welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

ปริวาสกรรมคืออะไร


                                                                     บทนำ    

          ทุกวันนี้งานปริวาสกรรมได้จัดขึ้นมากมายตามวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   ข้าพเจ้าเห็นความสำคัญเป็นอย่างมากในส่วนของงานปริวาสกรรม จึงมีศรัทธาจัดงานปริวาสกรรมขึ้นเป็นประจำทุกปีภายใน วัดหนองต้นไทร ต.โพธิ์ประทับช้าง อ.โพธิ์ประทับช้าง จังหวัด พิจิตร ซึ่งกำหนดการจัดปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุนั้น จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และ ปริวาสกรรมก่อน เข้าพรรษาของพระภิกษุ ๑๕ วัน ซึ่งแต่ละครั้งนั้น จะมีพระภิกษุจากทั่วประเทศ ได้เข้ามาประพฤติปริวาสเป็นจำนวนมากรวมทั้งยังมี สามเณร อุบาสก - อุบาสิกา ได้เข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมด้วยเป็นจำนวนมาก 
    ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำ สังฆกรรมงาน “ปริวาสกรรม” นี้ จะยังประโยชน์ต่อพระภิกษุสงฆ์ และผู้สนใจใฝ่ในธรรมทุกท่าน ซึ่งกุศลธรรมทั้งมวลที่ข้าพเจ้าและคณะสงฆ์ วัดหนองต้นไทร ได้มีเจตนากระทำแล้วนี้ ขอถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อยังประโยชน์เกื้อกูลต่อพระพุทธศาสนาสืบไป

                                         ประโยชน์และวัตถุประสงค์ของ "ปริวาสกรรม" 

๑.  เพื่อดำรงธรรมวินัยให้ยั่งยืน เพราะมีครูบาอาจารย์มาให้ความรู้     ทางธรรม ทั้งด้านปริยัติธรรมและการปฏิบัติธรรม 
๒.  เพื่ออนุเคราะห์กุลบุตรที่บวชมา และต้องการชำระสิกขาบท     (ศีล)ให้บริสุทธิ์ 
๓.  เพื่อเปิดโอกาสให้นักปฏิบัติธรรมได้เจริญ สมถะ-วิปัสสนา     กรรมฐาน ทั้งพระภิกษุ-สามเณร  อุบาสก-อุบาสิกา 
๔.  เป็นการ รวมพระภิกษุต่างถิ่นต่างอาวาสได้อย่างมาก  บ่งบอกถึงความสามัคคีในหมู่สงฆ์ว่ายังแน่นแฟ้นดีอยู่ 
     เป็นนิมิตหมายแห่งความเจริญในพระพุทธศาสนา

                                                              พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า 

     “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น  ในที่สุดทุกคนก็รู้เอง เหมือนแย่งกัน เข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะ   ทองคำ กับคนจนดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำจากกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน นี่เป็นข้อยืนยันว่าความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจ  เป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจ แม้กระท่อมมุงด้วยใบไม้  มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย”
“ปริวาส” เป็นชื่อของสังฆกรรมประเภทหนึ่งที่สงฆ์จะพึงกระทำ ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งการอยู่
ปริวาสเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “การอยู่กรรม”จึงนิยมเรียกรวมกันว่า “ปริวาส
"ปริวาส” หมายถึง “การอยู่ใช้” หรือ “การอยู่รอบ” หรือเรียกสามัญว่า “การอยู่กรรม”(วุฏฐานวิธี) คือ อยูู่่ให้ครบ
กระบวนการ สิ้นสุดกรรมวิธีทุกขั้นตอนของการอยู่ปริวาสกรรมทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อยู่ใช้กรรมหรือความผิดที่ได้ล่วงละเมิดพระวินัย
ต้องอาบัติ  “สังฆาทิเสส” ซึ่งอาจจะล่วงละเมิดโดยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจล่วงละเมิดโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดีนั้น
ให้พ้นมลทิน หมดจดบริสุทธิ์ไม่มีเหลือเครื่องเศร้าหมองอันจะเป็นอุปสรรคในการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญในทางจิต
ของพระภิกษุสงฆ์

ปริวาสกรรมมีเพื่อสำหรับบุคคล ๒ ประเภท คือ

๐  ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์ 
๐  ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนาแต่ต้องครุกาบัติ

