welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

รวมบทความมูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพุทธศาสนาในอินเดีย






อะไรคือมูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพุทธศาสนาในอินเดีย
          มูลเหตุของการเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในอินเดียมีหลายทัศนะจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อพิจารณาทัศนะเหล่านั้นแล้วก็ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น เหตุปัจจัยที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากมาตุภูมิคงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปคล้ายนำเซาะหิน ไม่ใช้แบบน้ำเซาะทราย พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตโต) ได้กล่าวถึงสาเหตุไว้หลายประการ จึงขอนำมากล่าวโดยย่อดังนี้
          1. คณะสงฆ์อ่อนแอเสื่อมโทรมลง
          พระสงฆ์แต่เดิมปฏิบัตินตามธรรมวินัยทำให้ประชาชนทุกชนชั้นเลื่อมใส พากันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนเจริญรุ่งเรือง แต่ต่อมาในรุ่นหลังๆ หลงมัวเมาในลาภสักการะ ลืมหน้าที่ที่แท้จริง เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้
          - ติดถิ่น ติดที่ เพลิดเพลินในลาภสักการะและความสุขสบาย นึกถึงแต่เรื่องของตนเอง และปัจจัยเครื่องอาศัยของตนเอง ทอดทิ้งหน้าที่ต่อประชาชน
          - วุ่นวายอยู่กับพิธีกรรม และงานฉลองอันสนุกสนานต่างๆ จนความเขาใจเรื่องบุญกุศลแคบลงเป็นเรื่องรับเข้าหรือเอาฝ่ายเดียว
          - ศึกษาเล่าเรียนลึกซึ้งลงไปแล้ว มัวหลงเพลินกับการถกเถียงปัญหาปรัชญาประเภท อันตคาหิกทิฏฐิ จนลืมศาสนกิจสามัญในระหว่างพุทธบริษัท
          - มีความประพฤติปฏิบติย่อหย่อนลง เพราะเพลิดเพลินในความสุขสบาย และแตกสามัคคีแยกเป็นพวกเป็นนิกาย เพราะถือรั้นรังเกียจกันตกลงกันไม่ได้
          - เห็นแก่ความง่าย ตามใจตนเอง ตามใจคน ปล่อยให้เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องลึกลับอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ พอกพูนมากขึ้น ตนเองก็เพลิดเพลินมัวเมาในเรื่องเหล่านั้น และทำให้ประชาชนจมดิ่งลง แทนที่จะมีเหตุผลยิ่งขึ้น เข้มแข็ง มีปัญญาและพึ่งตนได้มากขึ้น ก็กลับอ่อนแอต้องคอยหวังพึ่งปัจจัยภายนอกมากยิ่งขึ้น และทำให้พระพุทธศาสนามีสภาพคล้ายคลึงกับศาสนาอื่นๆ มากมาย เช่น แปรรูปไปเป็น ตันตระ แบบเสื่อมโทรม จนเหมือนตันตระของฮินดู และหมดลักษณะพิเศษของตนเอง
2. ศาสนาฮินดูต่อต้านบีบคั้น
          คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งและทำลายความเชื่อถือเดิมในศาสนาพราหมณ์มากมายหลายอย่าง เป็นเหตุให้ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในสมัยต่อมา พยายามหาทางลิดรอนพระพุทธศาสนาโดยวิธีต่างๆ ข้อที่ควรศึกษาในเรื่องนี้มีดังนี้
          - พระพุทธศาสนาสอนว่าทุกคนมีความเสมอภาค ควรมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่จำกัดด้วย วรรณะ และให้ทุกคนศึกษาเล่าเรียนในพระธรรมวินัยเหมือนกันหมด คำสอนนี้กระทบกระเทือนฐานะของพราหมณ์ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าตนเป็นวรรณะสูงสุด มีสิทธิพิเศษต่างๆ และเคยผูกขาดการศึกษาไว้ โดยปกติพราหมณ์เป็นคนชั้นสูง มีอำนาจและอิทธิพลมาก เช่น เป็นปุโรหิตของพระราชา เป็นต้น แต่พระพุทธศาสนาแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป ตราบใดที่ประชาชนยังมีศรัทธามั่นคง พระสงฆ์ยังเป็นที่พึ่งของประชาชนและทำหน้าที่ต่อประชาชนอย่างถูกต้อง พวกพราหมณ์ก็ไม่กล้าทำอันตราย หรือทำก็ไม่สำเร็จ ยิ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์อยู่ด้วย พระพุทธศาสนาก็ยิ่งมั่นคง จะสังเกตเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะถูกพระองค์ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา อุปถัมภ์ทุกๆ ศาสนา เช่น พระเจ้าอโศก กนิษกะ หรรษวรรธนะ เป็นต้น แต่พราหมณ์จะไม่พอใจในการอุปภัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น ปุษยมิตร ทำลายวงศ์กษัตริย์พุทธขึ้นครองราชย์ แล้วกำจัดพุทธศาสนา พวกพราหมณ์ข้าราชการของพระเจ้าหรรษวรรธนะ ริษยาการทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ถึงกับวางแผนปลงพระชนม์เป็นต้น ในสมัยที่พราหมณ์ขึ้นเป็นกษัตริย์แม้จะไม่กล้ากำจัดพระพุทธศาสนา แต่ก็ทำให้พระพุทธศาสนาต้องยอมประนีประนอมคำสอนกับฮินดู จนกลายเป็นเหมือนกันและถูกกลืนไปในที่สุด
          - พวกพราหมณ์ใช้ศาสนาฮินดูเป็นหลักของลัทธิชาตินิยมโดยผนวกความเป็นคนอินเดียเข้ากับความเป็นฮินดู ซึ่งจะสังเกตเห็นว่ากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียเป็นพุทธมามกะ และมักจะเป็นเชื้อสายชนต่างชาติ ที่เห็นชัดเจนคือ พระเจ้ากนิษกะทรงเป็นชนเชื้อสายมงโกลในเผ่ากุษาณ ชาวอินเดียที่จะกำจัดราชวงศ์กุษาณในสมัยต่อมา ใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องรวมกำลัง และการที่กษัตริย์วงศ์นี้นับถือพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า พระพุทธศาสนาจึงถูกเพ่งมองในฐานะศาสนาของคนต่างชาติด้วย แม้ในเรื่องนี้พระเจ้าอโศกมหาราชก็เช่นกัน มีปราชญ์สันนิษฐานว่า พระองค์มีพระมารดาเป็นชนชาติกรีก พวกพราหมณได้พยายามกำจัดราชวงศ์นี้พร้อมทั้งพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกแม้จะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ไม่ปรากฏเกียรติคุณในประวัติศาสตร์ของชาวฮินดูเลย ต่อเมื่อชาวยุโรปมาขุดค้นศึกษา พระนามของพระเจ้าอโศกจึงปรากฏขึ้นมา และชาวอินเดียเองจึงพลอยยอมรับ นอกจากนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชนเผ่ามงโกล ซึ่งย่อมไม่เป็นที่พึงพอใจของพราหมณ์
          - ปราชญ์ฮินดูพยายามนำเอาหลักการในพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงหลักธรรมของตนเองให้ออกรูปใหม่บ้าง นำไปทำตามอย่างบ้าง เพื่อให้มีกำลังเทียบเคียงกันได้ และให้ดูคล้ายคลึงเหมือนกัน กลืนกันจนไม่จำเป็นจะต้องมีพระพุทธศาสนาอยู่ต่างหาก และเมื่อฝ่ายพุทธศาสนาอ่อนแอก็กลืนได้ง่าย เช่นสังกราจารย์ นำหลักในพุทธปรัชญาไปแปลงรูปเป็นปรัชญาเวทานตะของตน และสร้างวัดฮินดู ตั้งคณะนักบวชสันยาสีเลียนแบบคณะสงฆ์ เป็นต้น แม้องค์พระพุทธเจ้าเอง ก็กลายเป็นอวตารของพระนารายณ์ไป
3. ชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลาย
          ในระยะที่คณะสงฆ์กำลังอ่อนแอลงนั้น ก็พอดีกองทัพชนชาติอาหรับและเตอร์กเข้ารุกรานเป็นระลอกๆ และทำลายพุทธศาสนาลงจนหมด เช่น ทำลายมหาวิทยาลัยวลภีลงในราว พ.ศ. 1350-1400 และทำลายหมดทุกแห่งใน พ.ศ. 170 เป็นต้น โดยวิธี
          - ฆ่าพระสงฆ์ เช่นที่นาลันทา นักประวัติศาสตร์มุสลิมเองบันทึกไว้ว่าพระถูกฆ่าประมาณหมื่นรูป คือไม่ให้เหลือเลยทุกแห่ง
          - ทำลายสถาบันและสิ่งก่อสร้างโดยเผาผลาญวัดวาอารามและมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทุกแห่ง บางแห่งแม้แต่ซากก็ไม่ให้เหลือ
          - เผาคัมภีร์และตำรับตำราพระพุทธศาสนา เช่น ที่หอสมุดของนาลันทาเผาอยู่แรมเดือน
          การทำลายครั้งนี้ทำให้คณะสงฆ์สลายตัว และตั้งไม่ติดอีกเลย ระบบของพระพุทธศาสนานั้นดำรงอยู่ในรูปสถาบัน ซึ่งปันเป็นพุทธบริษัท 2 ฝ่าย ปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่ายต่อกันโดยฝ่ายพระสงฆ์เป็นผู้นำในทางจิตใจ มีความเป็นอยู่และที่อยู่ต่างหากชัดเจน กำจัดได้ง่าย เมื่อหมดพระสงฆ์ หมดผู้นำ พุทธศาสนิกก็ถูกบังคับบ้าง ถูกชักจูงบ้าง กลายเป็นมุสลิมหรือฮินดูไป ฝ่ายฮินดูถึงจะถูกกำจัดพร้อมกัน แต่เพราะนักบวชฮินดูมีหลายแบบ บางพวกอยู่ตามบ้านมีครอบครัว มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากคนทั่วไป ก็เหลือรอดอยู่ได้ง่าย ขณะนั้นหลักการทั่วไปของพระพุทธศาสนากับฮินดู คล้ายคลึงกัน หรือผสมผสานกันมากแล้ว เมื่อฝ่ายฮินดูเหลืออยู่ ก็ชักไปเข้าฮินดูโดยง่ายไม่มีใครขัดขวาง วัดพุทธศาสนาที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกพราหมณ์เข้าครองกลายเป็นวัดฮินดู ชาวพุทธที่เหลือก็ถูกกลืนช้าๆ เขาสู่สังคมแห่งวรรณะของฮินดู (พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, โรงพิมพ์ธรรมสภา, 2540 (358-364)

กรุณา กุศลาศัย ได้กล่าวถึงสาเหตุการเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในอินเดียไว้ดังนี้
          ประวัติศาสตร์ให้บทเรียนว่า สถาบันหรือขนบธรรมเนียมใด ๆ ก็ตามซึ่งในระยะเริ่มต้น อาจจะมีคุณูปการหรือประโยชน์ต่อสังคม แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป หากสถาบันหรือขนบธรรมเนียมนั้น ๆ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ สถาบันหรือขนบธรรมเนียมดังกล่าว อาจกลายเป็นอุปสรรคสิ่งขัดขวางต่อการเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้นได้
ความจริงข้อนี้ ประวัติศาสตร์มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เห็นอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น การแบ่งอาชีพกันทำเพื่อทักษะและความชำนาญ (การแบ่งคนออกเป็นวรรณะในสังคมอินเดียโบราณ) การประกอบพิธีทางศาสนา การเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ของชาวกรีกโรมันและชาวอียิปต์โบราณ การยกย่องระบบกษัตริย์ให้เป็นสมมติเทพ การเสกคาถาอาคมและปลุกผีสางเทวดา พฤติกรรมเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสังคมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป พฤติกรรมดังกล่าวกลับเป็นอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ที่กล่าวมานี้ฉันใด พิธีกรรมและวัตรปฏิบัติทางศาสนาจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบได้ฉันนั้น

