล คือ คณะมณฑลนครศรีธรรมราชและคณะมณฑลภูเก็ต
ด้วยเหตุนี้นั่นเอง คณะสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะปฏิสังขรณ์กาสาวพัสตร์” จึงได้เกิดขึ้น คณะดังกล่าว คือกลุ่มภิกษุฝ่ายมหานิกายกลุ่มหนึ่ง ได้ดำเนินการขอร้องให้ทางคณะสงฆ์ยกเลิก พ.ร.บ. 121 และให้ใช้กฎหมายอื่นแทน เพื่อให้คณะสงฆ์ได้มีสังฆสามัคคีและเกิดความเสมอภาคในระหว่างคณะสงฆ์ 2 นิกาย ด้วยเหตุนี้สภาผู้แทนราษฎรในครั้งนั้น จึงได้พิจารณาออกกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นคือ “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช 2484“ รูปแบบคล้ายการปกครองฝ่ายอาณาจักรเป็นส่วนมาก
เกี่ยวกับการศึกษา รัชกาลที่ 7 โปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับกระทรวงศึกษาธิการ และโปรดให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิมอีก โดยพระราชดำริว่า “การศึกษาไม่ควรแยกจากวัด” จากนั้นอีก 3 ปี คือในปี พ.ศ. 2472 โปรดให้ราชบัณฑิตยสถานเปิดการประกวดแต่งหนังสือสำหรับเด็กขึ้นเนื่องในวันวิสาขบูชา และในปีนี้เองได้เริ่มเปิดโอกาสให้ฆราวาสเรียนปริยัติธรรมแผนกธรรมได้ เรียกว่า “ธรรมศึกษา” และในสมัยนี้ กระทรวงธรรมการได้ประกาศเพิ่มหลักสูตรจริยศึกษาขึ้น(เดิมมีเพียง 2 อย่าง คือ พุทธิศึกษาและพลศึกษา) การเพิ่มหลักสูตรนี้ได้ประกาศเป็นแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475 ข้อ3 ความว่า “เพื่อความสมบูรณ์แห่งพสกนิกรสยาม ท่านให้จักการศึกษาทั้งสามส่วนล้วนพอเหมาะกัน” คือ
1.จริยศึกษา อบรมให้มีศีลธรรมดีงาม
2.พุทธศึกษา ให้มีปัญญาความรู้
3.พลศึกษา ฝึกหัดให้เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ที่เมืองไชยา ชื่อ”ภิกษุ พุทธทาส อินทปญโญ” ได้ก่อตั้งกิจกรรมเผยแผ่ศาสนธรรมแบบใหม่ขึ้น เรียกว่า “คณะธรรมทาน” ที่ “สวนโมกขพลาราม” เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในป่าเช่นครั้งพุทธกาลและค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาเผยแผ่ทั่วไปทั้งในและต่างประเทศด้วยวิธีการต่างๆทั้งแบบเทศนา ปาฐกถา บรรยาย ออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา สร้างโรงมหรสพทางวิญญาณ ตลอดจนตั้งมูลนิธิจัดพิมพ์ข้อเขียนและคำบรรยายชุดธรรมโฆษณ์ออกเผยแผ่ มีผู้เดินทางไปศึกษาและค้นคว้าผลงานของท่านเป็นจำนวนมาก
เกี่ยวกับต่างประเทศ สมัยรัชกาลที่ 7 นี้ ด้านพระพุทธศาสนา ประเทศไทยกับประเทศศรีลังกาได้ติดต่อกันอยู่เป็นปกติ ส่วนใหญ่ทางฝ่ายศรีลังกาติดต่อมาเช่นในปี พ.ศ. 2469 ทางศรีลังกา คณะอมรปุระมหานิกาย โดยท่านอโนมหัสสีติสสะเถระได้มีหนังสือมาทูลขอพระราชทานเงินสร้างหอพระธรรม ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 พระสงฆ์ลังกาได้ขอพระมหานิกาย 10 รูป ไปช่วยอุปสมบทให้ชาวลังกา โดยพระอานันทธัมมทัสสี ศรีสรณังกร เจ้าอาวารวัดเบนโตต มีหนังสือถวายพระพรมายังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ขอพระบรมราชานุเคราะห์ดังกล่าว อ้างเหตุความเป็นไปในทางคณะสงฆ์ลังกากำลังเศร้าหมอง เพื่อชำระให้หมดจด ผู้ทำหนังสือมาเป็นพระ 3 รูป ฆราวาส 1 คน พร้อมขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทูลถวายพระบรมธาตุด้วย แต่ท่านเสนาบดีกระทรวงธรรมการแจ้งว่ามีงานพระราชพิธีติดต่อกันอยู่ จึงแนะนำให้มอบพระบรมธาตุไปกับราชเลขานุการฝ่ายต่างประเทศ ส่วนเรื่องขอพระมหานิกาย 10 รูปนั้น คาดว่าจะทรงพระกรุณาโปรดให้มหาเถรสมาคมวินิจฉัยและถวายความเป็น เมื่อเรื่องถึงมหาเถรสมาคม สมเด็จพระสังฆราชโปรดให้ตอบขัดข้อง แต่ถ้าทางลังกาประสงค์เช่นนั้นก็ให้ส่งคนเข้ามาบวชในเมืองไทย
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการกระทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ตั้งแด่ พ.ศ. 2468 ถึง พ.ศ. 2473 เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 นับว่าเป็นการกระทำสังคายนาครั้งที่ 3 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในการทำสังคายนาครั้งนี้ได้ใช้อักษรวิธีและเครื่องหมายในพระไตรปิฎกตามแบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่ทรงคิดขึ้นใหม่ และนำฉบับใบลาน(อักษรขอมและอาจเป็นฉบับที่สืบมาแต่รัชกาลที่ 1)นำมาแก้ไขเป็นภาษาบาลี(แบบใหม่)เพิ่มอีก 6 เล่ม จนครบบริบูรณ์ 45 เล่ม เสร็จแล้วพิมพ์ขึ้นจำนวน 1,500 จบ พระราชทานในพระราชอาณาจักร 200 จบ พระราชทานแก่นานาประเทศ 450 จบ อีก 850 จบ พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ขอรับหนังสือพระไตรปิฎก การทำสังคายนาครั้งนี้ ทำให้พระไตรปิฎกเปลี่ยนจากแบบใบลานมาเป็นแบบรูปเล่มที่สมบูรณ์ครบ 45 เล่ม เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
เกี่ยวกับการศึกษา รัชกาลที่ 7 โปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับกระทรวงศึกษาธิการ และโปรดให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิมอีก โดยพระราชดำริว่า “การศึกษาไม่ควรแยกจากวัด” จากนั้นอีก 3 ปี คือในปี พ.ศ. 2472 โปรดให้ราชบัณฑิตยสถานเปิดการประกวดแต่งหนังสือสำหรับเด็กขึ้นเนื่องในวันวิสาขบูชา และในปีนี้เองได้เริ่มเปิดโอกาสให้ฆราวาสเรียนปริยัติธรรมแผนกธรรมได้ เรียกว่า “ธรรมศึกษา” และในสมัยนี้ กระทรวงธรรมการได้ประกาศเพิ่มหลักสูตรจริยศึกษาขึ้น(เดิมมีเพียง 2 อย่าง คือ พุทธิศึกษาและพลศึกษา) การเพิ่มหลักสูตรนี้ได้ประกาศเป็นแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475 ข้อ3 ความว่า “เพื่อความสมบูรณ์แห่งพสกนิกรสยาม ท่านให้จักการศึกษาทั้งสามส่วนล้วนพอเหมาะกัน” คือ
1.จริยศึกษา อบรมให้มีศีลธรรมดีงาม
2.พุทธศึกษา ให้มีปัญญาความรู้
3.พลศึกษา ฝึกหัดให้เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ที่เมืองไชยา ชื่อ”ภิกษุ พุทธทาส อินทปญโญ” ได้ก่อตั้งกิจกรรมเผยแผ่ศาสนธรรมแบบใหม่ขึ้น เรียกว่า “คณะธรรมทาน” ที่ “สวนโมกขพลาราม” เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในป่าเช่นครั้งพุทธกาลและค้นคว้าทางพระพุทธศาสนาเผยแผ่ทั่วไปทั้งในและต่างประเทศด้วยวิธีการต่างๆทั้งแบบเทศนา ปาฐกถา บรรยาย ออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา สร้างโรงมหรสพทางวิญญาณ ตลอดจนตั้งมูลนิธิจัดพิมพ์ข้อเขียนและคำบรรยายชุดธรรมโฆษณ์ออกเผยแผ่ มีผู้เดินทางไปศึกษาและค้นคว้าผลงานของท่านเป็นจำนวนมาก
เกี่ยวกับต่างประเทศ สมัยรัชกาลที่ 7 นี้ ด้านพระพุทธศาสนา ประเทศไทยกับประเทศศรีลังกาได้ติดต่อกันอยู่เป็นปกติ ส่วนใหญ่ทางฝ่ายศรีลังกาติดต่อมาเช่นในปี พ.ศ. 2469 ทางศรีลังกา คณะอมรปุระมหานิกาย โดยท่านอโนมหัสสีติสสะเถระได้มีหนังสือมาทูลขอพระราชทานเงินสร้างหอพระธรรม ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 พระสงฆ์ลังกาได้ขอพระมหานิกาย 10 รูป ไปช่วยอุปสมบทให้ชาวลังกา โดยพระอานันทธัมมทัสสี ศรีสรณังกร เจ้าอาวารวัดเบนโตต มีหนังสือถวายพระพรมายังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ขอพระบรมราชานุเคราะห์ดังกล่าว อ้างเหตุความเป็นไปในทางคณะสงฆ์ลังกากำลังเศร้าหมอง เพื่อชำระให้หมดจด ผู้ทำหนังสือมาเป็นพระ 3 รูป ฆราวาส 1 คน พร้อมขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทูลถวายพระบรมธาตุด้วย แต่ท่านเสนาบดีกระทรวงธรรมการแจ้งว่ามีงานพระราชพิธีติดต่อกันอยู่ จึงแนะนำให้มอบพระบรมธาตุไปกับราชเลขานุการฝ่ายต่างประเทศ ส่วนเรื่องขอพระมหานิกาย 10 รูปนั้น คาดว่าจะทรงพระกรุณาโปรดให้มหาเถรสมาคมวินิจฉัยและถวายความเป็น เมื่อเรื่องถึงมหาเถรสมาคม สมเด็จพระสังฆราชโปรดให้ตอบขัดข้อง แต่ถ้าทางลังกาประสงค์เช่นนั้นก็ให้ส่งคนเข้ามาบวชในเมืองไทย
