เรื่องการทําบุญ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)
เรื่องบุญก็ตองเขาใจกันใหชัด “บุญ” คือ สิ่งที่ชําระลางบาปทุจริต ทําจิตใจใหสะอาดผองใส และเฟองฟูเจริญงอกงามขึ้นในความดีงามที่สูงขึ้นไปทาน คือ การใหการบริจาคที่วาเป็น บุญ นั้น ก็เพราะมันกําจัดความเห็นแก ตัวของเรา ชวยทําให สังคมมนุษย
เผื่อแผชวยเหลือกัน จะไดไมตองแยงชิงเบียดเบียนกัน มีปจจัย ๔ พออยูอาศัยได แลวจะไดกาวขึ้นไปทําความดีงามสรางความเจริญอื่นๆที่สูงขึ้นไป
ตลอดจนเปนเครื่องสนับสนุนใหพระสงฆมีกําลังที่จะทําหนาที่ของทานในการศึกษา
ปฏิบัติ และสั่งสอนประชาชนใหทําความดีและมี ปญญายิ่งขึ้น โดยที่ทานไม ตองมัวหวงกังวลในดานวัตถุบุญไมใชแคทานเทานั้น ยังมีบุญอยางอื่นอีกมากมาย เชนความเชื่อหรือศรัทธาที่มีเหตุผล ไมหลงงมงาย ความมีใจเมตตาอยากจะชวยเหลือเพื่อนมนุษย การเอาใจใสคิดจะปดเปาทุกขภัยแก ผูเดือดรอนหรือยากไร ความมุงมั่นเพียรพยายามทําความดีความมีสติ
ที่จะดําเนินชีวิตโดยไม ฟุงเฟอลุมหลงมัวเมา เปนอยูดวยความไมประมาท การมีปญญาและแสวงหาความรู ที่จะทําชีวิตให ดีงามและสรางสรรค ประโยชน
สุขที่ แท จริงให แก
สังคมเปนตนบุญอยางนี้ สูงยิ่งกวาทานขึ้นไปอีก และเปนบุญที่สังคมของเรากําลังตองการอยางมาก เพื่อชวยใหชีวิตและสังคมดีงามมีความสุขที่แทจริงทาน การบริจาค จะมีความหมายเปนบุญแทจริง ก็เพราะเปนตัวหนุนให คนกาวไปในบุญที่สูงขึ้นไปนี้ หรือมีบุญอยางสูงเหลานี้มาตอใหกาวสูงขึ้นไป
เรื่องสิ่งกอสรางใหญโต
เรื่องการกอสรางสิ่งใหญโตก็เปนเรื่องที่ ตองระวังใหมากตองจับหลักใหไดกอนวาอะไรเปนตัวงานพระศาสนาที่แท เมื่อจับตัวงานหลักไดแลว เรื่องอื่นๆ ก็เอามาสนองงานหลักนั้นงานหลักของพระพุทธศาสนา ก็คือ ไตรสิกขา หรือการศึกษาฝกหัดพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ และปญญาใหเจริญงอกงามดียิ่งขึ้นไตรสิกขาเปนงานของชีวิต เปนหนาที่ ของทุกคน โดยเฉพาะพระสงฆที่ จะตองฝกอบรมพัฒนาตนเอง และชวยแนะนําสั่งสอนใหประชาชนพัฒนาตัวเขาขึ้นไป จึงมีงานการศึกษา
ปฏิบัติ และเผยแผธรรมเปนศาสนกิจสวนการสรางอาคารเปนตน ก็เพราะความจําเปนในการใชงานเพื่อมาสนองงานศึกษา
ปฏิบัติ และเผยแผสั่งสอนธรรมนี้ จึงมีหลักปฏิบัติวา นอกจากดูกําลังทรัพย เปนตนแลว ควรสรางตามความจําเปนในการใชงาน เพื่อสนองงาน ใหคุณคามาอยูที่ตัวงานแหงไตรสิกขานั้น