1.การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์
          ในกรณีของพุทธศาสนานั้น การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์ เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง แห่งการอ่อนกำลังของพุทธศาสนา จริงอยู่ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้ง การที่สงฆ์แยกจากสังคมคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตต่างหาก เป็นการรักษาความมีระเบียบ ความบริสุทธิ์ผ่องใส และเป็นการส่งเสริมการศึกษาและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป สงฆ์ได้หลงลืมวัตถุประสงค์เดิมตามคำสอนของพุทธองค์ สงฆ์หันไปหมกมุ่นอยู่กับกิจธุระส่วนตัวเป็นสำคัญ สงฆ์ทอดทิ้งไม่ดูแลการศึกษา และให้การอบรมด้านศีลธรรม และสติปัญญาแก่ประชาชน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้งสงฆ์โดยพุทธานุมัตินั้น สงฆ์ได้บำเพ็ญกรณียกิจ ในฐานะเป็นผู้ให้การศึกษา ฝึกอบรมศีลธรรม และพัฒนาจิตวิญญาณ แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ในกาลเวลาต่อมาอุดมการณ์ด้านนี้ของสงฆ์ได้เลือนรางจางหายไป พุทธศาสนามีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของอินเดีย และของหลายประเทศในทวีปเอเชีย พุทธศาสนาเป็นพลังดลใจในศิลปศาสตร์นานาแขนงทั่วเอเชีย แต่ในประเทศอินเดียเองด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนาได้สูญเสียฐานะความเป็นผู้นำทางศาสนา ไปอย่างน่าเสียดาย สัมฤทธิผลของศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้เป็นบริษัทบริวารของศาสนานั้นด้วย ศาสนาชิน (Jain) ซึ่งมีคำสอนและวัตรปฏิบัติคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาอยู่หลายอย่างหลายประการ มีการจัดตั้งในสังคมฆราวาส (คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักบวช) ด้วยเหตุนี้ ศาสนาชินจึงยังคงดำรงสถานะเป็นศาสนาหนึ่ง ในประเทศอินเดียได้ตราบจนทุกวันนี้ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สังคมฆราวาสกับสังคมนักบวชหาได้แยกกันไม่ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียศาสนาเดียวที่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติทางสังคม พุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเป็นกิจจะลักษณะในเรื่องเกี่ยวกับการเกิด การตาย หรือการแต่งงานของพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาให้เสรีภาพในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ โดยถือว่าเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดียก็คือ มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิก ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากคนสำคัญแห่งนครสาวัตถี ได้ยกธิดาคนหัวปีชื่อมหาสุภัททา ให้แก่คหบดีแห่งเมืองอุคคนครผู้นับถือศาสนาชิน (ในภาษาบาลีมีชื่อว่า นิคัณฐนาถปุตตะ) ความมีใจกว้างหรือการให้เสรีภาพแก่ศาสนิกเช่นนี้ ในทัศนะของปราชญ์บางท่าน (เช่น นายนลินากฺษ ทัตต) เห็นว่า แม้ในระยะเริ่มแรกแห่งการก่อตั้งและเผยแผ่จะเป็นผลดีแก่พุทธศาสนา แต่ในกาลไกลแล้วเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เพราะทำให้วัตรปฏิบัติของศาสนิกหย่อนยาน เปิดโอกาสให้ผู้มีทัศนะและความเชื่อถือแปลกแยกเข้าไปปะปนและบ่อนทำลายเอกภาพ

2. การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมของพุทธศาสนา
          การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม ของพุทธศาสนา ในระยะเริ่มแรกนั้น เป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนา เจริญแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความพอใจที่พุทธศาสนาให้เสรีภาพ ไม่แทรกแซงเปลี่ยนแปลงหรือเลิกล้มจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม พระพุทธองค์เป็นปัญญาชน เป็นนักคิด พระองค์มาจากราชตระกูลที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณี ตลอดจนความเชื่อถือตามระบบของสังคมอันมีพราหมณ์เป็นผู้นำมาแต่โบราณกาล ในฐานะที่เป็นปัญญาชน นักคิด พระองค์ทรงสะท้อนพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็น นิมิต ๔มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงโทมนัสถึงกับตัดสินพระทัยออกบรรพชา ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาวิธีที่คนเราจะได้พบอิสระจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยเหตุนี้แม้เมื่อทรงบรรพชาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงข้องเกี่ยวกับความเชื่อถือหรือจารีตประเพณีของสังคม พระองค์ทรงปล่อยให้ความเชื่อถือหรือวัตรปฏิบัตรเหล่านี้เป็นไปตามสภาพเดิม พระองค์ทรงมุ่งมั่นอยู่กับการค้นหา สัจธรรมที่ทำอย่างไรคนเราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ในคำสอนของพระองค์ที่มีปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้เวไนยยนิกรเสียเวลาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์หรือคาดคะเนในเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน) เช่น ความเห็นที่ยึดเอาที่สุด ๑๐ ประการ (อันตคาหิกทิฏฐิ) ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย เป็นต้น นายนลินากฺษ ทัตต ปราชญ์ชาวอินเดียผู้รจนาตำราหลายเล่มเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย ได้เขียนแสดงความเห็นไว้ว่า การวางตนไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในอินเดียในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระพุทธองค์และสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณของพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นผลดีแก่การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป และเมื่อไม่มีพระพุทธองค์ตลอดจนสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณเป็นผู้นำและให้แสงสว่าง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธีกรรมเก่า ๆ ของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล จึงกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีก
          ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลามิช้ามินานหลังจากพุทธปรินิพพาน และหลังจากอัครสาวกองค์สำคัญ ๆ ผู้เปรื่องปราดได้ล่วงลับไปแล้ว ประชาชนต่างก็เริ่มลืมเลือนสารัตถะแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่างกลับไม่เชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ต่างกลับไปเชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคัดค้านและต้องการเปลี่ยนแปลงตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กล่าวโดยย่อก็คือ แก่นแห่งศาสนาพุทธ ได้ถูกกระพี้แห่งศาสนาพราหมณ์ ปกปิด หรือบดบังไว้ อย่างแทบจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะจากสามัญชนคนธรรมดา
          พฤติการณ์ทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาได้แผ่ไปถึง เช่นในประเทศจีน ทิเบต เนปาล พม่า สยาม ลังกา ญี่ปุ่น ตลอดจนเกาหลี มองโกเลีย และอินโดนีเซีย ในทุกประเทศที่ได้กล่าวนามมานี้ เป็นความจริงที่พุทธศาสนาได้เข้าไปประดิษฐานอยู่เป็นเวลาช้านาน ทั้งได้รับความเทิดทูนสักการะอย่างสูงจากประชาชน แต่ในขณะเดียวกันอิทธิพลของวัฒนธรรม ตลอดจนลัทธิความเชื่อถือ เดิมของท้องถิ่นก็ได้เข้าไปผสมผสานปนเปกับ คำสอนอันแท้จริงของพุทธศาสนา อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก
          กล่าวโดยย่อก็คือ ปรมัตถธรรมที่พระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ได้เลือนลางจางหายจนแทบจะสูญความหมาย ในอินเดีย โดยเฉพาะแล้ว ภายในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีหลังจากพุทธศาสนา แม้ในถิ่นที่พุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดมาแล้ว เช่นในรัฐพิหาร อุตรประเทศ และเบงกอล ก็ตาม

3. ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของสงฆ์
          สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมอิทธิพลน่าจะได้แก่ ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของบุคคลที่เข้ามาเป็นสมาชิกในคณะภิกษุสงฆ์ ตราบใดที่คณะสงฆ์มีสมาชิกที่ทรงความรู้ความสามารถ เป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ปวงชน ตราบนั้นพุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะสูงส่ง มีราชามหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนคนธรรมดาประกาศตน เป็นสมาชิกมากมาย แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไม่นานก็ปรากฏตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ได้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นทั้งในทางระดับภูมิปัญญา และในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ จนต้องมีการสังคายนากันเป็นระยะ ๆ ตลอดมา
ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที (ศาสตรารฺถ) กันในเรื่องของศาสนาที่เป็นสาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลของความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น ผู้พิชิตปราชญ์ฝ่ายพุทธ

4. การปรากฏของลัทธิตันตระ
          ลัทธิตันตระเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อมาของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งได้กล่าวถึงมาบ้างแล้วในตอนต้น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก มีอาทิในประเทศอินเดีย อียิปต์ ประเทศจีนยุคกลาง ในตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐอเมริกา (ล่าสุดในญี่ปุ่น ได้แก่กรณีโอมชินริเกียว - Aum Shinrikyo ซึ่งได้สร้างความหายนะทั้งในชีวิตและทรัพย์สินแก่ชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาล) ชี้ให้เราเห็นว่า ความเชื่อลัทธิทางศาสนานั้น มีอิทธิพลอย่างมากมายต่อพฤติกรรมในชีวิตของมนุษย์ พิธีกรรมหรือวัตรปฏิบัติ อันเกิดจากความเชื่อทางศาสนามากมายหลายกรณี ซึ่งแรกเริ่มเดิมที เกิดจากเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์อันดีงาม เป็นบุญกุศล แต่พอกาลเวลาล่วงเลยไป กิเลสของคนกลับแปรเปลี่ยนให้พิธีกรรมหรือ วัตรปฏิบัติเหล่านั้น หันเหไปในทางที่เลวทรามต่ำช้าสุดที่จะพรรณา
          อุปมาที่กล่าวมานี้ฉันใด อุปไมยก็ได้แก่ลัทธิตันตระ อันเป็น วิวัฒนาการขั้นต่อมาในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อาจกล่าวได้ว่า ตันตระเป็นลัทธิความเชื่อและวัตรปฏิบัติที่นำ พุทธศาสนาไปสู่ความหายนะขั้นสุดท้ายในประเทศอินเดีย ตันตระประกอบด้วยคำสอนหลัก ๕ ประการ ที่มีชื่อว่า ๕ มมี (๑) มัทยะ - เหล้า (๒) มางสะ - เนื้อ (๓) มัตสยะ - ปลา (๔) มุทรา - ท่าทาง (๕) ไมถุน - การเสพสังวาสผู้ที่เชื่อในหลักคำสอนของตันตระจะต้องใช้ ๕ มนี้ประกอบ การบูชากราบไหว้ เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการที่จะเข้าใจว่าตันตระคือ อะไร และทำไมพุทธศาสนาในอินเดียจึงถึงซึ่งกาลอวสานด้วยตันตระ สมองของมนุษย์นั้นว่ากันว่าเป็นเลิศประเสริฐสุดในบรรดาสัตว์ ทุกชนิดที่มีให้เห็นในโลก แต่ประวัติศาสตร์ก็มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เราต้องยอมรับและเชื่อว่า ก็สมองของมนุษย์นี่แหละที่ได้สร้างความชั่วช้าสามานย์ ตลอดจนความพินาศวอดวายที่เลวร้ายที่สุดให้แก่มนุษย์
          ทุกวันนี้ ตันตระก็ยังมีให้เห็นทั่ว ๆ ไปในโลก (รวมทั้งในเมืองไทยด้วย) อาจจะมีท่านผู้อ่านอยากจะทราบว่าลัทธิตันตระชั่วร้ายอย่างไร ถึงกับทำให้พุทธศาสนาปลาสนาการไปจากอินเดียอันเป็นดินแดนถิ่นที่เกิด ผู้เขียนก็ขอตอบโดยสังเขปที่สุดว่า
ตันตระนั้นหรือคือลัทธิที่สอนให้คนเชื่อในเวทย์มนต์คาถาอาคม การทรงเจ้าเข้าผี ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในไสยศาสตร์ ไสยเวท อันมีกำเนิดจากคัมภีร์อาถรรพเวทของพราหมณ์ และอยู่นอกเหนือวิสัย ของปุถุชนคนธรรมดา
          อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๘ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ชาวอินเดียทั้งประเทศซึ่งเดิมเคยนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ต่างก็ตกอยู่ในความครอบงำของลัทธิตันตระอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น หากชนชั้นสูงรวมทั้งชนชั้นผู้ปกครองด้วยก็เช่นเดียวกัน

5. ชาวพุทธถูกรุกรานประหัตประหาร
          อิสลามในฐานะเป็นกำลังสำคัญทั้งในทางการเมืองและการศาสนา ได้แผ่เข้าไปในอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนต้น ของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ และภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองดินแดนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของอินเดียไว้แทบจะทั้งหมด และครองอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา
          การที่อิสลามเข้าไปมีอำนาจทางอาณาจักรและศาสนจักรในอินเดียเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามแผ่กระจาย และคลุมครอบชีวิตของชาวอินเดียอย่างลุ่มลึกและกว้างไกล ซึ่งอิทธิพลนี้ยังมีให้เห็นตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะในอินเดียภาคเหนือ
ในส่วนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น อาจกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอิสลามเป็นมรสุมลูกสุดท้ายที่กระหน่ำให้ พุทธนาวาลำนี้ก็อยู่ในสภาพ ชำรุดเต็มประดา ด้วยท้องนาวาถูกแมงกะพรุนตันตระกัดกิน เป็นรูรั่วน้ำไหลเข้าได้ จวนเจียนจะพลิกคว่ำอยู่แล้ว แต่ มรสุมลูกสุดท้ายที่ทำให้พุทธศาสนาต้องพังพินาศไปจากแผ่นดินอินเดียนั้น แน่นอน คือ อิสลาม