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการกระทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ตั้งแด่ พ.ศ. 2468 ถึง พ.ศ. 2473 เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 นับว่าเป็นการกระทำสังคายนาครั้งที่ 3 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในการทำสังคายนาครั้งนี้ได้ใช้อักษรวิธีและเครื่องหมายในพระไตรปิฎกตามแบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่ทรงคิดขึ้นใหม่ และนำฉบับใบลาน(อักษรขอมและอาจเป็นฉบับที่สืบมาแต่รัชกาลที่ 1)นำมาแก้ไขเป็นภาษาบาลี(แบบใหม่)เพิ่มอีก 6 เล่ม จนครบบริบูรณ์ 45 เล่ม เสร็จแล้วพิมพ์ขึ้นจำนวน 1,500 จบ พระราชทานในพระราชอาณาจักร 200 จบ พระราชทานแก่นานาประเทศ 450 จบ อีก 850 จบ พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ขอรับหนังสือพระไตรปิฎก การทำสังคายนาครั้งนี้ ทำให้พระไตรปิฎกเปลี่ยนจากแบบใบลานมาเป็นแบบรูปเล่มที่สมบูรณ์ครบ 45 เล่ม เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล(รัชกาลที่ 8)
รัชกาลที่ 8 (พ.ศ.2477–2489) ขึ้นครองราชย์ต่อจาก รัชกาลที่ 7 เมื่อพระชนมายุยังเยาว์วัย เกี่ยวกับคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2481 พระองค์ได้เสด็จนิวัติประเทศไทย เพื่อทรงเยี่ยมพสกนิกร ในปีนั้นเอง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธย ได้ประกาศสถาปนาสมเด็จพระวันรัต(แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โดยมี พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และได้โปรดฯ แต่งตั้งพระมหาอุบล ป.ธ.9 วัดเบ็ญจมบพิตร เป็นพระราชาคณะฤกษ์ มีนามสมณศักดิ์ว่า “พระอมรเมธี” ต่อมาวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2482 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฏ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และในวันที่ 24 เดือนเดียวกันนั้น คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธย จึงให้เฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชว่า “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ”
เกี่ยวกับการรวมนิกายสงฆ์ ในระยะนี้คณะสงฆ์ยังใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ร.ศ. 121 อยู่ และกลุ่มพระสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะปฏิสังขรณ์กาสาวพัตร” ก็ยังใช้ความพยายามในการรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทางการก็เห็นด้วย แต่จะหาทางออกหรือวิธีการอย่างไรจึงจะเหมาะสม การสร้างวัดพระศรีมหาธาตุ(บางเขน)ขึ้นก็ดี พระยาพหลพลพยุหเสนาอุปสมบทในท่ามกลางสงฆ์ 2 ฝ่ายก็ดี ก็เป็นนโยบายอย่างหนึ่งที่จะรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
วิธีการอันถือได้ว่าเป็นนโยบายรวมนิกายสงฆ์ในครั้งนั้นมีว่า ในรัชกาลที่ 8 นั้น สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม(ขณะนั้นมียศและบรรดาศักดิ์เป็นพลตรีหลวงพิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2483 ให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และให้แล้วเสร็จทันงานวันชาติ 24 มิถุนายน 2484 สถานที่สร้างใกล้กับอนุสาวรีย์หลักสี่ เพื่อให้ศาสนาคู่กับประเทศชาติตลอดไป คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบและให้ชื่อว่า “วัดประชาธิปไตย” ขณะก่อสร้างรัฐบาลได้ส่งคณะทูตพิเศษซึ่งเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจริญสันถวไมตรี เมื่อคณะทูตพิเศษซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์(ขณะนั้นยังเป็นนาวาเอกหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) เดินทางไปถึงประเทศอินเดีย ได้ติดต่อกับรัฐบาลอินเดียขอพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ขอให้รัฐบาลอินเดียตอนกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ให้ 5 กิ่ง จากต้นที่สืบมาแต่ต้นที่พระพุทธเจ้าประทับและตรัสรู้ที่พุทธคยา พร้อมทั้งขอดินจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบลด้วย รัฐบาลอินเดียเห็นว่าประเทศพุทธศาสนาต่างๆนั้น เห็นประเทศไทยประเทศเดียวที่ยกย่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาทางราชการ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ จึงได้ทรงมอบพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบ ณ มหาสถูปธรรมราชิกะ และได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พร้อมทั้งกิ่งพระศรีมหาโพธิ์และดินจากสังเวชนียสถานให้ตามความประสงค์ รัฐบาลไทยจึงได้ตกลงจะอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดที่กำลังสร้างใหม่นี้ และเห็นว่าพระบรมสารีริกธาตุกับพระศรีมหาโพธิ์เป็นศิริมงคลแก่วัดที่สร้างใหม่นี้ด้วย จึงตกลงตั้งนามวัดใหม่ว่า ”วัดพระศรีมหาธาตุ” และถวายวัดนี้เป็นเสนาสนะแก่ภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2485
รัชกาลที่ 8 (พ.ศ.2477–2489) ขึ้นครองราชย์ต่อจาก รัชกาลที่ 7 เมื่อพระชนมายุยังเยาว์วัย เกี่ยวกับคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2481 พระองค์ได้เสด็จนิวัติประเทศไทย เพื่อทรงเยี่ยมพสกนิกร ในปีนั้นเอง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธย ได้ประกาศสถาปนาสมเด็จพระวันรัต(แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โดยมี พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และได้โปรดฯ แต่งตั้งพระมหาอุบล ป.ธ.9 วัดเบ็ญจมบพิตร เป็นพระราชาคณะฤกษ์ มีนามสมณศักดิ์ว่า “พระอมรเมธี” ต่อมาวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2482 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฏ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และในวันที่ 24 เดือนเดียวกันนั้น คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธย จึงให้เฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชว่า “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ”
เกี่ยวกับการรวมนิกายสงฆ์ ในระยะนี้คณะสงฆ์ยังใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ร.ศ. 121 อยู่ และกลุ่มพระสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะปฏิสังขรณ์กาสาวพัตร” ก็ยังใช้ความพยายามในการรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทางการก็เห็นด้วย แต่จะหาทางออกหรือวิธีการอย่างไรจึงจะเหมาะสม การสร้างวัดพระศรีมหาธาตุ(บางเขน)ขึ้นก็ดี พระยาพหลพลพยุหเสนาอุปสมบทในท่ามกลางสงฆ์ 2 ฝ่ายก็ดี ก็เป็นนโยบายอย่างหนึ่งที่จะรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