ไมใชใหคุณคาเขวไปอยูที่สิ่งกอสราง แมคุณคาทางศิลปะเปนตน ก็ตองมาเปนเครื่องหนุนตัวงานหลักนั้น ถาจับตัวหลักนี้ไมได ไมนานก็จะเพี้ยนกันไปหมดส
วนการกอสรางสิ่งใหญ
โตสวยงามในความหมายทํานองเปนอนุสรณสถาน ก็มีคติไวชวยตรวจสอบดังนี้
๑. ควรจะเกิดจากการรวมใจ และพรอมใจกันของชาวพุทธทั่วกันหมดทั้งโลก
หรือทั้งประเทศ แลวเลือกสรางไวในที่เดียวจะไดเปนศูนยกลางจริงๆ ถาไมอยางนั้น ใครมีกําลังก็สรางขึ้นมาตอไปก็จะมีการสรางแขงกัน ที่โนน ที่นี่ แลวก็เปนของพวกนั้นของพวกนี้ ฝายโนน ฝายนี้ แทนที่จะเปนศูนยรวมใหเกิดความสามัคคีก็กลับกอความแตกแยก แทนที่จะมาหนุนความสําคัญของพระศาสนาเปนสวนรวม ก็จะเปนการเสริมความยิ่งใหญของบุคคลหรือของหมูพวกไป
๒. การสรางวัตถุ ไมตองพูดถึงที่ใหญโต แมแตที่ใชงานสนองหลักไตรสิกขาทั่วๆ ไป คติชาวพุทธแตเดิม ถือเปนเรื่องของคฤหัสถคือญาติ โยมชาวบานที่จะเป นธุระจัดทํา เพราะจัดเปนปจจัย ๔ขอที่ ๓ (เสนาสนะ) เพื่อมาหนุนใหพระมีกําลังทํางานศึกษา-ปฏิบัติ-เผยแผธรรมใหไดผลดียิ่งขึ้น โดยไมตองหวงกังวลดานวัตถุยิ่งของใหญ
โตดวยแลว ก็ควรจะเปนเครื่องแสดงศรัทธาโดยใหเปนความดําริ
ริ เริ่มและเปนภาระของพุทธบริ ษั ทฝ ายคฤหัสถที่จะทําขึ้น เพราะเห็นคุณคาของพระรัตนตรัยที่เกิดขึ้นแกชีวิตและสังคมของเขา สวนพระสงฆก็ตั้งหนาตั้งตาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ดํารงธรรม เผยแผธรรมไป ใหผลเกิดขึ้นที่ชีวิตของคนยกตัวอยางในอินเดีย ยุคพระพุทธศาสนารุงเรืองมากพระเจาอโศกมหาราชเลื่อมใสธรรมแลว ก็สรางมหาวิหารมากมายถวายแกพระศาสนา มหาวิหารก็คือวัดใหญๆ ซึ่งเปนศูนยกลางการศึกษาของพระสงฆ
และประชาชนนั่นเอง ถ าเปนยุ ค
ประชาธิปไตย ประชาชนก็ตองรูจักสามัคคีรวมแรงรวมใจกันทํา
๓. ทุนที่ใชสรางเหมือนกับมาจากสวนเหลือใช คือยุคสมัยนั้นสังคมมั่งคั่งมีเงินทองมาก
และบุคคลที่สราง อยางพระเจาอโศก
มหาราชก็มั่งคั่งลนเหลือ การใชเงินทองในการกอสรางนี้ ตองไมเปนเหตุตัดรอนหรือเบียดแบงแยงยุบการสรางสรรคประโยชนสุขดานอื่น แต ตองใหกลับไปหนุนกัน และเนนที่คุณคาทางจิตใจไมใชเนนที่ราคาของวัตถุ
๔. การสรางสิ่งใหญโต ที่จะเปนอนุสรณสถาน มีไวที่เดียวหรือนอยแห ง นอกจากสิ้นเปลืองที เดียว และยิ่งทําใหมีความ