สาเหตุที่พุทธศาสนาเสื่อมจากอินเดีย
   หลายท่านสงสัยว่า เพราะเหตุใดพุทธศาสนาจึงเสื่อมโทรมไปจากประเทศอินเดียอันเป็นดินแดนเกิดของพุทธศาสนา ปัญหานี้มีคนสงสัยกันมากแต่ก็มีส่วนน้อยที่สนใจปัญหานี้อย่างแท้จริง มูลเหตุของการเสื่อมของพุทธศาสนามาจากสาเหตุหลายประการคือ 
เพราะแตกสามัคคี
     เพราะพระภิกษุสงฆ์เกิดแตกสามัคคีไม่มีความปรองดองกันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ หลงในลาภยศสักการะ ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสอนอันดั้งเดิมเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ทำให้เกิดสัทธรรมปฏิรูปซึ่งได้เกิดขึ้น แม้แต่สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ เช่นเรื่องการแตกสามัคคีของพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพี และพระเทวทัต เป็นต้นและได้มีสืบต่อ ๆ กันมาไม่ขาดราะยันับว่าเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งในวงการของพุทธศาสนาอันเป็นเหตุให้ศาสนาอื่น ๆ ฉวยโอกาสโจมตีได้เท่ากับเป็นการเปิดประตูบ้านให้พวกโจรเข้าลักของในบ้าน สังคายนาแต่ละครั้งที่ทำในอินเดียจึงมีมูลเหตุมาแต่การแตกแยกของพระภิกษุสงฆ์เป็นส่วนใหญ่
    ขาดผู้อุปถัมภ์
     พุทธศาสนาเจริญและดำรงมาได้ก็เพราะมีพระเจ้าแผ่นดินให้ความอุปถัมภ์บำรุง เมื่อสิ้นพระเจ้าอโศก พระเจ้ามิลินท์ พระเจ้ากนิษกะ พระเจ้าหรรษวรรธนะ พระเจ้าธรรมปาละ พระเจ้าเทวปาละ ผู้มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาแล้วทำให้พุทธศาสนาต้องขาดผู้อุปถัมภ์ ไม่ได้รับการบำรุงส่งเสริมซึ่งพอจะเห็นได้ว่าพุทธศาสนาได้เจริญในรัชกาลของพระมหากษัตริย์ดังกล่าวกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์นี้ทรงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก เมื่อขาดผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาก็เหมือนกับไม้ขาดน้ำและปุ๋ย และพระมหากษัตริย์บางพระองค์นอกจากไม่คุ้มครองและยังทำลายพุทธศาสนาอย่างย่อยยับ เช่น กษัตริย์สสางกะ ปุษยมิตร เป็นต้น
    เพราะถูกศาสนาฮินดูเบียดเบียน
     ศาสนาฮินดูได้เป็นคู่แข่งของพุทธศาสนามาเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธการล จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พวกพราหมณ์หรือฮินดูก็ได้เริ่มประกาศคำสอนของตนเป็นใหญ่ ส่วนพระสงฆ์ในพุทธศาสนามีแต่ตั้งรับ บางครั้งก็เปิดช่องว่างให้เขาหรือไม่ก็หลอมตัวเข้าหาเขา จึงเท่ากับว่าทำลายตัวเองด้วยและถูกคนอื่นทำลายด้วย ถ้าหากพระสงฆ์และชาวพุทธยังยึดมั่นอยู่ในคำสอนและรักษาความสามัคคีในหมู่คณะไว้ได้ดีแล้ว คนอื่นหรือศาสนาอื่นก็ทำอะไรได้ยาก เพราะพุทธศาสนาย่อมได้เปรียบศาสนาอื่นหรือศาสนาอื่นก็ทำอะไรได้ยาก เพราะพุทธศาสนาย่อมได้เปรียบศาสนาอื่นในหลักคำสอนอยู่แล้ว การทำลายของศาสนาฮินดูใช้ทั้งไม้อ่อนและไม่แข็งไม้อ่อนคือโจมตีด้วยคำสอน ลอกเลียนแบบคำสอน ลอกเลียนแบบคำสอน นำพระพุทธเจ้ามาเป็นอวตาร ไม้แข็งคือทำลายวัด ยึดวัดพุทธมาเป็นฮินดู วัดส่วนมากกลายเป็นฮินดูเช่นในอินเดียภาคใต้ พุทธคยา ตโปธาราม ราชคฤห์, วาลุการามที่สังคายนาครั้งที่ ๒, วัดถ้ำที่อินเดียภาคใต้ , โบสถ์พระรามที่อโยธยา ก็กลายมาเป็นสมบัติชาวฮินดูไปนอกนั้นยังซ้ำเติมยามพลั้งพลาด เช่น พราหมณ์กลุ่มหนึ่งหลังมุสลิมเติร์ก กลับจากเผามหาวิทยาลัยนาลันทาแล้ว ก็กลับมาเผาซ้ำอีก
   ถูกมุสลิมทำลาย
     เมื่อสมัยที่มุสลิมเข้ามามีอำนาจในอินเดียกษัตริย์มุสลิมใด้แผ่อำนาจไปในส่วนต่าง ๆ ของอินเดียราว ๆ พ.ศ.๑๗๐๐ กองทัพมุสลิมได้ทำลายวัดวาอาราม รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฆ่าฟันพระสงฆ์อย่างมากมาย จนพระสงฆ์และชาวพุทธต้องหนีกันออกนอกประเทศอินเดีย เข้าไปอาศัยในเนปาล สิกขิม ธิเบต ต่อมาเมื่อมุสลิมยึดอินเดียได้อย่างเด็ดขาด อิทธิพลของศาสนาอิสลามก็ได้แผ่ตามไปด้วย เป็นเหตุให้พุทธศาสนาพลอยได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักจนสูญหายไปในที่สุด หลายฝ่ายเชื่อว่าถ้าไม่ถูกมุสลิมถอนรากถอนโคน พุทธศาสนาวัดว่าอารามก็คงเลืออยู่เต็มอินเดีย เฉพาะรัฐพิหารรัฐเดียวก็มีเป็นหมื่นวัด จนกลายมาเป็นชื่อรัฐในปัจจุบัน พุทธศาสนาก็คงอยู่ได้แต่อาจจะลดจำนวนลงบ้าง และอาจจะปฏิรูปเข้ากับศาสนาฮินดูบ้าง การมาของมุสลิมเหมือนกับลมพายุกระหน่ำต้นไทรที่ผุข้างในบ้างแล้วให้ล้มลง
   พุทธศาสนามีคำสอนที่สวนกระแส
     เพราะคำสอนของพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่สวนกระแส คือ ดิ่งสู่ความเป็นจริง เป็นการฝืนใจคนอินเดียในสมัยนั้น แนวคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องการไม่สนับสนุนการอ้อนวอน ก็ขัดความรู้สึกคนสมัยนั้น ที่นิยมการอ้อนวอนบูชาบวงสรวงสิ่งที่ไกลตัว เพื่อหวังลาภสักการะหวังเป็นที่พึ่ง แนวคำสอนของพุทธศาสนาดึงคนเข้ามาหาหลักไม่ใช่ดึงหลักเข้ามาหาคน ไม่บัญญัติไปตามความชอบพอของคนบางคน ทำให้ปุถุชนผู้เบาปัญญา เกิดความเบื่อหน่าย และหันไปนับถือศาสนาอื่นได้ นอกจากนั้นหลักคำสอนเกี่ยวกับการปฏิเสธวรรณะของคนชั้นสูงและคนชั้นต่ำ ผู้ยึดมั่นอยู่ในลัทธิประเพณีพวกคนคิดเห็นของของคนชั้นสูงก็ไม่อยากให้มีการเลิกการถือชั้นวรรณะ คนชั้นต่ำก็ไม่ต้องการให้ล้มเลิกลัทธิประเพณีของเขา คนชั้นต่ำมิได้นับถือศาสนาด้วยปัญญา แต่นับถือด้วยการยึดมั่นอยู่พิธีกรรมจึงทำให้เป็นการขัดต่อความเชื่อถือของเขา
   
ถูกฮินดูแต่งกายเลียนแบบ
     ในสมัยต่อมานักบวชฮินดู ได้เปลี่ยนแนวการสอนใหม่จากเดิมที่ไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง มาเป็นการตั้งสำนัก จากไม่มีองค์กรคณะสงฆ์ ก็ตั้งคณะสงฆ์ จากนักบวชพราหมณ์ที่นุ่งห่มสีขาว กลายมาเป็นแต่งชุดเหลืองเหมือนพระสงฆ์ในพุทธศาสนา นักบวชที่แต่งชุดเหลืองถูกเรียกว่า สาธุ แม้พระสงฆ์ไทยเมื่อไปอยู่อินเดียก็ถูกเรียกว่า สาธุ เช่นกัน และคิดเหมาเอาว่าเป็นฮินดูทั้งหมด เมื่อฮินดูปฏิรูปการนุ่งห่มทำให้ความแตกต่างลดน้อยลง และการกลืนก็เป็นไปง่ายขึ้น
   เลียนแบบลัทธิตันตระในศาสนาฮินดู
     เมื่อ พ.ศ.๑๕๐๐ พุทธศาสนาได้รับเอาลัทธิตันตระของฮินดูมาปฏิบัติแล้วเรียกในชื่อใหม่ว่า พุทธตันตระ ซึ่งเป็นการขัดต่อคำสอนของพุทธศาสนาดั้งเดิม คำว่าพุทธตันตระหมายเอาพุทธศาสนาในยุคหลัง อันมีมนตรยาน วัชรยานและสหัสยาน ลัทธินี้ก่อนที่จะเสื่อมจากอินเดียได้ไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศธิเบต เนปาล และภูฐาน เมื่อพุทธศาสนาถือเอาลัทธิตันตระมาผสมผสานกับศาสนาของตนจึงไม่มีความแตกต่างจากฮินดู ทำให้ห่างจากหลักการเดิมออกไปทุกที
    
ถูกทำลายจากกษัตริย์ต่างศาสนา
     ยามที่ผู้ปกครองนับถือพุทธศาสนา ศาสนาทุกศาสนาจะได้รับการปกป้องคุ้มครองเสมอ เพราะชาวพุทธมีความเมตตาอารี มีความเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่ แต่เมื่อคราใดที่ผู้ปกครองนับถือศาสนาอื่น เช่น ฮินดู หรือ มุสลิมแล้ว พุทธศาสนามักจะถูกทำลายเสมอ เช่น ในสมัยของพระเจ้าศศางกะ พระเจ้าปุษยมิตร พระเจ้ามิหิรกุล ทั้งสามนับถือศาสนาฮินดู ได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างมากในสมัยที่ตนเองปกครองอยู่ ต่อมาเมื่อกองทัพมุสลิมเข้ายึดครองแล้ว พุทธศาสนาก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เช่น โมฮัมหมัด เบนกาซิม โมฮัมหมัด ขิลจิ ,บาบูร์ เป็นต้น