ความเป็นมาของการอยู่ปริวาส

ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์

   “ปริวาส” คำนี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์มากมายที่ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ซึ่งคนจำพวกนี้เรียกว่าเดียรถีย์ ซึ่งเดียรถีย์เหล่านี้เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าบ้าง หรือพระอัครสาวกบ้างก็เกิดมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา คิดจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา โดยจะยังครองเพศเป็นคฤหัสถ์เช่นเดิมหรือจะขอบวชก็ตามพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าควรจะให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนให้เข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาเสียก่อนเป็น
เวลา ๔ เดือน จึงได้ทรงอนุญาตให้อยู่ประพฤติตนเรียกว่า “ติตถิยปริวาส” ไว้

   คนที่ถูกกำหนดว่าเป็นเดียรถีย์ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ติตถิยปริวาสในพระบาลีนั้น พึงให้แก่อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น; ไม่ควรให้แก่ชนเหล่าอื่นฯ ซึ่งในข้อนี้พระอรรถกถาจารย์ท่านแก้ไว้ว่า ติตถิยปริวาสนี้ ควรให้แก่อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ ความอีกตอนหนึ่งว่า ส่วนเดียรถีย์แม้คนอื่น ใดไม่เคยบวชในพระศาสนานี้ มา...ควรให้ปริวาส ๔ เดือนแก่เธอนั้น..ขึ้นชื่อว่า ติตถิยปริวาสนี้ ท่านเรียกว่า อัปปฏิจฉันนปริวาสฯ(สมนต.๓/๕๓-๕๔) ในฏีกาสารัตถทีปนี ซึ่งเป็นฏีกาของสมันตปาสาทิกาอีกทีหนึ่ง แต่งโดยพระ
สารีบุตรชาวลังกา (ไม่ใช่สารัตถทีปนี อรรถกถาสังยุตตนิกาย ของพระพุทธโฆษาจารย์) ท่านแก้อรรถคำว่า อาชีวก และ อเจลกะ ไว้ว่า อาชีวก ได้แก่ คนที่นุ่งผ้าสไบเฉียงข้างบนผืนเดียว ส่วนข้างล่างเปลือย อเจลกะ ได้แก่คนที่เปลือยกายทั้งหมด

   คนสองประเภทนี้เท่านั้น คือ คนเปลือยครึ่งท่อนกับคนเปลือยทั้งหมด ส่วนที่เป็นดาบสชีปะขาวอื่นมี ปริพาชก เป็นต้น ที่ยังมีผ้าขนสัตว์หรือผ้าพันกายเป็นเครื่องหมายของลัทธิอยู่ ถือว่าได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน อย่างเช่น อัครสาวกทั้ง ๒ ซึ่งเป็นปริพาชกและเคยอยู่กับปริพาชกมาก่อนก็ดี สีหเสนาบดีชาวเมืองเวสาลีซึ่งเป็นศิษย์เอกของนิครนถ์นาฏบุตรพาวรีพราหมณ์ทั้ง ๑๖ คน ชานุสโสณีพราหมณ์  ติมพรุกขปริพาชก วัปปศากยสาวกนิครนถ์ สุลิมปริพาชก กาปทกมาณพ และโลกายติกพราหมณ์ก็ดี ท่านเหล่านี้ไม่ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน
เพราะท่านเหล่านี้ท่านเรียกว่า สันสกถติสัทธา ได่แก่ผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาหา มาถามปัญหาโดยมีศรัทธาเป็นประธาน ซึ่งก็ได้แก่ผู้ที่เป็นสาวกบารมีญาณแก่กล้าเต็มที่แล้วนั่นเอง

 ในทางคัมภีร์ชั้นบาลีนั้น ผู้ที่ไม่ได้เป็นชีเปลือยก็เคยมีปรากฏว่าอยู่ติตถิยปริวาสมาบ้างแล้ว ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตติตถิยปริวาส ๔ เดือน นี้ ได้แก่พวกเดียรถีย์(วินย.๔/๘๖/๑๐๑-๒) ท่านหมายเอาคนนอกศาสนาผู้มีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิเข้าด้วย เช่นสภิยพราหมณ์ ผู้นึกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า(สภิยสูตร ๒๕/๕๔๘) และปสุรปริพาชก ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ เป็นต้น คนเหล่านี้ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่ และการอนุญาตติยถิยปริวาส ให้แก่ 
อเจลกกัสสปะ ชาวเมืองอุชุญญนคร  ซึ่งทั้งสามท่านที่ยกตัวอย่างมานี้ ภายหลังเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงขออยู่ปริวาสถึง ๔ ปี