วิธีการอันถือได้ว่าเป็นนโยบายรวมนิกายสงฆ์ในครั้งนั้นมีว่า ในรัชกาลที่ 8 นั้น สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม(ขณะนั้นมียศและบรรดาศักดิ์เป็นพลตรีหลวงพิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2483 ให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และให้แล้วเสร็จทันงานวันชาติ 24 มิถุนายน 2484 สถานที่สร้างใกล้กับอนุสาวรีย์หลักสี่ เพื่อให้ศาสนาคู่กับประเทศชาติตลอดไป คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบและให้ชื่อว่า “วัดประชาธิปไตย” ขณะก่อสร้างรัฐบาลได้ส่งคณะทูตพิเศษซึ่งเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจริญสันถวไมตรี เมื่อคณะทูตพิเศษซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์(ขณะนั้นยังเป็นนาวาเอกหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) เดินทางไปถึงประเทศอินเดีย ได้ติดต่อกับรัฐบาลอินเดียขอพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ขอให้รัฐบาลอินเดียตอนกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ให้ 5 กิ่ง จากต้นที่สืบมาแต่ต้นที่พระพุทธเจ้าประทับและตรัสรู้ที่พุทธคยา พร้อมทั้งขอดินจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบลด้วย รัฐบาลอินเดียเห็นว่าประเทศพุทธศาสนาต่างๆนั้น เห็นประเทศไทยประเทศเดียวที่ยกย่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาทางราชการ พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ จึงได้ทรงมอบพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบ ณ มหาสถูปธรรมราชิกะ และได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พร้อมทั้งกิ่งพระศรีมหาโพธิ์และดินจากสังเวชนียสถานให้ตามความประสงค์ รัฐบาลไทยจึงได้ตกลงจะอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดที่กำลังสร้างใหม่นี้ และเห็นว่าพระบรมสารีริกธาตุกับพระศรีมหาโพธิ์เป็นศิริมงคลแก่วัดที่สร้างใหม่นี้ด้วย จึงตกลงตั้งนามวัดใหม่ว่า ”วัดพระศรีมหาธาตุ” และถวายวัดนี้เป็นเสนาสนะแก่ภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2485
พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยลเดช(รัชกาลที่ 9)(พ.ศ. 2489 สืบมาจนถึงปัจจุบัน)
เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 9 สืบต่อมา
เกี่ยวกับการคณะสงฆ์ ได้ดำเนินไปตามรูปแบบแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เช่นตอนปลายรัชกาลที่ 8 ในสมัยสังฆนายกรูปที่ 5 นี้ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้แก่สมเด็จพระสังฆราช(ปลด) วัดเบญจมบพิตร ต่อมาเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง(วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2505)สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(จวน) สังฆนายก ได้รักษาการอยู่ชั่วคราว และในระยะนี้เอง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้เสนอรัฐบาล(สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี)ให้มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เสียใหม่ โดยเสนอให้ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ขึ้นแทน ซึ่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นี้ ข้อใหญ่ใจความเป็นการเปลี่ยนจากระบบสังฆมนตรี สังฆสภา แล้วหันกลับไปใช้ระบบมหาเถรสมาคมตามเดิมเช่นในครั้งรัชกาลที่ 5 คือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 แทน รัฐบาลเห็นชอบด้วย และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับ พ.ศ. 2505 แล้ว พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(อยู่) วัดสระเกศ เป็นประธาน เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และองค์ประธานคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกขึ้น มี 7 รูป ต่อมาปี พ.ศ. 2506 ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(อยู่) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก การปกครองคณะสงฆ์ระบบ “มหาเถรสมาคม” จึงสืบเนื่องต่อมาจนปัจจุบันนี้
เกี่ยวกับการศึกษาทางพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าในรัชกาลนี้ พุทธบริษัทได้สนใจศึกษาทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ฝ่ายคฤหัสถ์ได้ตั้งสมาคมทางพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้มูลนิธิทางพระพุทธศาสนาก็ได้มีการก่อตั้งขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาทางพระพุทธศาสนา แม้ในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆก็ได้มีนิสิตนักศึกษาจัดตั้งกลุ่มหรือชุมนุม(ชมรม)ทางพระพุทธศาสนาในชื่อต่างๆเกิดขึ้นหลายสถาบัน
เกี่ยวกับการศึกษาทางคณะสงฆ์ ก็ได้มีการยกระดับขึ้น เช่น มีสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เปิดการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เรียกว่า ”ศาสนศาสตร์บัณฑิต” ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2489 และประกาศยกระดับการศึกษามหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ เปิดการศึกษาระดับปริญญาที่เรียกว่า “พุทธศาสตร์บัณฑิต” ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา พระสงฆ์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ไปศึกษาต่อปริญญาโทและปริญญาเอกในต่างประเทศจบมามากแล้ว พระสงฆ์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยได้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและนอกประเทศ มีการส่งพระไทยไปประจำอยู่ที่วัดไทยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าของคณะสงฆ์อย่างหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ได้ทรงออกผนวช เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามโบราณราชประเพณี และประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร เป็นเวลา 15 วัน
เกี่ยวกับ 25 พุทธศตวรรษ การสร้าง พุทธศาสนสถาน ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลไทยได้จัดให้มีงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการจัดงานครั้งสำคัญทางพระพุทธศาสนาครั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างพุทธมณฑลขึ้น ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ในเนื้อที่ 2,500 ไร่ และยังได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยจำนวน 2,500 จบแจกจ่ายไปตามพระอารามหลวง ห้องสมุดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทั่วราชอาณาจักร และนานาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ตลอดจนมอบแก่ประชาชนที่มีศรัทธาบริจาคทรัพย์อุปถัมภ์การจัดพิมพ์เพื่อสร้างมอบไว้ตามพระอารามต่างๆ
เกี่ยวกับการศึกษาพิเศษของเยาวชน เนื่องจากสถานศึกษาของเด็กขยายออกจากวัดมากขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 ได้มีโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ณ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสางเสริมความรู้ทางพระพุทธศาสนาตามสมควรแก่วัยของเด็ก เพื่อปลูกฝังศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดี ให้รู้จักการบำเพ็ญประโยชน์และเผยแผ่พระพุทธศาสนา จากนั้นมาเป็นเวลา 30 ปี ถึงบัดนี้ได้มีโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เกิดขึ้นตามวัดวาอารามต่างๆกว่า 250 แห่งแล้ว ซึ่งทางกรมศาสนาก็ได้ให้ความอุปถัมภ์ด้วยตามสมควร