อินเดียหันจากพราหมณ์ มาหาพุทธศาสน์ ศาสนาพราหมณ์อันเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งพัฒนามาเป็นศาสนาที่เรียกในปัจจุบันว่า ฮินดู นับถือเทพสูงสุด ซึ่งในพุทธกาลได้แก่พระพรหม เทพที่เก่าแก่ที่สุดของฮินดู ผู้มีอำนาจสร้างสรรค์ดลบันดาลสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตและสังคมของมนุษย์ ศาสนาพราหมณ์นั้น ได้จัดตั้งวางระเบียบสังคมด้วยระบบวรรณะ และกำกับวิถีของสังคมนั้นด้วยข้อกำหนดแห่งพิธีบูชายัญ บนฐานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท โดยอ้างอำนาจสูงสุดของพระพรหมเทพเจ้า ในระบบวรรณะ ๔ นั้น พระพรหมทรงสร้างและจัดสรรสังคมมนุษย์ โดยแบ่งคนให้มีศักดิ์และสิทธิ์ตามชาติกำเนิด ไม่มีทางแก้ไข เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ได้สอนให้มนุษย์รู้ว่าธรรมสูงสุดส่วนพระพรหมและเทพทั้งปวง เป็นเพียงเพื่อนร่วมสังสารวัฏที่มนุษย์พึงอยู่ร่วมด้วยเมตตา โดยต่างก็เป็นไปตามธรรม พร้อมกันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศหลักการให้ถือว่าคนทั้ง ๔ วรรณะมีสถานะเสมอกัน ไม่มีการแบ่งแยกแตกต่าง มวลมนุษย์เสมอกันโดยธรรมจะแตกต่างกันไปก็ด้วยการทำกรรม ดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า   บุคคลไม่เป็นคนถ่อยทรามเพราะชาติกำเนิด ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นคนถ่อยทราม เพราะการกระทำ เป็นพราหมณ์เพราะการกระทำ [ขุ.สุ.๒๕/๓๐๕๑๓๔๙]      สังฆะของพระพุทธเจ้าจึงเปิดรับคนทั้ง ๔ วรรณะเท่าเทียมกัน ดังคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า แม่น้ำสินธู แม่น้ำสรัสวดี แม่น้ำจันทภาคา แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และมหินที ทั้งหมดนี้เมื่อหลั่งไหลมา สาครย่อมรับไว้ ชื่อเดิมก็สลัดหาย รู้กัน แต่ว่าเป็นสาครเหล่าชน ๔ วรรณะนี้ก็เช่นกัน บรรพชาในสำนักของพระองค์ (พระพุทธเจ้า) ย่อมละชื่อเดิม รู้กันแต่ว่าเป็นพุทธบุตร [ขุ.อป.๓๒/๓/๓๙]
อีกด้านหนึ่งคือการบูชายัญในพระไตรปิฎก มีเรื่องราวจารึกไว้หลายพระสูตรที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงพบปะสนทนาโต้ตอบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่มีชื่อเสียงและผู้ปกครองบ้านเมือง โดยทรงใช้วิธีการทางปัญญา ทำให้เขาเลิกล้มพิธีบูชายัญที่เอาใจเทพเจ้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการเบียดเบียนคนและสัตว์ ให้เขาหันมาบำเพ็ญทานเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกันในหมู่มนุษย์เอง เมื่อการต่อสู้ทางปัญญาเข้มข้นขึ้น และพระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไป พิธีบูชายัญก็ลดความสำคัญลง แม้แต่พราหมณ์ก็สละวรรณะออกมาบวชเป็นพระภิกษุกันมากขึ้น ๆ ทำให้สถานะของศาสนาพราหมณ์สั่นคลอนอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป พระพุทธศาสนาก็ยิ่งเจริญแพร่หลายกว้างขวาง จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะที่ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยทะนุบำรุงอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์อย่างทั่วถึง และคุ้มครองในความเป็นธรรมเสมอเหมือนกัน นอกจากไม่ให้อภิสิทธิ์แก่วรรณะพราหมณ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชถึงกับทรงประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และทรงย้ำการห้ามบูชายัญนี้บ่อยครั้งในศิลาจารึกที่โปรดให้เขียนไว้ในท้องถิ่นดินแดนต่าง ๆ นับว่าเป็นการหักล้างหลักการของศาสนาพราหมณ์อย่างถึงรากถึงฐาน แน่นอนว่า ระบบวรรณะ และการบูชายัญเป็นสิ่งที่พราหมณ์จะต้องพยายามรักษาไว้ให้มั่นคงที่สุด หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตเพียง ๕๓ ปี ( นับแบบของเราว่า พ.ศ. ๓๑๓ แต่นับอย่างฝรั่งว่าประมาณ พ.ศ. ๒๙๘ )พวกพราหมณ์ก็โค่นล้มราชวงศ์โมริยะลง โดยพราหมณ์นามว่า ปุษยมิตร ซึ่งรับราชการเป็นเสนาบดีอยู่ในวัง ได้ปลงพระชนม์กษัตริย์เสีย แล้วพราหมณ์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เอง ตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อว่าศุงคะ มีเรื่องบันทึกไว้ว่า ราชาปุษยมิตรได้ประกาศศักดา โดยรื้อฟื้นการบูชายัญ เฉพาะอย่างยิ่งยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คืออัศวเมธ อันได้แก่การฆ่าม้าบูชายัญ นอกจากนั้น ราชาปุษยมิตรได้ทำลายพระพุทธศาสนา เผาวัดกำจัดพระภิกษุสงฆ์ โดยถึงกับในค่าศีรษะแก่ผู้ฆ่าพระภิกษุได้ รูปละ ๑๐๐ ทินาร์* [Dutt, Sukumar. The buddha and Five After-Centuries. (London:Luzac and Company Limited, 1955,p.164] แต่เรื่องของปุษยมิตรอยู่ในยุคที่มีเอกสารน้อย จึงไม่มีรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ราชาปุษยมิตรทำลายพระพุทธศาสนาไม่ได้มาก เพราะครองดินแดนของราชวงศ์โมริยะไว้ได้เพียงบางส่วน มีผู้ตั้งอาณาจักรอื่น ๆ ขึ้น แตกแยกออกไป และพระพุทธศาสนาก็ยังรุ่งเรืองต่อมาในหลายถิ่น เช่น ในอาณาจักรบากเตรีย ที่เราเรียกว่า แคว้นโยนกของกษัตริย์เชื้อชาติกรีก พระนามว่าพระเจ้าเมนานเดอร์หรือมิลินทะ แห่งแคว้นสาคละ หรือสากละในปัญจาบปัจจุบัน ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ (ราว ๑๕๐ ปีหลังยุคพระเจ้าอโศกมหาราช) เทพเจ้าองค์ใหม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาในศาสนาพราหมณ์นั้น คือพระวิษณุ (ได้แก่พระนารายณ์) และพระศิวะ (ได้แก่พระอิศวร) ในยุคต่อจากนี้ ตลอดเวลาระยะยาว พราหมณ์ได้พยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งอย่างรุนแรง และอย่างละมุนละม่อม รวมทั้งการสร้างนารายณ์อวตารปางที่ ๙ ที่เรียกว่าพุทธาวตาร หรือที่พราหมณ์เองเรียกว่าปางมายาโมหะ และศิวะอวตาร ตลอดจนตั้งคณะนักบวชฮินดูขึ้นมาเลียนแบบสังฆะ เดี๋ยวนี้ชาวฮินดูสร้างเทวาลัย บางพวกวางรูปพระนารายณ์ไว้ตรงกลาง แล้วบางแห่งก็เอารูปพระพุทธเจ้าไปวางไว้ข้าง ๆ ให้เป็นบริวาร การที่เขาทำอย่างนี้ เป็นเรื่องยุคหลัง ๆ ที่สืบมาแต่ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ครั้งนั้น ทางฝ่ายฮินดูแต่งเรื่อง โดยสร้างหลักคำสอนใหม่ขึ้นมา บอกว่าพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่จะอวตารลงมากู้และแก้ปัญหาของโลกเป็นระยะ ๆ แล้ว ครั้งหนึ่งก็ได้อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าของเราก็กลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เขาบอกว่า บูชาพระพุทธเจ้าได้ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นพระนารายณ์ที่อวตารลงมา ว่าแล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปไปไว้ในเทวาลัยของฮินดูด้วย โดยเอาพระนารายณ์ตั้งตรงกลาง แล้วเอาพระพุทธรูปไปวางไว้ข้าง ๆ เป็นการค่อยประสานกลมกลืนกันไป แต่ที่เขาบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ดูเหมือนเป็นการยกย่องนั้น ถ้าศึกษาสักหน่อย ก็จะรู้ว่าเป็นการมุ่งร้าย เพราะเขาบอกว่า  พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อทำหน้าที่หลอกลวงคน ลัทธิฮินดูบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางมายาโมหะ คือปางหลอกลวงคน หลอกลวงอย่างไร คือเขาแต่งเป็นเรื่องว่า มีมนุษย์จำนวนมากที่เป็นพวกของอสูรร้ายเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและต่อพระเวท พระนารายณ์ก็เลยอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหลอกลวงคนเหล่านี้เอามารวมเข้าด้วยกันไว้ เพื่อช่วยให้เทพเจ้าทำลายคนเหล่านี้ได้สะดวกทีเดียวหมดเลย หมายความว่า ฮินดูให้พระพุทธเจ้าเป็นพระเอกในบทบาทของผู้หลอกลวง และถือว่าชาวพุทธก็คือพวกลูกน้องของอสูร    พราหมณ์ใช้พระนารายณ์มาชิงอินเดียกลับไป ไหน ๆ ได้พูดพาดพิงถึงการที่ฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารแล้ว ก็ควรจะพูดให้เข้าใจชัดเจนขึ้นสักนิด เรื่องนารายณ์อวตารนี้เกิดขึ้นในยุคคัมภีร์ปุราณะของฮินดู ปุราณะ แปลง่าย ๆ ว่า เรื่องโบราณก็คล้ายกับคำว่าตำนาน แต่เป็นตำนานของฮินดูโดยเฉพาะคัมภีร์ปุราณะมีทั้งหมด ๑๘ คัมภีร์ แต่ก่อนเคยเข้าใจกันว่าเก่าแก่มาก แต่เวลานี้รู้กันลงตัวหมดแล้วว่า แต่งขึ้นเริ่มแรกในคริสต์ศตวรรษ ที่ ๔ (ราว พ.ศ. ๘๕๐) และแต่งกันเรื่อย ๆ มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ (ราว พ.ศ.๑๔๕๐) แต่ปราชญ์บางท่านว่าถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (ราว พ.ศ.๒๐๕๐) เรื่องเอาพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ที่เรียกว่าพุทธาวตารนั้น ปรากฏขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๑๐๐ คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์แรกที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร คือ "วิษณุปุราณะ" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แต่งในช่วง พ.ศ.๙๔๓-๑๐๔๓ และบรรยายไว้ยืดยาว ชาวฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารเพื่ออะไร ไม่ควรเดา ถ้าต้องการรู้ชัดก็อ่านข้อความในคัมภีร์ปุราณะที่เป็นต้นแหล่ง ก็จะได้ความแน่นอน ขอยกข้อความในคัมภีร์วิษณุปุราณะ ตอนสำคัญมาให้ดู ตอนหนึ่งว่า "พวกอสูร มีประหลาทะ เป็นหัวหน้า ได้ขโมยเครื่องบูชายัญของเทพยดาทั้งหลายไป แต่เหล่าอสูรเก่งกล้ามาก เทพยดาปราบไม่ได้ พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จึงทรงนิรมิตบุรุษแห่งมายา (นักหลอกลวง) ขึ้นมาเพื่อให้ไปชักพาเหล่าอสูรออกไปให้พ้นจากทางแห่งพระเวท ..... บุรุษแห่งมายานั้นนุ่งห่มผ้าสีแดง และสอนเหล่าอสูรว่า การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นบาป..... ทำให้พวกอสูรเป็นชาวพุทธและชักพาให้หมู่ชนอื่น ๆ ออกนอกศาสนา พากันละทิ้งพระเวท ติเตียนเทพยดาและพราหมณ์ทั้งหลาย สลัดทิ้งสัทธรรมที่เป็นเกราะป้องกันตัว เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าโจมตีและฆ่าอสูรเหล่านั้นได้"
อีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ในการสงครามระหว่างเทพยดากับเหล่าอสูร เทพยดาได้ปราชัย และมาขอให้องค์พระเป็นเจ้า (พระวิษณุ=พระนารายณ์) ทรงเป็นที่พึ่ง องค์พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงมาอุบัติเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ มาทรงเป็นองค์มายาโมหะ (ผู้หลอกลวง) และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา และละทิ้งพระเวท แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นอรหันต์ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น" ญาติโยมอาจสงสัยว่า ทำไมจะไปล่อให้อสูรออกนอกศาสนาเสียละ ทำให้เขานับถือไม่ดี หรือตอบง่าย ๆ ว่า พราหมณ์หรือฮินดูถือว่า อสูรเป็นศัตรูของเทวดา เมื่ออสูรมารู้พระเวท ทำพิธีบูชายัญ เป็นต้น ก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจ เทวดาก็ปราบไม่ได้ เหมือนอย่างเรื่องข้างต้น พระนารายณ์จึงอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรกับพวกออกไปเสียจากศาสนาฮินดู (ให้เลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญเป็นต้น) แล้วจะได้หมดฤทธิ์ หมดพลังอำนาจ เสร็จแล้วพวกเทวดาจะได้สามารถปราบหรือกำจัดอสูรได้สำเร็จ หมายความว่า พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อมาหลอกเหล่าอสูร ซึ่งเป็นศัตรูของเทวดาให้หลงผิดเลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญ เป็นต้น แล้วอสูรจะได้หมดฤทธานุ-ภาพ คือมาช่วยให้เทวดาปราบอสูรได้สำเร็จ และก็หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหมดนี้คือพวกอสูร ซึ่งจะต้องถูกปราบถูกกำจัดต่อไป คัมภีร์ภาควตปุราณะ ซึ่งเป็นปุราณะที่สำคัญที่สุดกล่าวว่า "เมื่อกลียุคเริ่มขึ้นแล้ว องค์พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า โอรสของราชาอัญชนะ (ที่จริงเป็นพระอัยกาของพุทธเจ้า) เพื่อชักพาเหล่าศัตรูของเทพยดาทั้งหลายให้หลงผิดไปเสีย มาสอนอธรรมแก่เหล่าอสูร ทำให้พวกมันออกไปเสียจากพระศาสนา พระองค์จะทรงสั่งสอนเหล่าชนผู้ไม่สมควรแก่ยัญ พิธีให้หลงผิดออกไป ขอนอบน้อมแด่องค์พุทธะ ผู้บริสุทธิ์ ผู้หลอกลวงเหล่าอสูร" ที่ว่ากลียุคนั้น ทางฮินดูถือว่ามีเครื่องหมายแสดงให้รู้คือ เมื่อใดการแบ่งแยกวรรณะทั้ง ๔ เริ่มผ่านคลายเสื่อมสลายลง ก็แสดงว่ากำลังเริ่มเข้าสู่กลียุค ตอนนี้ คัมภีร์ปุราณะก็กล่าวบรรยายไว้ด้วยว่า เมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรและพวกให้หลงผิดออกไปจากศาสนาฮินดูเรียบร้อยแล้วต่อไป เมื่อสิ้นกลียุคแล้ว พระองค์ก็จะอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นอวตารปางที ๑๐ (ต่อจากพระพุทธเจ้าซึ่งเขาจัดเป็นปางที่ ๙ ) ชื่อกัลกี (กัลกยาวตาร) เพื่อกำจัดกวาดล้างฆ่าเหล่าอสูรนั้นให้หมดสิ้น แล้วเสด็จกลับคือสู่สรวงสวรรค์ ต่อแต่นั้น โลกก็จะกลับเข้าสู่ยุคทอง
คัมภีร์มหาภารตะ ก็ได้เขียนเติมแทรกข้อความต่อไปนี้ไว้ "เมื่อเริ่มกลียุค องค์พระวิษณุเจ้าจะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นโอรสของราชาสุทโธทนะ และจะเป็นสมณโล้นออกสั่งสอนด้วยภาษามคธ ชักพาเหล่าประชาชนให้หลงผิดประชาชนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนหัวโล้นไปด้วย และนุ่งห่มผ้าเหลือง พราหมณ์ก็เลิกทำพิธีเซ่นสรวง และหยุดสาธยายพระเวท..... ลำดับนั้น เมื่อสิ้นกลียุค พราหมณ์นามว่ากัลกี ผู้เป็นบุตรแห่งวิษณุยสะ จะมาถือกำเนิด และกำจัดเหล่าพวกอนารยชนคนนอกศาสนาเหล่านั้นเสีย"
อันคัมภีร์หนึ่งเขียนไว้ ให้รู้สึกเป็นประวัติศาสตร์(แบบเทียม ๆ) ว่า "บัดนี้ องค์พระวิษณุเจ้า มีพระทัยรำลึกถึงกลียุค จึงได้เสด็จลงมาอุบัติเป็นพระโคตมะ ศากยมุนี และสอนธรรมของพุทธศาสนาเป็นเวลา ๑๐ ปี ครั้งนั้น ราชาสุทโธทนะครองราชย์ ๒๐ ปี แล้ว ราชาศากยสิงหะครองราชย์ ๓๐ ปี ในตอนต้นแห่งกลียุคนั้น วิถีแห่งพระเวทได้ถูกทำลาย และประชาชนได้ไปนับถือพุทธศาสนากันหมด เหล่าชนผู้ถือองค์พระวิษณุเป็นสรณะ ได้ถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้ว" ต่อมา พวกฮินดูนิกายไศวะสายศังกราจารย์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพวกไวษณพ ก็ได้นำวิธีการนี้มาให้ด้วย โดยสอนว่าศังกราจารย์เป็นอวตารของพระศิวะ (พระอิศวร) เพื่อมากำจัดพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ดังข้อความใน "ศังกรทิควิชยะ" ว่า "เทพยดาทั้งหลาย ได้มาร้องทุกข์แด่องค์พระศิวะเป็นเจ้าว่า พระวิษณุได้เข้าสิงสู่ในร่างของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์เพื่อประโยชน์ของตน บัดนี้ เหล่าชนผู้เกลียดชังพระศาสนา ผู้ดูหมิ่นพราหมณ์ ดูหมิ่นธรรมแห่งวรรณะและอาศรมธรรมได้มีจำนานมากเต็มผืนแผ่นดินไม่มีบุคคลใดประกอบยัญพิธีเพราะคนทั้งหลายได้กลายไปเป็นคนนอกศาสนา (=นอกศาสนาฮินดู) คือเป็นพุทธ เป็นพวกกาปาลิก เป็นต้น ทำให้เหล่าเทพยดาทั้งหลายไม่ได้เสวยเครื่องเซ่นสังเวยองค์พระศิวะเป็นเจ้า (ได้ทรงสดับแล้ว) ก็ได้โปรดเห็นชอบกับเหล่าเทพยดา เสด็จอวตารลงมาเป็นศังกราจารย์ เพื่อกู้คำสอนแห่งพระเวท ในฟื้นคืนกลับมา เพื่อให้สากลโลกมีความสุขและทำลายความประพฤติชั่วให้หมดสิ้นไป" ตามที่ยกมาให้ดูให้ฟังนี้ ก็คงจะเห็นได้เองว่า เรื่องนารายณ์อวตารแสดงความรู้สึกและเจตนาที่แท้ของฮินดูต่อพุทธศาสนาอย่างไร เช่น จะเห็นว่าเขาถือว่าการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนาหมายถึงการเริ่มต้นของกลียุค เขาถือว่าชาวพุทธเป็นพวกอสูร และพระพุทธเจ้ามาทรงสั่งสอนนี้ ไม่ได้มาสอนด้วยเจตนาดี แต่ตั้งใจมาชักจูงอสูรคือชาวพุทธให้หลงผิด และที่ว่าหลงผิดก็คือจุดที่เขาโกรธแค้นมากว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนเลิกบูชายัญ (โยงไปถึงเรื่องการให้เลิกแบ่งวรรณะ)