สําคัญมาก กอความสามัคคี ไดจริงแลว ตามปกติในพระศาสนาก็จะสรางไวในที่เกี่ยวกับองคพระศาสดา
คือ พระพุทธเจา เกี่ยวกับเหตุการณในพุทธประวัติ
หรือเปนเหตุการณใหญในประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา อยางพระเจาอโศกมหาราช ทรงสรางมหาสถูปและประดิษฐานหลักศิลาจารึกไว
ณ ที่พระพุทธเจาประสูติ ตรัสรูแสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน ทรงสรางอุทิศถวายพระพุทธเจาไมได ทรงสรางขึ้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญของพระองคเอง จึงมีคุณคาแหงศรัทธาและน้ำใจบริสุทธที่มุงเพื่อธรรมอยางแทจริงพระพุทธเจาและพระสงฆในสมัยพุทธกาลไมเคยสรางวัดที่ไหนเลย แมแตวัดเดียว
จะไดเขาใจใหถูกวัด รวมทั้งกุฏิ วิหาร
อะไรตางๆ ในวัด เปนปจจัย ๔ ขอที่ ๓คือ เสนาสนะ เรื่องปจจัย ๔ นั้น มีหลักอยูแลววา เปนเรื่องของ ถวายพระสงฆ สวนพระสงฆก็ทําหนาที่ของตน คือเลาเรียนปริยัติปฏิบัติในไตรสิกขา และสั่งสอนธรรมแกประชาชน
อยางอุทิศตัวอุทิศเวลา คฤหัสถจัดปจจัย ๔ ถวาย ก็เพื่อใหพระสงฆทําหนาที่ของทานไดโดยไมตองหวงกังวลดานวัตถุ
เมื่อพระพุทธเจาประกาศพระศาสนาใหมๆ พระไมมีวัด ไมมีที่อยูอาศัย ก็อยูตามโคนไม (เรียกวารุกขมูล)
ตอมาพระพุทธเจาสอนธรรม พระเจาพิมพิสารเลื่อมใสแลวไดถวายสวนไผ เปนวัดแรกเรียกวาพระเวฬุวัน อยูที่เมืองราชคฤหแตตอนนั้น ก็ยังมีแตวัด พระยังไมมีกุฏิอยู ตอมาพระที่อยูงายๆ สอนธรรม เปนประโยชนแกประชาชนกวางขวางออกไป คนก็เลื่อมใสมากขึ้น พระถึงจะไมมีกุฏิอยู ก็อดทน
ตั้งหนาประพฤติปฏิบัติฝกตน และสอนธรรมแกประชาชนเรื่อยไป อยูกันตามปาตามโคนไม ภูเขา ซอกเขา ถ้า ปาชา ดงไม
ลอมฟาง แมกระทั่งในที่โลงแจงจนกระทั่งวันหนึ่ง เศรษฐีเมืองราชคฤห ออกจากบานไปสวนแตเชา ก็เลยไดเห็นพระภิกษุที่เริ่มออกปฏิบัติศาสนกิจ เดินออกมาจากที่ตางๆ ที่ทานไปพัก มีอาการกิริยาสงบงามน่าเลื่อมใส ก็อยากจะใหทานมี ที่อยูจึงเขาไปหาทานและบอกวาจะขอสรางที่อยูถวายพระภิกษุเหลานั้นก็ตอบวาทานรับไมได เพราะพระพุทธเจายังไมไดอนุญาต ทานเศรษฐีจึงขอให พระภิกษุเหลานั้นไปทูลขออนุญาต แลวบอกแจงแกตน เมื่อไดรับพุทธานุญาตแลว ทานเศรษฐีไดสรางกุฏิถวายพระสงฆเสร็จ ๖๐ หลังในวันเดียว นี่คือครั้งแรกที่พระภิกษุทั้งหลายไดมีกุฏิอยู