ปริวาสสำหรับพระภิกษุสงฆ์
ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้ เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุผู้บวชอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา แต่ไปต้อง “ครุกาบัติ”  จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสเพื่อนำตนให้พ้นจากอาบัติ ตามเงื่อนไขทางพระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การประพฤติวุฏฐานวิธี”

 “การประพฤติวุฏฐานวิธี” 

วุฏฐานวิธี คือ กฎระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ หมายถึง ระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับภิกษุผู้จะเปลื้องตนออกจากครุกาบัติสังฆาทิเสส มีทั้งหมด ๔ ขั้นตอน คือ

 ๑.  ปริวาส หรือ อยู่ประพฤติปริวาส หรือ อยู่กรรม (โดยสงฆ์เห็นชอบที่ ๓ ราตรี) 
๒.  มานัต ประพฤติมานัต  ๖ ราตรี หรือ นับราตรี ๖ ราตรีแล้วสงฆ์สวดระงับอาบัติ 
๓.  อัพภาน หรือ การเรียกเข้าหมู่ โดยพระสงฆ์  ๒๐  รูป สวดให้อัพภาน 
๔.  ปฏิกัสสนา ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (ถ้าต้องอันตราบัติในระหว่างหรือการชักเข้าหาอาบัติเดิม)

ทั้ง  ๔  ขั้นตอนนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “การประพฤติวุฎฐานวิธี” แปลว่าระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติตนเพื่อออกจากอาบัติ อันได้แก่ “สังฆาทิเสส”

ส่วนประกอบของการประพฤติวุฏฐานวิธีประกอบด้วยสงฆ์ ๒ ฝ่าย

 ขั้นตอนการ ประพฤติวุฎฐานวิธี นั้น จะต้องประกอบด้วยสงฆ์ที่ทำสังฆกรรม คือ ประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ซึ่งคณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายนั้นมีหน้าที่ดังนี้ คือ 
    พระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ ภิกษุผู้อยู่กรรม หรือ พระลูกกรรม คือ สงฆ์ที่ต้องอาบัติ แล้วประสงค์    ที่จะออกจากอาบัตินั้น จึงไปขอปริวาสเพื่อ ประพฤติวุฏฐานวิธี ตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด 
    พระปกตัตตะภิกษุ หรือคณะสงฆ์พระอาจารย์กรรม (หรือพระพี่เลี้ยง)ซึ่งเป็นสงฆ์ฝ่ายที่พระวินัย    กำหนดให้เป็นผู้ควบคุมดูแลความประพฤติของสงฆ์ฝ่ายแรกผู้ขอปริวาส ซึ่งสงฆ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล   อนุเคราะห์เกื้อกูลนี้ ทำหน้าที่เป็น พระปกตัตตะภิกษุ หรือ ภิกษุโดยปกติพระภิกษุผู้มีศีลไม่ด่างพร้อย

ปริวาสมีทั้งหมด ๔  อย่าง คือ

 ๑.  อัปปฏิจฉันนปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้ 
๒.  ปฏิจฉันนปริวาส  คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้ ซึ่งนับวันได้ 
๓.  สุทธันตปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้าง  ไม่เท่ากันบ้าง 
๔.  สโมธานปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ครุกาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง

 ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส  คือ การอยู่ใช้ การอยู่กรรม หรือ การอยู่รอบ นี้มีการนับราตรีมีอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร ซึ่งลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทนั้นพอจะสังเขปได้ คือ
                                                   อัปปฏิฉันนปริวาส 
    อัปปฏิฉันนปริวาส ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาว่า ถูกจัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อพวกเดียรถีย์มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความประสงค์ที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ก็อนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสนี้เป็นเวลา ๔ เดือน และการอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสของพวกเดียรถีย์นี้ จะไม่มีการบอกวัตร จึงทำให้อัปปฏิฉันนปริวาสนำไปใช้ในสมัยพระพุทธองค์เท่านั้น และถูกยกเลิกไป