เรื่องนี้ ก็ต้องตื่นกันเสียทีอีกด้วย บางท่านไม่ทราบเรื่องชัด เห็นว่าฮินดูนับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตาร ก็คือ นับถือเท่ากับเป็นพระเจ้าของเขา ก็เลยกลายเป็นไม่รู้ทัน ขอให้มองง่าย ๆ
๑. มองในแง่กาลเวลา พระพุทธเจ้าปรินิพานล่วงไปแล้วตั้งพันกว่าปี ฮินดูเพิ่งจะมาว่าเป็นนารายณ์อวตารลงมา ไม่เข้าเรื่องกัน
๒. มองในแง่ของพระพุทธศาสนาเอง เรื่องพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็น ใครก็ตาม ขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศานาไม่ยอมรับเรื่องเทพเจ้า ยิ่งใหญ่ที่สร้างสรรค์ดลบันดาลโลกและชีวิต
๓. มองในแง่ของฮินดูที่อยู่ข้างนอกว่ามีท่าทีต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร ก็ชัดว่า ไม่ได้คิดในทางที่ดี พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้หลอกลวง เอาชาวพุทธที่เขาว่าเป็นพวกอสูรไปแยกไว้ เพื่อให้พวกเทวดามากำจัดต่อไป น่าสงสัยด้วยว่า ชาวฮินดูที่กำจัดพระพุทธศาสนาและชาวพุทธในยุคต่าง ๆ ต่อมา จะอาศัยคำกล่าวในคัมภีร์อย่างนี้ไปเป็นข้ออ้างด้วยบ้างหรือเปล่า นอกจากนั้น คำในคัมภีร์ปุราณะ เช่นที่ยกมานี้ ฟ้องถึงสภาพในเวลานั้นว่า พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองมีผู้นับถือมาก และศาสนาพราหมณ์เสื่อมถอย จึงกลายเป็นเหตุให้ฮินดูร้อนรนเอาจริงเอาจังอย่างหนักที่จะหาทางกำจัดให้ได้ และมองเห็นทางที่แยบคาย หรือหมดทางอื่น จึงคิดวิธีใหม่โดยสร้างทฤษฎีขึ้นมากลืน
[ตัดตอนมาจากหนังสือ สืบเนื่องจากภาพยนต์ เรื่องกำเนิดพระพุทธเจ้า บทเรียนที่มักถูกลืมของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)]

สาเหตุที่พระพุทธศาสนาหายไปจากอินเดีย
     วันนี้มีคำถามอยู่ในใจพุทธบริษัททั้งหลายว่า วิกฤตศรัทธาในพฤติกรรมของสงฆ์ที่ย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยมากขึ้น พระสงฆ์บางรูปทำการเผยแพร่คำสั่งสอนของพระศาสดาผิดเพี้ยนไปทั้งที่จงใจและไม่จงใจก็มีปรากฏให้เห็นมากยิ่งขึ้น ท่านผู้ซึ่งเป็นปราชญ์ทางศาสนาและพระเถรานุเถระผู้ปฏิบัติดีและปฏิบัติชอบ ตลอดจนบูชาธรรมแท้ทั้งหลาย(ผู้ที่ประพฤติและปฏิบัติตามพระธรรมและพระวินัยที่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาองค์เอกของโลกมนุษย์และจักรวาล ผู้ที่ได้ชื่อว่าตรัสรู้จริงและหมดสิ้นแล้วในกองทุกข์กองกิเลสโดยสิ้นเชิง ผู้ที่สามารถช่วยเหลือพระองค์เองและเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้จริง) ต่างก็เป็นห่วงและรู้สึกวิตกกังวลมาก ในวิกฤตการณ์ของชาวพุทธและชาวโลกต่างตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น และระหว่างระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งภัยในระบบการเมืองที่ไม่เหมาะสมกับพลเมือง ขาดความรัก ความเมตตา ความซื่อตรง และประการสำคัญก็คือคณะสงฆ์ที่ควบคุมกันเองไม่ได้ ไม่เชื่อฟังกัน คณะสงฆ์ที่อนุวัตน์ตามหลักโลกมากเกินไป คณะสงฆ์ไม่ขยะแขยงต่อความร่ำรวย หลงมัวเมาในลาภ ยศ และสรรเสริญ(ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของนักบวชหรือภิกษุสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์เลย) อีกทั้งมีพุทธบริษัทที่ได้รับคำสั่งสอนที่ผิดไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนา ทิ้งธรรมะ และยึดถือวัตถุมากขึ้น คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความเสื่อมในสังคมชาวพุทธในยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความอ่อนแอถึงที่สุดของชาวพุทธศาสนา หรือสูญสิ้นพุทธศาสนาในอนาคตก็ได้ เหมือนกับที่พระพุทธศาสนาได้เคยสูญสิ้นไปจากอินเดียหรือชมพูทวีป อันเป็นดินแดนกำเนิดเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนามาแล้วนั้นเอง
        
ในอดีตเรามีบทเรียนที่มีค่าว่า เหตุใด?พุทธศาสนาสูญไปจากอินเดีย
     พระพุทธเจ้าประสูติในชมพูทวีป พระองค์เกิดในอินเดียแสวงหาโมกขธรรม และตรัสรู้ในอินเดีย มีพุทธสาวกมากหลายสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ไปทั่วชมพูทวีป แต่น่าอัศจรรย์ใจว่า พุทธศาสนาของพระองค์มิได้มีความมั่นคงอยู่ในอินเดีย ดังที่มีปณิธานไว้ให้คงอยู่ในโลกมนุษย์จนครบถ้วน๕,๐๐๐ ปี แต่กลับไปเจริญและตั้งมั่นในดินแดนอื่นเช่น ในดินแดนสุวรรณภูมิทวีป เป็นต้น ซึ่งพอจะหาสาเหตุที่เกิดขึ้นเช่นนั้นพอเป็นสังเขปได้ดังนี้ คือ
     ในอินเดียสมัยรัชกาลของพระเจ้ายักษปาละ เสนาบดีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า ราวเสนเป็นกบฏได้ทำลายราชวงศ์ปาละลง แล้วตั้งวงศ์เสนะขึ้น พุทธศาสนาจึงไม่มีผู้นับถือในทางราชการ พระราชวงศ์เสนะเป็นฮินดู ไม่ช้ากองทัพอิสลามภายใต้การนำทัพของขุนทัพชื่อว่า ยักติยาชิละจีได้ยกทัพเข้าบุกมคธรัฐ แล้วทำการเผา มหาวิทยาลัยนาลันทาวิกรมศิลา”(มหาวิทยาลัยแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์) เสียราบเรียบ เป็นต้น ทั้งยังได้ปล้นเอาสมบัติตามวัดต่างๆ และฆ่าฟันพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่พบเห็น พระพุทธศาสนาซึ่งเหลือจุดสุดท้ายที่แห่งนี้ ก็ทำให้พุทธสาวกของพุทธศาสนาถูกทำลายแบบถอนรากถอนโคนจนไม่มีอะไรเหลืออีกเลย คณะสงฆ์รอดตายได้หนีเข้าไปในเนปาลและทิเบต และไม่มีผู้ใดกล้ากลับมาอินเดียอีกเลย พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าซึ่งถือกำเนิดในอินเดีย และเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียมาอย่างยาวนานเป็นเวลา ๑๗๐๐ ปี จึงถึงกาลอวสานด้วยเหตุดังว่ามานี้ คือ