ในอดีตดังได้กล่าวมาว่า การเรียนการศึกษาเริ่มต้นจากวัด แม้การหยุดงานประจำสัปดาห์ก็หยุดในวันพระ แต่เมื่อได้เปลี่ยนแปลงไปดังที่ปรากฏแม้ในปัจจุบัน การคำนึงถึงคุณธรรมและวัฒนธรรมประจำชาติจึงนับว่าเป็นการดี ท่านนักปราชญ์ “พุทธทาส ภิกขุ” กล่าวย้ำจนจำกันได้ว่า “ศีลธรรมกลับมา โลกาอยู่ได้” จึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ ควรส่งเสริม และที่พอจะทำได้เลยคือ การเรียนการสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ คำที่ว่า ”ศีลธรรมกลับมา โลกาอยู่ได้” จะแจ่มใสขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 เกี่ยวกับการศึกษาฝ่ายสงฆ์ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศใช้หลักสูตรบาลีแผนใหม่ขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ในปี พ.ศ. 2514 กระทรวงศึกษาธิการโดยความเห็นชอบและความร่วมมือของคณะสงฆ์ได้มีการจัดทำหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นใช้ และออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2514 เพื่อปฏิบัติต่อไป
เกี่ยวกับองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก องค์การนี้ใช้คำย่อว่า “พ.ส.ล.” องค์การนี้ ที่ประชุมลงมติให้มาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทย มีกำหนดเวลา 4 ปี ต่อมาที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2512 ลงมติให้ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวรสืบไป
เกี่ยวกับการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุปสมบทนาคหลวง การอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เพื่อรับการบ่มนิสัย ศึกษา และปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวไทยมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธศาสนายิ่งเป็นปึกแผ่นเจริญขึ้น การอุปสมบทยิ่งถือเป็นประเพณีนิยมเพิ่มขึ้น พระมหากษัตริย์ทรงผนวชบ้าง พระบรมวงศานุวงศ์ทรงผนวชบ้าง ประชาชนก็นิยมตามมากยิ่งขึ้น มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อภาวะบ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร(รัชกาลที่ 2)ทรงผนวช ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ. 2331 นับว่าเป็น “นาคหลวงองค์แรก” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นราชประเพณีที่พระบรมราชวงศ์หากจะทรงผนวชจะต้องทรงผนวชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามโดยโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “นาคหลวง” โดยมีหลักฐาน คือ พระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในพระราชพิธี 12 เดือน ว่า ”การทรงผนวชเจ้านายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกทีเดียวนั้น คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพราะฉะนั้น บรรดาเจ้านายภายหลังที่เป็นเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า ทั้งในวังหลวงวังหน้า ไม่มีพระองค์ใดที่ได้ทรงผนวชอื่นนอกจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามเลย เว้นแต่พิการเป็นที่รังเกียจอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้น จึงได้ถือกันว่า ถ้าเจ้านายองค์ใดไม่ได้ทรงผนวชในวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ย่อมเป็นคนที่เสียแล้ว หรือจะเสียคนต่อไปเป็นแน่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถือจนชั้นบวชเณร…”
เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 9 สืบต่อมา
เกี่ยวกับการคณะสงฆ์ ได้ดำเนินไปตามรูปแบบแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เช่นตอนปลายรัชกาลที่ 8 ในสมัยสังฆนายกรูปที่ 5 นี้ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้แก่สมเด็จพระสังฆราช(ปลด) วัดเบญจมบพิตร ต่อมาเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง(วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2505)สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(จวน) สังฆนายก ได้รักษาการอยู่ชั่วคราว และในระยะนี้เอง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้เสนอรัฐบาล(สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี)ให้มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เสียใหม่ โดยเสนอให้ใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ขึ้นแทน ซึ่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นี้ ข้อใหญ่ใจความเป็นการเปลี่ยนจากระบบสังฆมนตรี สังฆสภา แล้วหันกลับไปใช้ระบบมหาเถรสมาคมตามเดิมเช่นในครั้งรัชกาลที่ 5 คือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 แทน รัฐบาลเห็นชอบด้วย และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับ พ.ศ. 2505 แล้ว พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(อยู่) วัดสระเกศ เป็นประธาน เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และองค์ประธานคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการมหาเถรสมาคมชุดแรกขึ้น มี 7 รูป ต่อมาปี พ.ศ. 2506 ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(อยู่) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก การปกครองคณะสงฆ์ระบบ “มหาเถรสมาคม” จึงสืบเนื่องต่อมาจนปัจจุบันนี้
เกี่ยวกับการศึกษาทางพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าในรัชกาลนี้ พุทธบริษัทได้สนใจศึกษาทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ฝ่ายคฤหัสถ์ได้ตั้งสมาคมทางพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้มูลนิธิทางพระพุทธศาสนาก็ได้มีการก่อตั้งขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาทางพระพุทธศาสนา แม้ในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆก็ได้มีนิสิตนักศึกษาจัดตั้งกลุ่มหรือชุมนุม(ชมรม)ทางพระพุทธศาสนาในชื่อต่างๆเกิดขึ้นหลายสถาบัน
เกี่ยวกับการศึกษาทางคณะสงฆ์ ก็ได้มีการยกระดับขึ้น เช่น มีสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เปิดการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เรียกว่า ”ศาสนศาสตร์บัณฑิต” ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2489 และประกาศยกระดับการศึกษามหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ เปิดการศึกษาระดับปริญญาที่เรียกว่า “พุทธศาสตร์บัณฑิต” ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา พระสงฆ์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ไปศึกษาต่อปริญญาโทและปริญญาเอกในต่างประเทศจบมามากแล้ว พระสงฆ์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยได้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและนอกประเทศ มีการส่งพระไทยไปประจำอยู่ที่วัดไทยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าของคณะสงฆ์อย่างหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ได้ทรงออกผนวช เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามโบราณราชประเพณี และประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศน์วิหาร เป็นเวลา 15 วัน
เกี่ยวกับ 25 พุทธศตวรรษ การสร้าง พุทธศาสนสถาน ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลไทยได้จัดให้มีงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการจัดงานครั้งสำคัญทางพระพุทธศาสนาครั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างพุทธมณฑลขึ้น ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ในเนื้อที่ 2,500 ไร่ และยังได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยจำนวน 2,500 จบแจกจ่ายไปตามพระอารามหลวง ห้องสมุดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทั่วราชอาณาจักร และนานาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ตลอดจนมอบแก่ประชาชนที่มีศรัทธาบริจาคทรัพย์อุปถัมภ์การจัดพิมพ์เพื่อสร้างมอบไว้ตามพระอารามต่างๆ