                                                      ปฏิจฉันนปริวาส
   ปฏิจฉันนปริวาส แปลว่า  อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้ เมื่อขอปริวาสประเภทนี้ จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้นั้นโดยไม่มีการประมวลอาบัติใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องประพฤติปริวาสนานเท่านั้น  ดังในคัมภีร์ชั้นอรรถกถากล่าวถึงการปิดอาบัติไว้นานถึง ๖๐ ปี(สมนต.๓/๓๐๓) ในคัมภีร์ จุลวรรคยังได้กล่าวถึงพระอุทายีที่ต้องอาบัติสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้วปิดไว้หนึ่ง วัน เมื่อท่านประสงค์จะประพฤติปริวาส พระพุทธองค์
จึงมีพระดำรัสให้สงฆ์จตุวรรคให้ปริวาสแก่ท่านเพียงวันเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกาหัปปฏิจฉันนาบัติ ซึ่งเท่ากับท่านอยู่ปริวาสเพียงวันเดียวเท่านั้น(วิ.จุล.๖/๑๐๒/๒๒๘)
                                                        
                                                       สโมธานปริวาส
   สโมธานปริวาส คือ ปริวาสที่ประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกัน แล้วอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานที่สุด ซึ่งในขณะที่กำลังอยู่ประพฤติปริวาส ประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่นั้น ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้ำเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มขึ้น(ต้องโทษเพิ่ม)  ซึ่งทางวินัยเรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา หรือ ปฏิกัสสนา แปลว่า การชักเข้าหาอาบัติเดิม หรือ กิริยาที่ชักเข้าหาอาบัติเดิม ซึ่ง มูลายปฏิกัสสนา นั้น ถึงต้องในระหว่างก็ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาสเสียหายแต่ประการใดเพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสล่าช้าไปเท่านั้นเอง จึงทำให้ภิกษุนั้นต้องขอ ปฏิกัสสนา กับสงฆ์ ๔ รูป ซึ่งปริวาสในครั้งที่ ๒ ที่ต้องซ้ำเข้ามานี้จะเป็นปริวาสชนิดใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขดังนี้ คือ

   - ใน ขณะกำลังประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่ แล้วต้องอาบัติตัวเดิมหรือตัวใหม่ซ้ำเข้าแล้วปกปิดไว้        ถ้าปิดไว้เช่นนี้ ต้องขอปฏิกัสสนาแล้ว   ต้องขอสโมธานปริวาสเพื่อที่จะประมวลอาบัติที่ต้อง ในระหว่างเข้าปริวาสกับอาบัติตัวเดิมที่เคยต้องมาแล้ว อยู่ประพฤติปริวาสจนครบกับจำนวนราตรี  ที่ภิกษุท่านปกปิดไว้  เหตุที่ต้องขอ สโมธานปริวาส เท่านั้น ก็เพราะสโมธานปริวาสเหมาะสำหรับอาบัติที่ปิดไว้  เพื่อให้รู้ว่าปิดไว้กี่วันซึ่งคณะสงฆ์จะได้ประมวลเข้ากับอาบัติเดิมที่อยู่มาก่อน เช่น  ภิกษุที่  ต้องอาบัติขอปริวาสไว้ ๑๕ ราตรี พออยู่ไปได้ ๕ ราตรี ภิกษุท่านต้องอาบัติซ้ำหรือเพิ่มขึ้นอีก แล้วท่านปิดไว้ไม่ได้บอกใครพอถึงราตรีที่ ๑๒ ก็นับว่าท่านปิดอาบัติที่ต้องครุกาบัติซ้ำเข้าไป  นั้นแล้ว (๑๒-๕)เท่ากับ ๗ ราตรี และการที่ท่านอยู่ปริวาสมาจนถึงราตรี ีที่ ๑๒ ในจำนวน  ๑๕ ราตรีที่ขอนั้น ก็เท่ากับท่านได้เพียงแค่ ๕ ราตรีเท่านั้นที่ไม่เกิดอาบัติซ้ำ ส่วนอีก ๗   ราตรีที่ประพฤติปริวาสไปแล้วนั้นถือเป็นโมฆะนับราตรีไม่ได้ คณะสงฆ์ก็ต้องให้สโมธานปริวาส  ประมวลอาบัติที่ปิดไว้ ๗ ราตรีรวมกับส่วนที่ต้องครุกาบัติก่อนแล้วเท่ากับต้องอยู่ประพฤติ  ปริวาสรวมทั้งหมดเป็น ๒๒ วันนับแต่ราตรี  ที่ ๑ หรือหากนับจากราตรีที่ ๖ ไปอีก ๑๗ วัน
-  ถ้าต้องอันตราบัติแล้วภิกษุท่านนั้นมิได้ปกปิดไว้ ก็ขอปฏิกัสสนากับสงฆ์ แล้วก็ขอมานัตได้เลย
-  ถ้าไม่ต้องอาบัติตัวใดซ้ำหรือเพิ่มเติมในขณะอยู่ประพฤติปริวาสก็ให้ประพฤติปริวาสนั้นตาม   เงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาสตามปกติ

                                                                        สุทธันตปริวาส 
   สุทธันตปริวาส เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ในปัจจุบันนี้นิยมจัดแต่ สุทธันตปริวาส ทั้งนี้ก็เพราะเป็นปริวาสที่จัดว่าอยู่ในดุลยพินิจของสงฆ์อยู่ในอำนาจของสงฆ์ คือให้สงฆ์เป็นใหญ่ หากคณะสงฆ์จะให้อยู่ถึง ๕ ปี ก็ต้องยอมปฏิบัติตาม โดยไม่มีทางเลือกและถ้าสงฆ์ให้อยู่ราตรีหนึ่งหรือสองราตรีแล้ว ขอมานัตได้ก็ถือว่าเป็นสิทธิของคณะสงฆ์ และทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสนี้มีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ให้ความมั่นใจแก่ผู้ปฏิบัติมากที่สุด ซึ่งภิกษุที่ท่านขอปริวาสดังคำว่า 
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาส จนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติ เหล่านั้น กะสงฆ์(วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒) 
ซึ่งก็ยังมีข้อกำหนดว่า อยู่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้แบ่ง สุทธันตปริวาส ออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ คือ

 1  จุฬสุทธันตปริวาส แปลว่า สุทธันตปริวาสอย่างย่อย คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติ        หลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจำจำนวนอาบัติได้ จำจำนวนวัน  และจำจำนวนครั้งได้บ้าง จึงขอจุฬสุทธันตปริวาส และอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์  แต่โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ก็นิยมสมมติให้อยู่ ๓ ราตรีเป็นเกณฑ์ น้อยกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่เป็นไร

  2  มหาสุทธันตปริวาส คือ สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่ คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติ   หลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ จำจำนวนอาบัติไม่ได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้ง   ไม่ได้ จึงขอจุฬสุทธันตปริวาสและอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์โดยการกะประมาณว่าตั้งแต่บวชมาจนถึงเวลาใดที่ยังไม่ต้องครุกาบัติเลยเช่น อาจบวชมาได้ ๑ เดือน  แต่ต้องครุกาบัติจนเวลาล่วงผ่านไปแล้ว ๕ เดือน ๑๐ เดือนหรือ ๑ ปี แต่จำจำนวน ที่แน่นอนไม่ได้เลย จึงต้องขอปริวาสและกะประมาณว่าประมาณ ๑ เดือนนั้นในความรู้สึก  ก็ถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ ซึ่งมหาสุทธันตปริวาสนี้ ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะยุ่งยากและกำ

                                                             อัปปฏิฉันนปริวาส 
    อัปปฏิฉันนปริวาส ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาว่า ถูกจัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อพวกเดียรถีย์มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความประสงค์ที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ก็อนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสนี้เป็นเวลา ๔ เดือน และการอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสของพวกเดียรถีย์นี้ จะไม่มีการบอกวัตร จึงทำให้อัปปฏิฉันนปริวาสนำไปใช้ในสมัยพระพุทธองค์เท่านั้น และถูกยกเลิกไป
                                                             ปฏิจฉันนปริวาส
   ปฏิจฉันนปริวาส แปลว่า  อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้ เมื่อขอปริวาสประเภทนี้ จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้นั้นโดยไม่มีการประมวลอาบัติใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องประพฤติปริวาสนานเท่านั้น  ดังในคัมภีร์ชั้นอรรถกถากล่าวถึงการปิดอาบัติไว้นานถึง ๖๐ ปี(สมนต.๓/๓๐๓) ในคัมภีร์ จุลวรรคยังได้กล่าวถึงพระอุทายีที่ต้องอาบัติสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้วปิดไว้หนึ่ง วัน เมื่อท่านประสงค์จะประพฤติปริวาส พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสให้สงฆ์จตุวรรคให้ปริวาสแก่ท่านเพียงวันเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกาหัปปฏิจฉันนาบัติ ซึ่งเท่ากับท่านอยู่ปริวาสเพียงวันเดียวเท่านั้น(วิ.จุล.๖/๑๐๒/๒๒๘)