๑. ) อะไร? คือสาเหตุให้พุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย
     ปัญหานี้ได้นำความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงให้เกิดแก่นักประวัติศาสตร์มาแล้วว่า เหตุใดพุทธศาสนาซึ่งอุบัติขึ้นในอินเดีย มีประชากรนับถือติดต่อกันถึง ๑๗ ศตวรรษ แต่แล้วกลับไม่ปรากฏ แม้เพียงแต่ในจินตนาการของชาวอินเดียยุคต่อมาชาวอินเดียมองพุทธศาสนาอย่างคนที่ไม่รู้จักหรือคนแปลกหน้า ปริศนาข้อนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาในโลกตั้งข้อสงสัยว่า อะไรเป็นเหตุหรือปัจจัยให้แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
     ก.)มุมมองนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาในสยามประเทศหรือประเทศไทย คือ อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ได้ตั้งข้อวิสัชนาเป็นบทวินิจฉัยส่วนตัวไว้อย่างมีคุณค่ายิ่งว่า
     ๑.ในขณะที่พุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุด  แม้ในสมัยพุทธกาลเอง ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังนับถือศาสนาพราหมณ์มั่นคงอยู่ ศาสนาพราหมณ์ไม่ได้เสื่อมไปเพราะ ความเจริญของพระพุทธศาสนา
     ๒.ในสมัยหลังพุทธกาลแม้จะมีพระมหากษัตริย์  เช่นพระเจ้าอโศกมหาราชเกิดขึ้น แต่ก็คงรักษาแนวทางของพระพุทธองค์ คือไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อประกาศสัจธรรมความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ และตอบคำถามความเชื่อ ความคิดเห็นของคน และความศรัทธาที่มีของคนในครั้งนั้น และเพื่อแก้ศาสนาพราหมณ์มิใช่เพื่อทำลายศาสนาพราหมณ์ และไม่มีการใช้อำนาจทางการเมืองประกอบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาคือ มิใช่ศาสนาการเมือง จึงไม่มีการที่จะบังคับให้คนมานับถือ หรือกำจัดคนผู้ไม่นับถือ โดยมีการเมืองหนุนหลัง
     ๓.เพราะหลักการในพระพุทธศาสนาเองให้เสรีภาพแก่บุคคล มิได้มีการยุยงให้ภักดีพลีชีวิตเพื่อ พระพุทธศาสนา เช่น ศาสนาอื่น ความรู้สึกของชาวพุทธเป็นในทำนองปกป้องรักษาพระศาสนาของตน จึงไม่รุนแรงมากพอ เหมือนกับศาสนาที่เร้าเรื่องความจงรักภักดีเป็นใหญ่
     ๔.ความเสื่อมในภายในพระสงฆ์เอง ซึ่งแตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มต่างถือหมู่วิวาทกัน (ในครั้งโน้นมีการโต้วาทะระหว่างนิกายเสมอ)
     ๕.หลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว ธรรมะในพระพุทธศาสนาซึ่งเดิมแสดงแนวปฏิบัติสำหรับชีวิตๆได้ถูกบรรดาคณาจารย์นิกายต่างๆทั้งมหายานทั้งเถรวาท อรรถาธิบายทำให้เป็นของยากขึ้น ทำให้เป็นอภิปรัชญามากขึ้น สำหรับทุ่มเถียงประเทืองปัญญาตีโวหารกันมากกว่าสำหรับใช้ปฏิบัติกันจริงๆในชีวิตประจำวัน พระพุทธศาสนาจึงกลายเป็นของยากสำหรับสามัญชนทั่วไป กลายเป็นสมบัติของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งในกำแพงวัด  ชาวบ้านทั่วไปไม่ทราบพระพุทธศาสนาคืออะไร
     ๖.ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์เมื่อเห็นว่าเอาชนะพุทธศาสนาทางตรงไม่ได้ ก็ใช้ทางอ้อม คือใช้วิธีกลืนอย่างสุขุม เช่นอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตารมา ผู้ที่นับถือพุทธก็คือ ฮินดูนั่นเอง ส่วนพวกที่เป็นฮินดูอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นนับถือพุทธ เพราะนับถือพระนารายณ์อยู่แล้ว
     ๗.สถิติเรื่องนารายณ์มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้านี้ ทำให้จำนวนชาวพุทธนับวันแต่ลดน้อยลง แต่ฮินดูนับวันมีแต่เพิ่มขึ้นมาก เพียงเท่านี้ยังไม่พอ ชาวพุทธเองกลับยอมลดคุณภาพของตนไปเอาลัทธิฮินดูเข้ามาใช้ เกิดลัทธิมนตรยานขึ้นเป็นต้น ซึ่งเท่ากับว่ายอมแพ้นั่นเอง
     ๘.เมื่อพ้นสมัยคุปตะแล้ว ฝ่ายฮินดูมีนักปราชญ์เก่งๆ เกิดขึ้นหลายคน ฝ่ายพุทธไม่มีและไม่สามารถโต้วาทีชนะเขาได้ ฐานะของพระพุทธศาสนาจึงเหมือนไม้ใหญ่ที่ผุภายในแต่ยังไม่ถึงกับล้ม
     ๙.ครั้นพอทัพมุสลิมรุกมาถึง พวกนี้เหมือนพายุบ้าพัดกระหน่ำเอาต้นไม้ใหญ่ต้นนี้โค่นล้มลงไปทันที ศาสนาฮินดูก็ถูกพายุนี้เหมือนกัน แต่เหตุไฉนจึงรอดตัวอยู่ได้นั้น ก็เพราะ ปริมาณของฮินดูมีมากกว่าชาวพุทธมากนัก อิสลามจะประหารอย่างไรก็ไม่หมดเหมือนเอาถ้วยวิดน้ำในแม่น้ำให้แห้ง
     ๑๐.ประการสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ คณะสงฆ์ของฮินดูไม่จำกัดนักบวช เพราะพราหมณ์มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ความทรงจำในพระเวทมีแก่พราหมณ์ทั้งสองฝ่าย  พราหมณ์จึงถ่ายทอดความรู้ไปอยู่กับพระเพราะฉะนั้น เมื่อสถาบันสงฆ์ถูกทำลาย คือห้ามไม่ให้มีการบวชอีก ส่วนที่บวชอยู่ถูกฆ่าตายไป ความรู้ในทางศาสนาไม่มีผู้สืบต่อและหมดไปในช่วงระยะ๒-๓ชั่วคน พระพุทธศาสนาจึงสูญจากอินเดียด้วยประการฉะนี้
     ๑๑.เหตุอีกข้อหนึ่ง คือ พุทธบริษัทโดยเฉพาะคณะสงฆ์ในยุคหลังพากันทิ้งเอกลักษณ์พระพุทธศาสนา คือ เหตุผล เช่น เรื่องอริยสัจจ์ เป็นต้น แล้วไปนำเอาสี่งอื่น ซึ่งมิใช่ของพระพุทธศาสนามาแต่เดิมมาเป็นเอกลักษณ์แทน ยอมตัวโอนอ่อนเข้าหาศาสนาพราหมณ์มากจนเกินไป(เพื่อรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ของคณะสงฆ์ในครั้งนั้น)เมื่อโอนมากเข้าก็เลยเอนเข้าไปรวมกับศาสนาพราหมณ์ไปเลย เข้าทางของท่านสรีสังกราจารย์(พ.ศ.๑๓๓๑-๑๓๘๑)ซึ่งเป็นคณาจารย์คนสำคัญของพราหมณ์(ฮินดู)ผู้ที่คิดทำลายศาสนาด้วยวิธีกลืนหรือครอบคลุมโดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตารปางที่๙ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดก็กลายเป็นของพระนารายณ์ หรือของพระวิษณุไปด้วย ระยะนั้นพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหมดไปจากอินเดียนานแล้ว คงเหลืออยู่แต่นิกายมหายาน ในที่สุดก็หมดไปด้วยกัน เมื่อถูกกองทัพมุสลิมย่ำยี ซึ่งก่อนหน้านั้นก็อยู่ในสถานะไม่ดีอยู่แล้ว
     อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ปราชญ์สำคัญของพุทธศาสนามหายาน ท่านได้กล่าวสรุปไว้ท้ายสุดว่าพระพุทธศาสนาแม้จะเป็นกี่นิกายก็ตาม แต่ก็มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ วิมุติ”(ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน)คือ วิมุติสาโรมีวิมุติเป็นสาระสำคัญเหมือนกัน เช่นเดียวกันกับแม่น้ำย่อมไหลลงสู่ทะเลมหาสมุทรด้วยกันทั้งนั้น แม้ดังนั้นจึงไม่ควรว่ากันควรสามัคคีกันร่วมกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เพื่อประโยชน์สุขแก่สัตว์โลกต่อไปสิ้นกาลนานเทอญ
     จากความคิดเห็นของนักปราชญ์อินเดีย คือ ศาสตราจารย์ ดร.ลาล มณี โชศี กล่าวว่า การที่พวกพราหมณ์ประกาศรับรองพระพุทธศาสนาว่า เป็นอวตารปางหนึ่งแห่งพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นผลอันเนื่องมาแต่เจตนารมณ์ในอันที่จะดูดกลืนพระพุทธศาสนานี้เอง หลังจากที่คณะภิกษุสงฆ์ซึ่งรวมทั้งระบบสังฆารามได้สูญสลายไปแล้ว พระพุทธศาสนาในอินเดียก็สิ้นสุดภาวะแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างต่างหากในฐานะเป็นอีกศาสนาหนึ่งแต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นลัทธิหรือปรัชญา พระพุทธศาสนามิได้สูญหายไปใหนเลย พระพุทธศาสนายังคงซึมซาบอยู่ในมวลมหาชนทุกชั้นของอินเดีย แต่ทว่าอยู่ในสภาพที่ถูกดูดกลืนและผสมผสานอย่างเบ็ดเสร็จในศาสนาเก่าก่อนแล้วเท่านั้นเอง แม้ศาสนาเก่าก่อน คือ ศาสนาพระเวท(ศาสนาพราหมณ์) นั้นก็หาได้คงอยู่ในสภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นเดิมไม่ หากแต่ได้แปรรูปไปเป็นอย่างที่เรียกกันทั่วไปว่า ศาสนาฮินดู อันเป็นสิ่งผสมผสานที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธศาสนาก็เป็นธาตุมูลส่วนหนึ่งอันจะแบ่งแยกออกมิได้เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมพระเวท[2]
     ข.)มุมมองนักปราชญ์ต่างประเทศ
     จากการเรียบเรียงและวิเคราะห์จากหนังสือ ๓ เล่ม คือ
เล่มที่๑ ภารเต เมน เพาทฺธ ธรฺม กา อุตถาน เอาร ปตน”(ภาษาฮินดี) โดย มหาปัณฑิต ราหุล สางกริตฺยายน
เล่มที่๒ “How India Lost Buddhism?” By Bhadanta Dr. Ananda Kausalyayana
เล่มที่๓ “The Rise and Fall of Buddhism in India” By Dr.Nalinakaha Dutt
     ซึ่งคุณกรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ อโศกมหาราชและข้อเขียนคนละเรื่องเดียวกันมี๔ ประการใหญ่ๆ คือ
๑.      การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์
     ซึ่งในช่วงแรกๆในการก่อตั้งสงฆ์โดยพุทธานุมัตินั้น สงฆ์ได้บำเพ็ญกรณียกิจในฐานะผู้ให้การศึกษา ฝึกอบรมศีลธรรมและพัฒนาจิตวิญญาณแก่ประชาชนเป็นอย่างดี แต่ในกาลต่อมาอุดมการณ์ด้านนี้ของสงฆ์ได้เลือนรางจางหายไป พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียศาสนาเดียว ที่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัตรปฏิบัติทางสังคม พุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเป็นกิจจะลักษณะในเรื่องเกี่ยวกับการเกิด การตาย การแต่งงาน พุทธศาสนาให้เสรีภาพในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งความใจกว้างและการให้เสรีภาพแก่ศาสนิกเช่นนี้ ในระยะแรกแห่งการก่อตั้งและเผยแผ่นี้ จะเป็นผลดี แต่ในกาลไกลแล้วเป็นโทษมากกว่าคุณ เพราะทำให้วัตรปฏิบัติของศาสนิกหย่อนยานเปิดโอกาสให้ผู้มีทัศนะและความเชื่อถือแปลกแยกเข้าไปปะปนและบ่อนทำลายเอกภาพได้
๒.    การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางสังคมของพุทธศาสนา
     ซึ่งการวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในระยะแรกๆเป็นผลดีแต่เมื่อไม่มีพระพุทธองค์และสานุศิษย์ที่มีปรีชาญาณเป็นผู้นำและให้แสงสว่าง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธีกรรมเก่าๆของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาลก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
๓.     ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของสงฆ์
     สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมอิทธิพลน่าจะได้แก่ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของบุคคลที่เข้ามาเป็นสมาชิกในคณะภิกษุสงฆ์ เพราะตราบใดที่คณะสงฆ์มีสมาชิกที่มีความรู้ สามารถเป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ปวงชน ตราบนั้นพุทธศาสนาก็สูงส่ง มีพระราชามหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนคนธรรมดาประกาศตนเป็นสมาชิกมากมาย แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไม่นาน ก็ปรากฏตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าได้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นทั้งในระดับภูมิปัญญาและในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ จนต้องมีการสังคายนากันเป็นระยะตลอดมา ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที(ศาสตรฺถ)กันในเรื่องของศาสนาในที่สาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลเหนือความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น ผู้พิชิตปราชญ์ฝ่ายพุทธ ซึ่งรวมถึง การที่พราหมณ์หรือฮินดูกล่าวอ้างหรือตู่เอาว่า พระพุทธเจ้าเป็น อวตารปางที่๙ ของพระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นด้วย
๔.     ชาวพุทธถูกรุกรานประหัตประหาร
     ภิกษุสงฆ์ได้ถูกฆ่าและถูกทำร้ายเป็นจำนวนมากโดยพวกมุสลิม(อิสลาม)ในศตวรรษที่๑๒ ทำให้พระภิกษุที่เหลือต้องหนีไปอยู่ในประเทศต่างๆเช่นทิเบตและประเทศอื่นๆนอกอินเดีย เมื่อไม่มีพระภิกษุสงฆ์เหลืออยู่ ทั้งโบสถ์และวิหารก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น จิตใจของพวกฆราวาสพุทธมามกะจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ ผลก็คือพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ได้สวามิภักดิ์ต่อพราหมณ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันทางเลือดเนื้อและวัฒนธรรมอยู่แล้ว พวกที่เหลือก็หันไปนับถือหรือถูกบังคับให้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีอำนาจทางการเมืองในขณะนั้น
      