เกี่ยวกับการศึกษาพิเศษของเยาวชน เนื่องจากสถานศึกษาของเด็กขยายออกจากวัดมากขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 ได้มีโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ณ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสางเสริมความรู้ทางพระพุทธศาสนาตามสมควรแก่วัยของเด็ก เพื่อปลูกฝังศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดี ให้รู้จักการบำเพ็ญประโยชน์และเผยแผ่พระพุทธศาสนา จากนั้นมาเป็นเวลา 30 ปี ถึงบัดนี้ได้มีโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เกิดขึ้นตามวัดวาอารามต่างๆกว่า 250 แห่งแล้ว ซึ่งทางกรมศาสนาก็ได้ให้ความอุปถัมภ์ด้วยตามสมควร
ในอดีตดังได้กล่าวมาว่า การเรียนการศึกษาเริ่มต้นจากวัด แม้การหยุดงานประจำสัปดาห์ก็หยุดในวันพระ แต่เมื่อได้เปลี่ยนแปลงไปดังที่ปรากฏแม้ในปัจจุบัน การคำนึงถึงคุณธรรมและวัฒนธรรมประจำชาติจึงนับว่าเป็นการดี ท่านนักปราชญ์ “พุทธทาส ภิกขุ” กล่าวย้ำจนจำกันได้ว่า “ศีลธรรมกลับมา โลกาอยู่ได้” จึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ ควรส่งเสริม และที่พอจะทำได้เลยคือ การเรียนการสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ คำที่ว่า ”ศีลธรรมกลับมา โลกาอยู่ได้” จะแจ่มใสขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 เกี่ยวกับการศึกษาฝ่ายสงฆ์ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศใช้หลักสูตรบาลีแผนใหม่ขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ในปี พ.ศ. 2514 กระทรวงศึกษาธิการโดยความเห็นชอบและความร่วมมือของคณะสงฆ์ได้มีการจัดทำหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นใช้ และออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2514 เพื่อปฏิบัติต่อไป
เกี่ยวกับองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก องค์การนี้ใช้คำย่อว่า “พ.ส.ล.” องค์การนี้ ที่ประชุมลงมติให้มาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทย มีกำหนดเวลา 4 ปี ต่อมาที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2512 ลงมติให้ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวรสืบไป
เกี่ยวกับการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุปสมบทนาคหลวง การอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เพื่อรับการบ่มนิสัย ศึกษา และปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวไทยมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธศาสนายิ่งเป็นปึกแผ่นเจริญขึ้น การอุปสมบทยิ่งถือเป็นประเพณีนิยมเพิ่มขึ้น พระมหากษัตริย์ทรงผนวชบ้าง พระบรมวงศานุวงศ์ทรงผนวชบ้าง ประชาชนก็นิยมตามมากยิ่งขึ้น มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อภาวะบ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร(รัชกาลที่ 2)ทรงผนวช ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ. 2331 นับว่าเป็น “นาคหลวงองค์แรก” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นราชประเพณีที่พระบรมราชวงศ์หากจะทรงผนวชจะต้องทรงผนวชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามโดยโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “นาคหลวง” โดยมีหลักฐาน คือ พระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในพระราชพิธี 12 เดือน ว่า ”การทรงผนวชเจ้านายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกทีเดียวนั้น คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เพราะฉะนั้น บรรดาเจ้านายภายหลังที่เป็นเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า ทั้งในวังหลวงวังหน้า ไม่มีพระองค์ใดที่ได้ทรงผนวชอื่นนอกจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามเลย เว้นแต่พิการเป็นที่รังเกียจอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้น จึงได้ถือกันว่า ถ้าเจ้านายองค์ใดไม่ได้ทรงผนวชในวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ย่อมเป็นคนที่เสียแล้ว หรือจะเสียคนต่อไปเป็นแน่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถือจนชั้นบวชเณร…”
นาคหลวง
นาคหลวงในสมัยนั้น มี 4 ประเภท คือ
นาคหลวงในสมัยนั้น มี 4 ประเภท คือ
- พระราชวงศ์ ราชสกุล ราชนิกุล มีพิธีสมโภชในพระที่นั่งแล้วแห่ไปอุปสมบทในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ไม่มีพิธีสมโภช เว้นแต่จะโปรดเกล้าฯ เป็นพิเศษ
- ข้าราชการต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตร พระราชทานเครื่องบริขารไปอุปสมบท ตามวัดที่ติดต่อไว้เอง(ปัจจุบัน เรียกนาคหลวงประเภทนี้ว่า “นาคในพระบรมราชานุเคราะห์”)
- ผู้สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
เกี่ยวกับนิกายในการอุปสมบทนาคหลวง เนื่องจากพระสงฆ์ในประเทศไทยมี 2 นิกาย ที่เรียกว่า มหานิกายและธรรมยุตินิกาย ดังกล่าวมา นาคหลวงจึงเป็นฝ่ายนิกายใดนิกายหนึ่งไปด้วย ด้วยเหตุนี้ การอุปสมบทนาคหลวงจึงต้องมีขั้นตอนเพิ่มขึ้น ดังปรากฏว่า ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ซึ้งมีคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายเกิดขึ้นแล้ว สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌายะไม่ว่านาคหลวงเมื่ออุปสมบทแล้วจะไปจำพรรษา ณ วัดธรรมยุติหรือมหานิกาย คณะสงฆ์ที่นั่งหัตถบาสมีทั้งมหานิกายและธรรมยุติรวมกัน เมื่อภิกษุนาคหลวงไปจำพรรษา ณ วัดฝ่ายธรรมยุติก็ไปทำทัฬหิกรรม ณ พระอุโบสถของวัดที่จำพรรษานั้นเป็นการภายในอีกด้วย ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ผู้เป็นนาคหลวงขอพระราชทานทรงผนวชและอุปสมบทไปจำพรรษา ณ วัดที่เป็นฝ่ายธรรมยุต คณะสงฆ์ในพิธีจึงมีแต่ฝ่ายธรรมยุตทั้งนั้น และปรากฏว่ามีการว่างเว้นอุปสมบทนาคหลวงฝ่ายมหานิกายมาหลายปี ต่อมาปีใดมีนาคหลวงขอพระราชทานอุปสมบทฝ่ายมหานิกายด้วย จึงได้แยกอุปสมบทนิกายละวันหรือนิกายละเวลา แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าทรงผนวช ประกอบพิธีตามราชประเพณีที่มีคณะสงฆ์ร่วมกันทั้ง 2 นิกาย เป็นสังฆมณฑลในการทรงผนวชแล้ว จึงเสด็จไปทำทัฬหิกรรมเป็นฝ่ายธรรมยุติที่พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน(รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างไว้ในบริเวณพระราชฐานชั้นในพระบรมมหาราชวัง) ตามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชนิยมไว้
การพระราชกุศลทรงผนวชและอุปสมบทนาคหลวง ในรัชกาลที่ 6-7 เป็นงานออกหมายกำหนดการเพื่อให้กระทรวง ทบวง กรม จัดข้าราชการมาเฝ้าฯ แต่ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้ที่เป็นข้าราชการทั่วไป เมื่อมีจิตศรัทธาจะอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา ทางราชการมีระเบียบกำหนดไว้ให้มีสิทธิ์ลาอุปสมบทได้ไม่เกิน 120 วัน โดยเสนอใบลาอุปสมบทต่อผู้บังคับบัญชาในสังกัดตามลำดับ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว นำใบอนุญาตนั้นไปแสดงต่อพระอุปัชฌาย์ เมื่อลาสิขาบทกลับเข้ารับราชการตามเดิมแล้ว จะต้องทำหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อขอถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย สำหรับข้าราชการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นนาคหลวง เมื่อลาสิบขาบทแล้ว ต้องทำหนังสือเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเมื่อทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการที่ผู้อุปสมบทขอถวายพระราชกุศล ส่วนข้าราชการในพระองค์ที่มีความประสงค์จะขอพระราชทานพระมหากรุณาในการอุปสมบท ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักพระราชวังที่ได้กำหนดไว้