วัดพระเชตวัน ก็เปนมาแบบนี้เหมือนกันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสรางถวายที่เมืองสาวัตถี ยางที่ พูดถึงขางตน ซึ่งนับวาเปนวัดแรกที่นอกจากมีที่ดินแลว ก็มีอาคารที่ สรางไวพรอมดวย เชน กุฏิพระพุทธเจาหลังเล็กๆ มีเนื้อที่ราว ๖-๗ ตารางเมตรที่วานั้นเศรษฐีเมืองราชคฤหที่เปนคนเริ่มตนสรางกุฏิถวายพระ ก็เปนนองภรรยาของอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั่นเอง อนาถบิณฑิกเศรษฐีไดมาเลื่อมใสพระพุทธเจ าและคิดสรางวัดที่ สาวัตถี ในคราวที่มาเยี่ยมเศรษฐีเมืองราชคฤหครั้งหนึ่งเมื่อสรางวัดเชตวันเสร็จ อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายวัดเชตวันแดพระพุทธเจา แตพระพุทธเจาตรัสวาใหถวายแกสงฆทั้ง๔ ทิศ(จาตุรทิศ)
คือเปนของกลางอยางสากล
เลยกลายเปนประเพณีการสรางและถวายวัดสืบมา
พระไมสรางวัดเลยหรือ?
วัดนะเปนของญาติโยมคฤหัสถสรางถวาย แตพระเปนผูดูแลการกอสรางได เพื่อใหสรางถูกตองตามธรรมวินัย งานเกี่ยวกับการ
กอสรางที่พระทํานี้เรียกวา
“นวกรรม” และพระผูทําหนาที่นี้เรียกวา“นวกัมมิก”
หรือ “นวกัมมาธิฏฐายี”งานนวกรรมนี้
ตองเขาที่ประชุมสงฆมอบหมายแตงตั้ง ที่ประชุมสงฆจะลงมติประกาศวา “สงฆมอบวิหาร (กุฏิ/ที่อยูที่จะสราง)ของคฤหบดีชื่อนี้ ใหเป็นนวกรรมของภิกษุชื่อนี้”
ในสมัยพุทธกาล ก็ไมตองมีการเรี่ยไร
คนที่จะสรางวัด เขามีศรัทธา เขาจึงสราง เขาจะมีเงินและเขาจะสละมาใชสรางเทาไรก็เปนเรื่องของเขา ไมยุงกับคนอื่น
และพระก็ดูแลใหถูกตองตามพระวินัยเทานั้นในระยะตอๆ มา ก็มีพุทธบัญญัติยอมใหสรางได แตทรงวางกําหนดไวเขมงวดมาก คือ ถาภิกษุจะสรางกุฏิอยูเอง
๑. ตองนําเรื่องเขาที่ประชุมสงฆ
และใหสงฆสํารวจพื้นที่แลวกําหนดที่ให
๒. ขนาดกุฏิตองไดตามเกณฑ
กวางยาว ๑๒ x ๗ คืบพระสุคต
(ประมาณ ๓ x ๑.๗๕ เมตร;
การเทียบมาตราอาจคํานวณ
ตางจากนี้ไดบาง)นี่ก็หมายความวา พระพุทธเจาไมตองการใหพระยุงกับวัตถุไมตองวุนวายกับวัตถุ จะไดอุทิศตัวอุทิศเวลาใหแก หนาที่ของตนไดเต็มที่ นั่นดานหนึ่ง และอีกดานหนึ่งเพื่อไมใหรบกวนหรือเปนภาระแกชาวบาน ดังที่พระองคตรัสสอนใหพระภิกษุเปนผูเลี้ยงงาย หรือบางครั้งตรัสวา
“ภิกษุทั้งหลาย ทรัพยสมบัติของคฤหัสถทั้งหลาย เปน