    การปรับเปลี่ยนท่าทีเรื่องเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
      จากการศึกษาและสืบค้นประวัติของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู จากคัมภีร์พระเวทอันเป็นคัมภีร์ดั้งเดิมและโดยเฉพาะฤคเวท ก็เห็นได้ชัดว่าศาสนานี้กล่าวถึงเทพเจ้าผู้สร้างโลกไว้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียว แต่ในชั้นต่อๆมาก็มีเทพเจ้าองค์อื่นๆเกิดขึ้นอีกมากมายจนนับไม่ได้แต่ก็มีหลักใหญ่อยู่ ๓ ประการ ตามหลักการ สร้างสรรค์ ถนอมรักษา และทำลายล้างคือพระพรหมเป็นผู้สร้าง พระนารายณ์หรือวิษณุเป็นผู้ถนอมรักษา ส่วนพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นผู้ทำลายล้าง
    ทฤษฎีเรื่องพระนารายณ์และพระอิศวรของศาสนาพราหมณ์ มามีขึ้นภายหลังพุทธกาล เมื่อตรวจสอบดูในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ามีเทวดาของสาสนาพราหมณ์ดังต่อไปนี้
     ๑.พระอินทร์ ๒.พระโสมะ ๓.พระวรุณ ๔.พระอิสาน ๕.พระประชาบดี ๖.พระพรหม
๗.พระมหินทร์ เทพทั้ง๗ องค์นี้เป็นที่ตั้งแห่งการอ้อนวอนบวงสรวงของพราหมณ์ ทั้งนี้ตามข้อความในเตวิชชสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม๙ หน้า๓๐๕
     มอร์เนียร์ วิลเลียมส์ ผู้แต่งหนังสือเรื่องศาสนาฮินดู(Hinduism) กล่าวถึงศาสนาพราหมณ์อันแตกแยกออกมาเป็นศาสนาฮินดู โดยชี้ไปถึงการขยายตัวเรื่องเทพเจ้าเป็นสำคัญประการหนึ่ง คือเดิมมีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงองค์เดียว ต่อมาได้ขยายตัวออกเป็นสาม ที่เรียกตัว
 “ตรีมูรฺติ”(Triple Manifestation)ตามหลักการสร้าง ถนอมรักษาและทำลาย
     กาลิทาส กวีเอกของอินเดีย ได้บรรยายถึงพระเป็นเจ้าทั้ง๓ ไว้ในเรื่อง กุมารสมภพ โดยใจความว่าพระเป็นเจ้าทั้ง๓ องค์คือ พระศิวะ พระวิษณุและพรหมนั้น ทุกองค์อาจอยู่ในลำดับที่๑ ที่๒ และที่๓ ไม่มีพระองค์ใดอยู่ประจำลำดับคือใหญ่เท่ากัน อาจเป็นที่๑ ได้ด้วยกัน และอาจเป็นที่๒ที่๓ ได้ด้วยกัน
     ศาสนาพราหมณ์รุ่นหลัง ที่กลายเป็นศาสนาฮินดูไปนี้ได้พัฒนาความคิดเรื่องเทพเจ้ามากขึ้นโดยลำดับจาก๑ องค์เป็น๓ องค์ และจาก๓ องค์เป็นมากมายนับไม่ถ้วน แม้พระเป็นเจ้าทั้ง๓ องค์นั้นเองก็เกิดมี ศักติคือ มเหสีขึ้นอีก พระพรหมมีมเหสีชื่อ สรัสวดีพระนารายณ์มีมเหสีชื่อ ลักษมีและพระศิวะมีมเหสีชื่อ อุมาโดยเฉพาะพระนางอุมานั้นมีปางต่างๆกัน เช่น กาลี ชคันมาตรีโยคินี ทุรคาหรือไภรวีทุรคา ปารวตี เป็นต้น
     ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้เลยว่าศาสนาพราหมณ์มีเทพเจ้า คือพระพรหมเป็นผู้สร้างองค์เดียว ต่อมาได้ขยายเพิ่มขึ้นอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่มาถึงรุ่นหลังพุทธกาล ตอนที่ศาสนาพราหมณ์กลายเป็นฮินดู  ไปนั้นได้มีลัทธิ ตรีมูรติหรือ พระเป็นเจ้าทั้ง๓เกิดขึ้น
                        จากการวิจัยนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารโดยเฉพาะคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาและตำราอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งของพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูซึ่งยังไม่มากพอ อาจทำให้ได้ข้อมูลและหลักฐานยืนยันยังไม่เพียงพอ ผู้วิจัยจึงอยากจะแนะนำให้ผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจอยากจะทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม โดยให้ทำการศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์และตำราทั้งของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูกับพระพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ ซึ่งจะเป็นการดีมากถ้าหากได้สัมภาษณ์พระอริยเจ้าผู้มีอภิญญาญาณ ผู้ที่สามารถหยั่งรู้อดีตและอนาคตได้ กับทั้งนักปราชญ์หรือพราหมณ์ตลอดจนนักปกครองของชาวศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ก็จะทำให้การศึกษาและวิจัยนี้สมบูรณ์และน่าเชื่อถือมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ผู้วิจัยมีความเห็นและอยากแนะนำให้เผยแพร่และมีการเรียนการสอนในเรื่อง อวตารและ สาเหตุที่พระพุทธศาสนาได้สูญหายไปจากอินเดียทั้งๆที่เป็นดินแดนให้กำเนิดพระพุทธศาสนาแท้ๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในดินแดนหรือประเทศอื่นๆที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้ตลอดจนเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่โลกตราบนานเท่านานต่อไป

ตั้งข้อสังเกต :
๑.      สัจธรรมความจริงที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ๔ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน และเมื่อพระองค์ประกาศและโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย(ส่วนมากเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหม)ให้ปฏิบัติตาม ซึ่งคนที่ปฏิบัติตาม(แนวทางของพระพุทธศาสนา หรือ อริยมรรคมีองค์๘”)ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ก็สามารถแก้ปัญหาและหมดทุกข์ได้จริง จนสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเข้าสู่ พระนิพพานได้จริง (ศาสนาพราหมณ์เรียกพระนิพพาน ว่า โมกษะ หรือ โมกขษะ แต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติจนบรรลุได้นั้นว่าต้องทำอย่างไร? ต้องทำตามพระพุทธองค์สั่งสอนเท่านั้น จึงจะบรรลุได้) จึงมีความพยายามลอกเลียนแบบ(ลอกเลียนแล้วพัฒนา Copy & Development)แล้วสถาปนาว่าเป็นของตนเองอย่างแนบเนียน เพราะกลัวเสียฟอร์มและระบบชนชั้นวรรณะ(วรรณะ๔)ของอินเดียตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์นั้นเข้มแข็งละรุนแรงมาก คือ กษัตริย์” “พราหมณ์” “แพศย์และ ศูทรอย่างเด่นชัดและเป็นกฏเหล็กที่ทุกคนในศาสนานี้ต้องทำตาม หากมีการข้ามวรรณะก็จะเป็นชนชั้น จัณฑาลซึ่งตกต่ำเลวร้ายน่ารังเกียจไม่น่าคบหาอีกต่างหาก แต่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ทั้งๆที่พระองค์เป็นกษัตริย์จาก ศากยวงศ์ที่ถือว่าประเสริฐและสะอาดบริสุทธิ์มาก และได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงสุดในยุคนั้น แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้และประกาศสัจธรรมว่า คนจะดีและประเสริฐอยู่ที่การกระทำ ซึ่งใครก็ตามที่เป็นคนที่คิดดี ทำดี พูดดีคือคนดีเป็นคนประเสริฐ ส่วนคนที่คิดชั่ว พูดชั่ว และทำชั่ว ก็คือคนชั่วนั้นเอง ไม่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนชั้นในเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ซึ่งจุดนี้พวกกษัตริย์และพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้บริหารอินเดียอยู่ในยุคนั้นยอมไม่ได้เด็ดขาด ต่างก็พยายามหาทางแก้ไขและกลับมามีบทบาทอยู่ตลอดเวลา แต่สู้สัจธรรมความจริงที่พระพุทธองค์สั่งสอนไว้ไม่ได้ จึงได้แต่ลอกเลียนแบบและพยายามกลืนกินอย่างแนบเนียน และเมื่อสบโอกาสที่พุทธบริษัททั้ง๔(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา)อ่อนแอ ประจวบเหมาะกับมุสลิมเข้ามาบุกยึดทำลายและครอบครองอินเดีย ก็เลยทำให้พระพุทธศาสนาหายไปจากอินเดียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่๑๗ นั้นเอง
๒.    สัจธรรมความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และประกาศสั่งสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตาม กฎไตรลักษณ์หรือ สามัญลักษณะคือ อนิจจัง” “ทุกขังและ อนัตตายกเว้น! พระนิพพานเท่านั้นที่ไม่เป็นไปตามกฎนี้ ซึ่งเราทั้งหลายรู้กันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น” “ตั้งอยู่และ ดับไปนั้นเอง ศาสนาที่มีเทพเจ้าและนับถือเทพเจ้าก็เลยได้นำไปสถาปนาและมีหน้าที่ให้กับเทพเจ้าของตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ คือ พระพรหมทำหน้าสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น พระนารายณ์หรือพระวิษณุนั้นมีหน้าที่รักษาหรือทำให้ตั้งอยู่หรือคงอยู่ ส่วนพระศิวะหรือพระอิศวรนั้นมีหน้าที่ทำลาย ซึ่งกลมกลืนกับ กฎไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ค้นพบและโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์นั้นเอง
๓.     เราทุกคนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งมีดวงจิตดวงดวงวิญญาณเหมือนกัน สามารถที่จะตั้งจิตตั้งสัจอธิษฐานที่จะทำคุณงามความดีเป็น พระโพธิสัตว์สร้างสมบุญบารมีให้เพรียบพร้อมและถึงพร้อมทั้ง๑๐ ประการ(บารมี๑๐) เป็น บารมี๓๐ ทัศแล้วก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลก็ได้ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งๆที่เราก็ไม่ใช่พระนารายณ์หรือเป็นอวตารของพระนารายณ์แต่อย่างใด
๔.     ทุกวันนี้มนุษย์ชาวโลกหันมาศึกษาและนับถือในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์กันมากขึ้น ทั้งที่ยอมรับและไม่ยอมรับว่าเป็นชาวพุทธหรือพุทธศาสนิกชน เพราะพระธรรมคำสั่งสอนและวิธีปฏิบัติที่พระองค์ได้บัญญัติและตรัสสอนไว้นั้น เป็นความจริงคือเมื่อปฏิบัติตามด้วยความเลื่อมใสศรัทธาก็จะเห็นผลตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แล้วนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เป็นศาสนาของ ปัญญาเป็นศาสนาของ ธรรมชาติดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงเพิ่มปริมาณและพื้นที่ต่างๆในโลกของเรามากขึ้นๆ และแม้แต่ในประเทศอินเดียในขณะนี้ก็ตาม โดยเฉพาะฝรั่งผิวเขาที่โดยพื้นฐานความคิดส่วนใหญ่เปิดยอมรับเหตุผล และพยายามพิสูจน์แล้วก็พบกับความจริงว่า ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นไม่ใช่วัตถุแต่เป็นจิตใจและการหมดปัญหาหรือดับทุกข์ได้จริงๆเท่านั้นที่ทุกดวงจิตแสวงหาและต้องการไม่ใช่วัตถุแต่อย่างใด
พุทธสูญสิ้นในอินเดีย

ด้วยจิตน้อมระลึกถึงคุณ พระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์
ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานเขียน  โดย ท่านพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
ซึ่งท่านได้กล่าวถึง  " เหตุให้พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย"
ไว้อย่างน่าฟัง และเป็นประโยชน์ในการน้อมรับมาพิจารณาอย่างยิ่ง
อนึ่ง  หากมีความผิดพลาดประการใด
ผู้คัดลอก ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
เหตุให้พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย

" ข้อที่ควรจะกล่าวในที่นี้สักหน่อย  เป็นคติในทางธรรม ก็คือ  เรื่องพระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากอินเดีย
ควรกล่าวถึงเหตุทั้งหลายที่ให้พุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไปจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชัดเจน  เมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐
     ๑. เหตุอันแรกที่เราเห็นได้  พูดง่าย ๆ ว่าชาวพุทธเราใจกว้าง  แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย
นี่ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปเพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นนั้น
ก็สอนแต่เพียงหลักธรรมเป็นกลาง ๆให้คนประพฤติดี   ทำความดี  จะนับถือหรือไม่นับถือก็ไม่ได้ว่าอะไร
ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไปสู่คติที่ดีหมด ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นชาวพุทธจึงจะไปสวรรค์ได้ หรือว่า ชาวพุทธที่มานับถือแล้วทำตัวไม่ดีก็ไปนรกเหมือนกัน อะไรทำนองนี้
     เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่  เช่น  อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ครองแผ่นดินก็อุปถัมภ์ ทุกศาสนาเหมือนกันหมด แต่ผู้ที่ได้รับอุปถัมภ์เขาไม่ได้ใจกว้างตามด้วย เพราะฉะนั้น  พวกอำมาตย์พราหมณ์ของราชวงศ์อโศกเอง ก็เป็นผู้กำจัดราชวงศ์อโศก จะเห็นว่าอำมาตย์ที่ชื่อ "ปุษยมิตร" ก็ได้ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นหลานของพระเจ้าอโศก แล้วตั้งชื่อราชวงศ์ใหม่ที่กำจัดชาวพุทธ อย่างที่เล่าเมื่อกี้
แต่ก็กำจัดไม่เสร็จสิ้น มีมาเรื่อย จนกระทั่งถึง "พระเจ้าหรรษวรรธนะ" ครองราชย์   
อำมาตย์ที่เป็นฮินดูก็กำจัดพระองค์เสียอีก ก็เป็นมาอย่างนี้ จนในที่สุด มุสลิมก็เข้ามาบุกกำจัดเรียบไปเลย
เมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐ นี้  ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่เห็นได้ง่าย
    ยังมีเหตุอื่นอีก  ชาวพุทธเองก็เป็นเหตุด้วย อย่าไปว่าแต่คนอื่นเขา
ใจกว้างจนลืมหลัก  เสียหลักจนถูกกลืน**