เกี่ยวกับพระราชพิธีทางพุทธศาสนา พระราชพิธี คือ พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามกำหนดที่เป็นแบบแผนสืบต่อมาแต่โบราณ หรือการพระราชพิธีที่ทรงพระราชดำริมีพระราชประสงค์ให้จัดทำขึ้น พระราชพิธีต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยก็มีหลายอย่าง และต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นหลักในการบริหารประเทศ มีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้ กิจการใดที่จะต้องทำเป็นงานพิธีของรัฐบาล ตลอดจนที่กระทรวง ทบวง กรม ดำริจัดขึ้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้เป็นงานประจำปีในปฏิทินหลวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทาน มีดังนี้ คือ
1.พระราชพิธีขึ้นปีใหม่
2.พระราชพิธีสังเวยพระป้าย
3.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชา
4.พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
5.พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช
6.พระราบพิธีสงกรานต์
7.พระราชพิธีพระราชกุศลทักษิณานุปทานและพระราชพิธีฉัตรมงคล
8.พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
9.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา
10.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า
11.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุปสมบทนาคหลวง
12.พระราชพิธีทรงบำเพ็จพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายพระพรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนกและวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
13.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา
14.พระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี
15.พระราชพิธีสารท
16.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระราชกุศล
17.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช
18.พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เกี่ยวกับการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ ในรัชกาลปัจจุบัน ที่ควรกล่าวไว้แห่งแรก คือ การสร้างวัดไทยพุทธคยา ในประเทศอินเดีย เพราะเป็นแดนพุทธภูมิที่เกือบจะหาพุทธบริษัทไม่ได้แล้ว และผู้ดำเนินการสร้าง คือ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการสำนึกในน้ำใจอันเป็นกุศลของท่านประธานาธิบดีแห่งประเทศอินเดียในครั้งนั้นด้วย ที่พยายามเปิดประตูเมืองให้ประเทศไทยผู้ได้รับพระพุทธศาสนามาจากอินเดียและทำนุบำรุงไว้อย่างมั่นคงเจริญรุ่งเรืองได้มีโอกาสเข้าไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นอีกครั้งในประเทศแดนพุทธภูมินั้น
ก่อนจะถึงปีพุทธศักราช 2500 ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา แม้แต่ประเทศไทยได้เตรียมจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ(ในบางประเทศเช่น ศรีลังกา อินเดีย เรียกว่า “พุทธชยันตี”)แต่ในประเทศอินเดียนั้น แทบจะไม่มีชาวพุทธเหลืออยู่แล้ว แม้ในโลกสภา(รัฐสภา)ของอินเดีย ก็ล้วนแต่เป็นฮินดูและมุสลิมแทบทั้งสิ้น ประกอบกับอยู่ในปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลาประมาณ 200 ปีอีกด้วย ท่านประธานาธิบดีศรีเยาวหรลาล เนรูห์ คิดว่า หากจะมิจัดงานพุทธชยันตีเช่นประเทศชาวพุทธทั้งหลายในคราว 25 พุทธศตวรรษครั้งนี้ ก็ดูจะเป็นที่น่าอับอายนานาประเทศมิใช่น้อย เพราะเป็นประเทศแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา แต่เมื่อจะจัดขึ้น ก็ต้องใช้งบประมาณ และงบประมาณนั้นก็จะต้องได้รับอนุมัติจากโลกสภาของอินเดียด้วย ซึ่งดูแล้วก็มิใช่จะได้รับอนุมัติง่ายๆเลย ด้วยความพยายามท่านประธานาธิบดีได้แถลงต่อโลกสภาว่า “อินเดียนั้นเป็นแหล่งมาตุภูมิ แหล่งต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดในประเทศอินเดีย ก็เมื่อประเทศอื่นเขาได้รับเอาพระพุทธศาสนาไปจากประเทศอินเดีย เมื่อครบ 2,500 มี ทุกประเทศเขาก็จะฉลองกัน เราในฐานะเป็นประเทศมาตุภูมิถ้าไม่จัดฉลองปี 2,500 ก็จะเป็นที่อับอายขายหน้าชาวโลกเป็นอันมาก” ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ท่านประธานาธิบดีเนรูห์ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากโลกสภา และได้รับอนุมัติงบประมาณจัดงานฉลอง 2,500 ปีแห่งพระพุทธศาสนา
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านประธานาธิบดีเนรูห์ยังเห็นการณ์ไกลอย่างน่าสรรเสริญ นั่นคืออนุสรณ์สถานจากงานพุทธชยันตี ได้แก่ “โครงการเสริมสร้างและปรับปรุงบริเวณพุทธมณฑล พุทธคยา อันเป็นสถานต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา” ฯพณฯ ดำริดังนี้ และตระหนักดีว่าลำพังกำลังของชาวพุทธในอินเดียที่เหลืออยู่ จะหันมาช่วยกันกอบกู้และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้คืนคงสภาพได้นั้น เป็นการยากมาก ดังนั้น ฯพณฯ จึงใช้วิธีการมีหนังสือเชิญชวนรัฐบาลประเทศชาวพุทธทั้งโลกให้มาร่วมกันสร้างวัดในแบบฉบับศิลปะและวัฒนธรรมตามพุทธศาสนาของประเทศนั้นๆ วิธีการของ ฯพณฯ ได้ผล เพราะรัฐบาลไทยซึ่งเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเจพระเจ้าอยู่หัว ได้ตอบรับคำเชิญเป็นประเทศแรก
ขณะนั้น ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สั่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัดไทยขึ้นในแบบศิลปะและวัฒนธรรมไทย องค์พระอุโบสถนั้นได้ถอดแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเป็นศิลปะชั้นยอดของประเทศไทยไปสร้างทีเดียว วัดนี้ได้ชื่อว่า “วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย” สร้างในเนื้อที่ 12 ไร่เศษ งบประมาณสร้างในขั้นแรก 5,776,866.72 บาท นับว่าสิ้นเปลืองเงินน้อยมากในการสร้างวัดในต่างประเทศ และสร้างเสร็จตามโครงการขั้นแรกในปี พ.ศ. 2503 วัดไทยพุทธคยานี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวอินเดียและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมากมี่ได้พบเห็น จึงถือได้ว่าเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้องของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยที่ได้สร้างวัดไทยขึ้นในแดนพุทธภูมิ เพื่อน้อมเป็นพุทธบูชาในปี 25 พุทธศตวรรษ ทั้งเป็นการตอบสนองพระคุณในส่วนกตัญญูกตเวทตาธรรมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ทรงส่งพระมหาเถระ 2 รูป คือ พระโสณะและพระอุตตระ นำมรดกอันล้ำค่าคือพระพุทธศาสนามามอบให้แก่ชนชาวไทย