ของที่ เขาเก็บหามาไดยาก แมเมื่อไดมาแลว ก็ยังตองคอย
ดูแลรักษาอยางลําบาก, เมื่อทรัพยสมบัตินั้นเขาเก็บหามา
ก็ยาก ดูแลรักษาก็ลําบาก พวกเธอโมฆบุรุษ ยังจะเรียกรอง
มาก ยังจะขอเขาบอยอีก . . . การกระทําของพวกเธอไมเปนไป
เพื่อความเลื่อมใส . . .” (วินย.๑/๕๐๒/๓๓๗)
พระองค ไมทรงตองการใหพระสงฆ มัววุนวายกับเรื่องดานวัตถุ แมแตที่เปนการทําเพื่อพระองค ที่เรียกวา เปนการบูชา คือไมใหพระสงฆ ยุงกับอามิสบูชา แตใหมุงทําปฏิบัติบูชา แมแตเมื่อพระองคจะปรินิพพาน พระอานนททูลถามวา เมื่อพระพุทธเจาปรินิพพานแลว จะใหจัดการพระพุทธสรีระอยางไร
พระพุทธเจาตรัสวา
“ดูกอนอานนท เธอทั้งหลายจงอยาขวนขวายในการ
บูชาสรีระของตถาคตเลย, ขอใหเธอทั้งหลาย ขมักเขมน
ประกอบในหนาที่ของตน จงเปนผูไมประมาทในหนาที่ของตน
มีความเพียร อุทิศตนเถิด; ขัตติยบัณฑิตก็ดี พราหมณบัณฑิต
ก็ดี คหบดีบัณฑิตก็ดี ที่เลื่อมใสในตถาคต มีอยู, คนเหลานั้น
จักทําการบูชาสรีระของตถาคตเอง” (ที.ม.๑๐/๑๓๓/๑๖๔)
หลังจากปรินิพพาน และถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแลวกษัตริย และผูครองแควนทั้งหลายก็ตกลงแบงพระบรมสารีริกธาตุเป็น
๘ สวนเทาๆ กัน นําไปสรางสถูปเจดียเปนอนุสรณและเปนที่บูชาไวในแวนแควนของตน ถือเปนประเพณีสืบมาวา เรื่องการสรางสถูปเจดีย ก็ทํานองเดียวกับสรางวัดเปนหนาที่ของฝายคฤหัสถที่จะจัดดําเนินการในเมืองไทยเรา ประเพณีนี้ก็ออกมาเป็นกฎหมาย การที่จะสรางวัด ก็เริ่มดวยมีคฤหัสถไปยื่นเอกสารแสดงความจํานงถวายที่ดินและขออนุญาตสรางวัดก็เหมือนกับวามีการแบงหนาที่กันระหวางพระสงฆกับชาวบาน สังคมชาวพุทธนั้นเปนระบบพุทธบริษัท ๔ จัดเปน ๒ ฝาย คือ พระสงฆกับคฤหั สถ
หรือพระกับชาวบาน เมื่อสองฝายนี้ทําหนาที่ตอกัน แบบพึ่งพาอาศัยกัน(อัญโญญญนิสิต) สังคมทั้งหมดก็จะเกษมศานติ์มีความสุข
ก.
พระสงฆ ใหธรรมทาน คือฝกตนในไตรสิกขา และเผยแผสั่งสอนธรรมใหประโยชนเกิดขึ้น โดยไมเรียกรองรบกวนใคร ตามคติของพระพุทธเจาที่วา “ปฏิบัติเพื่อประโยชนสุขของพหูชน, นําประชาชนใหเปนผูมีกัลยาณธรรม มีกุศลธรรม”
ข.
คฤหัสถ ถวายอามิสทาน คือแสดงศรัทธาและจัดสรรเครื่องอุดหนุนทางวัตถุ ใหพระสงฆปฏิบั
ติกิจหนาที่ โดยไมตองพะวักพะวงหวงกังวลความเปนอยูดานปจจัย ๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น