    ในด้านหนึ่ง  ความใจกว้างของชาวพุทธนั้น
บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนกลายเป็นใจกว้างลืมหลัก
หรือใจกว้างอย่างไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้
กว้างไปกว้างมาเลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขา
จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย
ที่หายไปให้เห็นอย่างชัดเจน  ก็คือ
ไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดู  ตอนที่มุสลิมยังไม่เข้ามา
ศาสนาพุทธเราก็อ่อนมากแล้ว
เพราะไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดูมาก
ปล่อยให้ความเชื่อถือของฮินดูเข้ามาปะปน
อย่างในถ้ำอชันตานั้น  เป็นที่แสดงประวัติพุทธศาสนา
ได้อย่างดี
จะเห็นได้ตั้งแต่เจริญจนถึงเสื่อม 
ตอนต้นจะเห็นว่าเดิมก็บริสุทธิ์ดี เป็นพุทธศาสนาเถรวาท
ต่อมาก็กลายเป็นมหายาน  มีคติความเชื่อของทางฮินดูเข้ามา
ปะปนมากขึ้น  ผลที่สุดพุทธหมด  จะเห็นได้ที่เอลโลร่า
ผลที่สุดเหลือแต่ถ้ำฮินดู  ถ้ำพุทธถูกกลืนหมด
     เพราะฉะนั้น  ก็เป็นคติสอนใจอันหนึ่งที่ว่าใจกว้างจนลืมหลัก
ไม่ยืนรักษาหลักของตัวเองไว้  กลมกลืนจนกระทั่งตัวเองสูญหายไป
    ในความใจกว้างและกลมกลืนนั้น 
มีเรื่องหนึ่งที่น่าจะกล่าวไว้  คือ
ลักษณะการกลมกลืนกับศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดูนั้น  มีลักษณะสำคัญ  คือ
การเชื่อเรื่องฤทธิ์  เรื่องปาฏิหาริย์
เรื่องการดลบันดาลของเทพเจ้า 
ตอนที่คณะเดินทาง  โยมจะได้ยินท่านพระครูทวี
เล่าถึงนิทานของฮินดูมากมาย
มีแต่เรื่องเทพเจ้าองค์นั้นมีฤทธิ์อย่างนั้น
ดลบันดาลอย่างนั้น สาปกันอย่างนั้น
เอาฤทธิ์มาใช้ทำลายกันต่าง ๆ
โดยมากเป็นเรื่องของโลภะ  โทสะ  โมหะ
พุทธศาสนาในยุคหลังก็ทำให้คนไปหวังพึ่งเรื่องฤทธิ์
เรื่องเทพเจ้าอะไรต่ออะไรมากขึ้น จนลืมหลักของตัวเอง
๒. ในทางพุทธศาสนานั้นจะเห็นว่า
พระพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
ในบรรดาปาฏิหาริย์ ๓  แต่ต้องยืนหลักไว้เสมอว่า
ปาฏิหาริย์ที่สำคัญที่สุด  คือ  อนุศาสนีปาฏิหาริย์*
ปาฏิหาริย์ที่เป็นหลักคำสอน
ไม่ใช่ ปาฏิหาริย์ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
ในทางพุทธศาสนาให้ถือการกระทำของเราเป็นหลัก
ส่วนฤทธิ์ หรือ เทพเจ้านั้น จะมาเป็นตัวประกอบ
หรือช่วยเสริมการกระทำของเรา
จะต้องเอาการกระทำของตัวเองเป็นหลักเสียก่อน
ถ้าหากว่าเราไม่เอาการกระทำ หรือ กรรมเป็นหลัก
เราก็จะไปหวังพึ่งการดลบันดาลของเทพเจ้า
หวังพึ่งฤทธิ์ของผู้อื่น มาทำให้  ไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง
ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ควมเสื่อมไป
    จุดที่เสื่อม ก็คือ  ตอนที่ชาวพุทธลืมหลักธรรม
ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก
ไปหวังพึ่งเทพเจ้า  ไปหวังพึ่งฤทธิ์  พึ่งปาฏิหาริย์
ตราบใดที่เรายืนหลักได้  คือ 
เอากรรม เอาการกระทำ เป็นหลักแล้ว
ถ้าจะไปนับถือฤทธิ์ปาฏิหาริย์บ้าง
ฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น ก็มาประกอบมาเสริมการกระทำ
ก็ยังพอยอม
แต่ถ้าใครใจแข็งพอก็ไม่ต้องพึ่งฤทธิ์  ไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์
อะไรทั้งสิ้น  เพราะพุทธศาสนานั้น
ถ้าเราเอากรรม หรือ การกระทำเป็นหลักแล้ว 
ก็จะยืนหยัดอยู่ได้เสมอ..

**เฉยมิใช่ไร้กิเลส  แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น**

   ๓. อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวัง  คือ
พอมีภัย หรือ เรื่องกระทบกระเทือนส่วนรวม
ชาวพุทธไม่น้อยมีลักษณะที่วางเฉย
ไม่เอาเรื่อง  แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไป
เห็นว่าใครไม่เอาเรื่องเอาราว
มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉย ๆ ไม่เอาเรื่อง  กลายเป็นดี 
ไม่มีกิเลส  เห็นอย่างนี้ไปก็มี
ในทางตรงข้าม  ถ้าไปยุ่งก็แสดงว่ามีกิเลส
อันนี้  อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว
และจะกลายเป็นเหยื่อเขา
ในทางพุทธศาสนานั้น  ผู้ไม่มีกิเลสท่านยุ่งกับเรื่องที่
กระทบกระเทือนกิจการส่วนรวม
แต่ การยุ่งของท่านมีลักษณะที่ไม่เป็นไปด้วยกิเลส
คือ ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเป็นคติไว้แล้ว
ตั้งแต่สมัยพุทธกาล..
     กิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่จะต้องร่วมกันพิจารณาเอาใจใส่
นี้ เป็นคติทางพุทธศาสนา
แต่ในบางยุค บางสมัยเราไปถือว่าไม่เอาธุระ
จะมีเรื่องราวกระทบกระเทือน 
มีภัยเกิดกับส่วนรวมก็ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรต่างๆ
แล้วเห็นเป็นว่าไม่มีกิเลสไปก็มี
อย่างนี้เป็นทางหนึ่งของความเสื่อมในพระพุทธศาสนา
    คติที่ถูกต้องนั้น  สอดคล้องกับหลักความจริงที่ว่า
พระอรหันต์ หรือ ท่านผู้หมดกิเลสนั้น
เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว
หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเองแล้ว
จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่างเต็มที่
**************
**โจรเข้ามาปล้นศาสน์  เลยยกวัดให้แก่โจร**

    ๔. อีกอย่างหนึ่ง คือ  การฝากศาสนาไว้กับพระ
ชาวพุทธจำนวนมากทีเดียว ชอบฝากศาสนา
ไว้กับ พระ อย่างเดียว  แทนที่จะถือตามคติของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า " พระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัททั้ง ๔ คือ
ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา
ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง  แต่จะต้องช่วยกัน"
    ทีนี้  พวกเรามักจะมองว่า พระศาสนาเป็นเรื่องของพระ
บางทีเมื่อมีพระประพฤติไม่ดี  ชาวบ้านบางคนบอกว่า
ไม่อยากนับถือแล้วพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี
แทนที่จะเห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของเรา
พระองค์นี้ประพฤติไม่ดี  เราต้องช่วยกันแก้
ต้องเอาออกไป  แทนที่จะคิดอย่างนั้น
กลับกลายเป็นว่าเรายกศาสนาให้พระองค์นั้น
เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา
แทนที่จะรักษาทรัพย์สมบัติของเรา
กลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย
พระ องค์ที่ไม่ดีก็เลยดีใจ กลายเป็นเจ้าของศาสนา
เรายกให้แล้ว  บอกไม่เอาแล้วศาสนานี้  เป็นอย่างนี้ก็มี
นี่เป็นทัศนคติที่ผิด 
ชาวพุทธเราทั่วไปไม่น้อย มีความคิดแบบนี้
ทำเหมือนกับว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระ
เราก็ไม่ต้องรู้ด้วย



****เหตุให้พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย****
1.ใจกว้างจนลืมหลัก  เสียหลักจนถูกกลืน
2.คลาดหลักธรรม  ไปคลำหาฤทธิ์
สรุป
อย่าเสียแนวหลักธรรม อย่ามัวคลำหาฤทธิ์
                                            


  ความเห็นของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
เหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมไปหมด เพราะ
1. ในขณะที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุด แม้ในสมัยพุทธกาลเองประชาชนชาวอินเดียก็นับถือ ศาสนาพราหมณ์มั่นคงอยู่ ศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เสื่อมไป
2. ในสมัยหลังพุทธกาล แม้จะมีกษัตริย์ที่เป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียนศาสนาอื่น ๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการล้มล้างศาสนาพราหมณ์ หรือการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อฝังรากศาสนาลงในใจของประชาชนทั้งหมด
แตกต่างจากศาสนาคริสเตียน หรือศาสนาอิสลาม แผ่ไปถึงไหนก็ใช้อำนาจครอบงำบังคับให้วัฒนธรรมเดิมถูกถอนรากถอนโคนออก แล้วบังคับให้นับถือศาสนาของตนแทน
ส่วนพระพุทธศาสนาที่แผ่ไปถึงไหน ก็อะลุ้มอะล่วยปรองดองกับศาสนาถิ่นเดิม เกลือกกลั้วผสมผสานกันได้
3. หลักการในพระพุทธศาสนาให้เสรีภาพแก่บุคคล มิได้มีการเรียกร้องความภักดีพลีชีวิตเพื่อศาสนา
ของตน ดังเช่นศาสนาอื่น ๆ ความรู้สึกของชาวพุทธในเรื่องการป้องกันรักษาพระศาสนาของตน จึงมิได้รุนแรง ไม่มากพอเหมือนศาสนาที่รบเร้าเรื่องความภักดีเป็นใหญ่
4. ความเสื่อมภายในคณะสงฆ์เอง มีการแตกแยกออก เป็นหลายหมู่หลายเหล่า ต่างถือพวกถือหมู่วิวาทกัน
5. พระสัทธรรมดั้งเดิมได้ถูกบรรดาคณาจารย์ของนิกายต่าง ๆ ทั้งมหายาน และหินยาน
อรรถาธิบายทำให้เป็นของยากขึ้น ทำให้เป็นอภิปรัชญามากขึ้น สำหรับการโต้เถียงประเทืองปัญญาตีโวหารกัน มากกว่าใช้สำหรับปฏิบัติกันจริง ๆ ในชีวิต
พุทธศาสนาจึงกลายเป็นของยากสำหรับสามัญชนไป กลายเป็นสมบัติของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งในกำแพงวัดเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร?

วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา มีอยู่เฉพาะแต่ภายในวัดทั้งหลายเท่านั้น ไม่ได้มีปฏิบัติการเกี่ยวกับฆราวาสเลย และเมื่อวัดเหล่านี้ถูกรุกรานทำลาย หรือขาดราชูปถัมภ์ ก็ถูกทอดทิ้งให้เสื่อมโทรมไป แล้วพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมไปด้วย
6. ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์เห็นว่าจะเอาชนะพวกพุทธโดยตรงไม่ได้ ก็ใช้วิธีกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธก็คือนับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้นในขณะที่พุทธมีน้อยลง
7. ชาวพุทธเองกลับยอมลดคุณภาพของตน โดยไปเอาลัทธิฮินดูเข้ามาปฏิบัติ เกิดเป็นลัทธิมนตรยาน เป็นต้น เท่ากับเป็นการยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง
8. เมื่อพ้นสมัยคุปตะแล้ว ฝ่ายฮินดูมีนักปราชญ์เก่ง ๆ เกิดขึ้นหลายคนฝ่ายพุทธไม่สามารถโต้วาทีชนะได้ ฐานะของพุทธจึงตกต่ำลงมาก
9. ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุกราน ได้ทำลายล้างทั้งชีวิต และทรัพย์สินอย่างบ้าเลือดป่าเถื่อน จนไม่มีใครต้านทานได้ ต้องหลบหนีออกจากอินเดียไปจนหมด
10. พวกพราหมณ์มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เป็นผู้รับถ่ายทอดความรู้ทางพระเวท จึงสามารถสืบต่อกันไปได้นาน ส่วนพระพุทธศาสนาความรู้ทั้งหมดไปอยู่กับพระภิกษุเท่านั้น เมื่อสถาบันสงฆ์ถูกทำลาย เช่น ถูกห้ามไม่ให้บวช ถูกฆ่าตาย ความรู้ในทางศาสนาจึงไม่มีผู้สืบต่อ และหมดสิ้นลงในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วคน

เหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย

พุทธบริษัททั้งหลายคงจะต้องหาทางป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมสูญไปจากประเทศต่าง ๆ และต้องสืบต่อพระสัจธรรมที่แท้จริง โดยเพียรพยายามทำตนให้ได้รับคุณวิเศษบรรลุมรรคผลนิพพาน ตามครรลองแห่งพระสัทธรรมที่แท้จริงที่สามารถดับทุกข์ได้จริง ตามกฏแห่งอริยสัจสี่ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาสของปัญญาจากผู้ใด เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อมสูญไป จากโลกนี้โดยเด็ดขาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น