ในบริเวณพุทธคยายังมีวัดของประเทศชาวพุทธอีกหลายวัด แต่เป็นวัดเล็กๆ เนื้อที่คับแคบ ไม่เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตรงกันข้ามกับวัดไทยพุทธคยาของเรา เพียงแต่องค์พระอุโบสถหลังเดียวก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ไปพบเป็นเป็นอย่างมาก เราสร้างพระอุโบสถให้เป็นพุทธาวาสจริงๆ คือเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธปฏิมาเท่านั้น พระสงฆ์มิได้อยู่ปะปน ตรงกันข้ามพระพุทธรูปโบราณวัตถุของอินเดียโดยทั่วไป แม้จะเป็นวัตถุเก่าล้ำค่า ก็อยู่ในสภาพตากแดดตากฝนเหมือนกับไม่ได้รับวามสนใจ ฉะนั้น นอกจากนั้นในบริเวณวัดไทยพุทธคยายังร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธ์ โดยเฉพาะอยู่ในบริเวณพุทธมณฑลที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อการสร้างวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียใกล้จะเสร็จ รัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยได้จัดส่งคณะสงฆ์ไทยชุดแรกไปอยู่ประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมณทูตทางพระพุทธศาสนา มี 5 รูปเดินทางไปอยู่ประจำ ณ วัดไทยพุทธคยาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ได้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในแดนพระพุทธองค์เป็นเวลา 3 ปี 5 เดือน จึงเดินทางกลับมาปฏิบัติศาสนกิจในประเทศไทย และคณะสงฆ์ไทยชุดที่ 2 เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจเป็นสมัยที่ 2 ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนประเทศอินเดียตามคำทูลเชิญของรัฐบาลอินเดีย พระองค์ได้เสด็จยังวัดไทยพุทธคยา เพื่อทรงสักการนมัสการสังเวชนียสถาน และทรงนั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา คณะสงฆ์ไทยโดยพระธรรมมหาวีรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รับเสด็จและนำเสด็จยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องทางพระพุทธศาสนาบางแห่ง เช่น เขาคิชฌกูฏ เป็นต้นด้วย
เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม พระมหากษัตริย์ พระองค์ปัจจุบันทรงห่วงใยในปัญหาของพสกนิกรอย่างแท้จริง เสด็จเยี่ยมพสกนิกรทั่วประเทศ และในการเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับยังพระตำหนักภูพานราชนิเวศก็ตาม พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศก็ตาม พระองค์จะเสด็จไปนมัสการพระอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิทางวิปัสสนาธุระบ่อยๆ เช่น พระอาจารย์ฝั้นและพระอาจารย์แหวน เป็นต้น จนเป็นที่เข้าใจกันว่าพระองค์ทรงสนพระทัยในวิปัสสนาธุระและทรงปฏิบัติธรรมด้านวิปัสสนาธุระด้วย จะเป็นด้วยองค์พระประมุขของชาติ องค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ ทรงปฏิบัติธรรมดังกล่าวกระมังในระยะต่อมาจึงปรกกฏว่าพุทธบริษัทในประเทศไทยได้สนใจและปฏิบัติสมาธิภาวนากันมากขึ้น
เกี่ยวกับวรรณกรรมในสมัยรัชกาลปัจจุบันนี้ เท่าที่ผ่านมาปรากฏว่าได้มีวรรณกรรมประเภทต่างๆเกิดขึ้นมากมายอย่างน่าปลาบปลื้มใจ มีทั้ง
การพระราชกุศลทรงผนวชและอุปสมบทนาคหลวง ในรัชกาลที่ 6-7 เป็นงานออกหมายกำหนดการเพื่อให้กระทรวง ทบวง กรม จัดข้าราชการมาเฝ้าฯ แต่ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้ที่เป็นข้าราชการทั่วไป เมื่อมีจิตศรัทธาจะอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา ทางราชการมีระเบียบกำหนดไว้ให้มีสิทธิ์ลาอุปสมบทได้ไม่เกิน 120 วัน โดยเสนอใบลาอุปสมบทต่อผู้บังคับบัญชาในสังกัดตามลำดับ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว นำใบอนุญาตนั้นไปแสดงต่อพระอุปัชฌาย์ เมื่อลาสิขาบทกลับเข้ารับราชการตามเดิมแล้ว จะต้องทำหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อขอถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย สำหรับข้าราชการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นนาคหลวง เมื่อลาสิบขาบทแล้ว ต้องทำหนังสือเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเมื่อทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการที่ผู้อุปสมบทขอถวายพระราชกุศล ส่วนข้าราชการในพระองค์ที่มีความประสงค์จะขอพระราชทานพระมหากรุณาในการอุปสมบท ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักพระราชวังที่ได้กำหนดไว้
เกี่ยวกับพระราชพิธีทางพุทธศาสนา พระราชพิธี คือ พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามกำหนดที่เป็นแบบแผนสืบต่อมาแต่โบราณ หรือการพระราชพิธีที่ทรงพระราชดำริมีพระราชประสงค์ให้จัดทำขึ้น พระราชพิธีต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยก็มีหลายอย่าง และต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นหลักในการบริหารประเทศ มีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้ กิจการใดที่จะต้องทำเป็นงานพิธีของรัฐบาล ตลอดจนที่กระทรวง ทบวง กรม ดำริจัดขึ้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้เป็นงานประจำปีในปฏิทินหลวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทาน มีดังนี้ คือ
1.พระราชพิธีขึ้นปีใหม่
2.พระราชพิธีสังเวยพระป้าย
3.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชา
4.พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
5.พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช
6.พระราบพิธีสงกรานต์
7.พระราชพิธีพระราชกุศลทักษิณานุปทานและพระราชพิธีฉัตรมงคล
8.พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
9.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา
10.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า
11.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุปสมบทนาคหลวง
12.พระราชพิธีทรงบำเพ็จพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายพระพรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชชนกและวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
13.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา
14.พระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี
15.พระราชพิธีสารท
16.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระราชกุศล
17.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช
18.พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เกี่ยวกับการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ ในรัชกาลปัจจุบัน ที่ควรกล่าวไว้แห่งแรก คือ การสร้างวัดไทยพุทธคยา ในประเทศอินเดีย เพราะเป็นแดนพุทธภูมิที่เกือบจะหาพุทธบริษัทไม่ได้แล้ว และผู้ดำเนินการสร้าง คือ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการสำนึกในน้ำใจอันเป็นกุศลของท่านประธานาธิบดีแห่งประเทศอินเดียในครั้งนั้นด้วย ที่พยายามเปิดประตูเมืองให้ประเทศไทยผู้ได้รับพระพุทธศาสนามาจากอินเดียและทำนุบำรุงไว้อย่างมั่นคงเจริญรุ่งเรืองได้มีโอกาสเข้าไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นอีกครั้งในประเทศแดนพุทธภูมินั้น
ก่อนจะถึงปีพุทธศักราช 2500 ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา แม้แต่ประเทศไทยได้เตรียมจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ(ในบางประเทศเช่น ศรีลังกา อินเดีย เรียกว่า “พุทธชยันตี”)แต่ในประเทศอินเดียนั้น แทบจะไม่มีชาวพุทธเหลืออยู่แล้ว แม้ในโลกสภา(รัฐสภา)ของอินเดีย ก็ล้วนแต่เป็นฮินดูและมุสลิมแทบทั้งสิ้น ประกอบกับอยู่ในปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลาประมาณ 200 ปีอีกด้วย ท่านประธานาธิบดีศรีเยาวหรลาล เนรูห์ คิดว่า หากจะมิจัดงานพุทธชยันตีเช่นประเทศชาวพุทธทั้งหลายในคราว 25 พุทธศตวรรษครั้งนี้ ก็ดูจะเป็นที่น่าอับอายนานาประเทศมิใช่น้อย เพราะเป็นประเทศแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา แต่เมื่อจะจัดขึ้น ก็ต้องใช้งบประมาณ และงบประมาณนั้นก็จะต้องได้รับอนุมัติจากโลกสภาของอินเดียด้วย ซึ่งดูแล้วก็มิใช่จะได้รับอนุมัติง่ายๆเลย ด้วยความพยายามท่านประธานาธิบดีได้แถลงต่อโลกสภาว่า “อินเดียนั้นเป็นแหล่งมาตุภูมิ แหล่งต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดในประเทศอินเดีย ก็เมื่อประเทศอื่นเขาได้รับเอาพระพุทธศาสนาไปจากประเทศอินเดีย เมื่อครบ 2,500 มี ทุกประเทศเขาก็จะฉลองกัน เราในฐานะเป็นประเทศมาตุภูมิถ้าไม่จัดฉลองปี 2,500 ก็จะเป็นที่อับอายขายหน้าชาวโลกเป็นอันมาก” ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ท่านประธานาธิบดีเนรูห์ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากโลกสภา และได้รับอนุมัติงบประมาณจัดงานฉลอง 2,500 ปีแห่งพระพุทธศาสนา
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านประธานาธิบดีเนรูห์ยังเห็นการณ์ไกลอย่างน่าสรรเสริญ นั่นคืออนุสรณ์สถานจากงานพุทธชยันตี ได้แก่ “โครงการเสริมสร้างและปรับปรุงบริเวณพุทธมณฑล พุทธคยา อันเป็นสถานต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา” ฯพณฯ ดำริดังนี้ และตระหนักดีว่าลำพังกำลังของชาวพุทธในอินเดียที่เหลืออยู่ จะหันมาช่วยกันกอบกู้และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้คืนคงสภาพได้นั้น เป็นการยากมาก ดังนั้น ฯพณฯ จึงใช้วิธีการมีหนังสือเชิญชวนรัฐบาลประเทศชาวพุทธทั้งโลกให้มาร่วมกันสร้างวัดในแบบฉบับศิลปะและวัฒนธรรมตามพุทธศาสนาของประเทศนั้นๆ วิธีการของ ฯพณฯ ได้ผล เพราะรัฐบาลไทยซึ่งเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเจพระเจ้าอยู่หัว ได้ตอบรับคำเชิญเป็นประเทศแรก
ขณะนั้น ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สั่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัดไทยขึ้นในแบบศิลปะและวัฒนธรรมไทย องค์พระอุโบสถนั้นได้ถอดแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเป็นศิลปะชั้นยอดของประเทศไทยไปสร้างทีเดียว วัดนี้ได้ชื่อว่า “วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย” สร้างในเนื้อที่ 12 ไร่เศษ งบประมาณสร้างในขั้นแรก 5,776,866.72 บาท นับว่าสิ้นเปลืองเงินน้อยมากในการสร้างวัดในต่างประเทศ และสร้างเสร็จตามโครงการขั้นแรกในปี พ.ศ. 2503 วัดไทยพุทธคยานี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวอินเดียและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมากมี่ได้พบเห็น จึงถือได้ว่าเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้องของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยที่ได้สร้างวัดไทยขึ้นในแดนพุทธภูมิ เพื่อน้อมเป็นพุทธบูชาในปี 25 พุทธศตวรรษ ทั้งเป็นการตอบสนองพระคุณในส่วนกตัญญูกตเวทตาธรรมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ทรงส่งพระมหาเถระ 2 รูป คือ พระโสณะและพระอุตตระ นำมรดกอันล้ำค่าคือพระพุทธศาสนามามอบให้แก่ชนชาวไทย
ในบริเวณพุทธคยายังมีวัดของประเทศชาวพุทธอีกหลายวัด แต่เป็นวัดเล็กๆ เนื้อที่คับแคบ ไม่เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตรงกันข้ามกับวัดไทยพุทธคยาของเรา เพียงแต่องค์พระอุโบสถหลังเดียวก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ไปพบเป็นเป็นอย่างมาก เราสร้างพระอุโบสถให้เป็นพุทธาวาสจริงๆ คือเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธปฏิมาเท่านั้น พระสงฆ์มิได้อยู่ปะปน ตรงกันข้ามพระพุทธรูปโบราณวัตถุของอินเดียโดยทั่วไป แม้จะเป็นวัตถุเก่าล้ำค่า ก็อยู่ในสภาพตากแดดตากฝนเหมือนกับไม่ได้รับวามสนใจ ฉะนั้น นอกจากนั้นในบริเวณวัดไทยพุทธคยายังร่มรื่นด้วยไม้นานาพันธ์ โดยเฉพาะอยู่ในบริเวณพุทธมณฑลที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อการสร้างวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียใกล้จะเสร็จ รัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยได้จัดส่งคณะสงฆ์ไทยชุดแรกไปอยู่ประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมณทูตทางพระพุทธศาสนา มี 5 รูปเดินทางไปอยู่ประจำ ณ วัดไทยพุทธคยาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ได้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในแดนพระพุทธองค์เป็นเวลา 3 ปี 5 เดือน จึงเดินทางกลับมาปฏิบัติศาสนกิจในประเทศไทย และคณะสงฆ์ไทยชุดที่ 2 เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจเป็นสมัยที่ 2 ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนประเทศอินเดียตามคำทูลเชิญของรัฐบาลอินเดีย พระองค์ได้เสด็จยังวัดไทยพุทธคยา เพื่อทรงสักการนมัสการสังเวชนียสถาน และทรงนั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา คณะสงฆ์ไทยโดยพระธรรมมหาวีรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รับเสด็จและนำเสด็จยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องทางพระพุทธศาสนาบางแห่ง เช่น เขาคิชฌกูฏ เป็นต้นด้วย
เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม พระมหากษัตริย์ พระองค์ปัจจุบันทรงห่วงใยในปัญหาของพสกนิกรอย่างแท้จริง เสด็จเยี่ยมพสกนิกรทั่วประเทศ และในการเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับยังพระตำหนักภูพานราชนิเวศก็ตาม พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศก็ตาม พระองค์จะเสด็จไปนมัสการพระอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิทางวิปัสสนาธุระบ่อยๆ เช่น พระอาจารย์ฝั้นและพระอาจารย์แหวน เป็นต้น จนเป็นที่เข้าใจกันว่าพระองค์ทรงสนพระทัยในวิปัสสนาธุระและทรงปฏิบัติธรรมด้านวิปัสสนาธุระด้วย จะเป็นด้วยองค์พระประมุขของชาติ องค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ ทรงปฏิบัติธรรมดังกล่าวกระมังในระยะต่อมาจึงปรกกฏว่าพุทธบริษัทในประเทศไทยได้สนใจและปฏิบัติสมาธิภาวนากันมากขึ้น
เกี่ยวกับวรรณกรรมในสมัยรัชกาลปัจจุบันนี้ เท่าที่ผ่านมาปรากฏว่าได้มีวรรณกรรมประเภทต่างๆเกิดขึ้นมากมายอย่างน่าปลาบปลื้มใจ มีทั้ง
- ประเภทนิยาย ได้แก่นิยายอิงหลักธรรม เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิธีใหม่ที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง เพราะทำให้เข้าใจและจำได้ง่ายขึ้น เช่น ใต้ร่มกาสาวพัตร กองทัพธรรม เป็นต้น
- ประเภทพระอภิธรรม วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาฝ่ายอภิธรรมในสมัยรัชกาลปัจจุบันที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากพระสงฆ์ชาวพม่าและนักปราชญ์ไทยผู้ทรงคุณวุฒิในด้านพระอภิธรรม ได้เผยแผ่พระอภิธรรมและแต่งตำราขึ้นเป็นคู่มือในการศึกษาด้วย เช่น บทเรียนไตรภูมิพระร่วง เป็นต้น
- ประเภทร้อยกรอง เช่น มหาเวสสันดรคำฉันท์ เป็นต้น
- ประเภทร้อยแก้ว เช่น พุทธธรรม เป็นต้น
- ประเภทพุทธศาสนาสอนเด็ก หนังสือประเภทนี้สืบเนื่องมาแต่ในรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้มีการประกวดหนังสือสอนพุทธศาสนาแก่เด็กขึ้น ดำเนินการโดยราชบัณฑิตยสถาน และราชบัณฑิตย์สถานได้ดำเนินการตามพระราชดำริอย่างต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น