                                                           สโมธานปริวาส
     สโมธานปริวาส คือ ปริวาสที่ประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกัน แล้วอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานที่สุด ซึ่งในขณะที่กำลังอยู่ประพฤติปริวาส ประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่นั้น ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้ำเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มขึ้น(ต้องโทษเพิ่ม)  ซึ่งทางวินัยเรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา หรือ ปฏิกัสสนา แปลว่า การชักเข้าหาอาบัติเดิม หรือ กิริยาที่ชักเข้าหาอาบัติเดิม ซึ่ง มูลายปฏิกัสสนา นั้น ถึงต้องในระหว่างก็ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาสเสียหายแต่ประการใดเพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสล่าช้าไปเท่านั้นเอง จึงทำให้ภิกษุนั้นต้องขอ ปฏิกัสสนา กับสงฆ์ ๔ รูป ซึ่งปริวาสในครั้งที่ ๒ ที่ต้องซ้ำเข้ามานี้จะเป็นปริวาสชนิดใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขดังนี้ คือ

   1 ใน ขณะกำลังประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่ แล้วต้องอาบัติตัวเดิมหรือตัวใหม่ซ้ำเข้าแล้วปกปิดไว้        ถ้าปิดไว้เช่นนี้ ต้องขอปฏิกัสสนาแล้ว   ต้องขอสโมธานปริวาสเพื่อที่จะประมวลอาบัติที่ต้อง ในระหว่างเข้าปริวาสกับอาบัติตัวเดิมที่เคยต้องมาแล้ว อยู่ประพฤติปริวาสจนครบกับจำนวนราตรี   ที่ภิกษุท่านปกปิดไว้  เหตุที่ต้องขอ สโมธานปริวาส เท่านั้น ก็เพราะสโมธานปริวาสเหมาะสำหรับอาบัติที่ปิดไว้   เพื่อให้รู้ว่าปิดไว้กี่วันซึ่งคณะสงฆ์จะได้ประมวลเข้ากับอาบัติเดิมที่อยู่มาก่อน เช่น  ภิกษุ
ที่ต้องอาบัติขอปริวาสไว้ ๑๕ ราตรี พออยู่ไปได้ ๕ ราตรี ภิกษุท่านต้องอาบัติซ้ำหรือเพิ่มขึ้นอีก แล้วท่านปิดไว้ไม่ได้บอกใครพอถึงราตรีที่ ๑๒ ก็นับว่าท่านปิดอาบัติที่ต้องครุกาบัติซ้ำเข้าไป นั้นแล้ว (๑๒-๕)เท่ากับ ๗ ราตรี และการที่ท่านอยู่ปริวาสมาจนถึงราตรี ีที่ ๑๒ ในจำนวน  ๑๕ ราตรีที่ขอนั้น ก็เท่ากับท่านได้เพียงแค่ ๕ ราตรีเท่านั้นที่ไม่เกิดอาบัติซ้ำ ส่วนอีก ๗ 
       ราตรีที่ประพฤติปริวาสไปแล้วนั้นถือเป็นโมฆะนับราตรีไม่ได้ คณะสงฆ์ก็ต้องให้สโมธานปริวาส  ประมวลอาบัติที่ปิดไว้ ๗ ราตรีรวมกับส่วนที่ต้องครุกาบัติก่อนแล้วเท่ากับต้องอยู่ประพฤติ   ปริวาสรวมทั้งหมดเป็น ๒๒ วันนับแต่ราตรี  ที่ ๑ หรือหากนับจากราตรีที่ ๖ ไปอีก ๑๗ วัน
   2  ถ้าต้องอันตราบัติแล้วภิกษุท่านนั้นมิได้ปกปิดไว้ ก็ขอปฏิกัสสนากับสงฆ์ แล้วก็ขอมานัตได้เลย
   3  ถ้าไม่ต้องอาบัติตัวใดซ้ำหรือเพิ่มเติมในขณะอยู่ประพฤติปริวาสก็ให้ประพฤติปริวาสนั้นตาม
       เงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาสตามปกติ

                                                                     สุทธันตปริวาส
    สุทธันตปริวาส เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้ ในปัจจุบันนี้นิยมจัดแต่ สุทธันตปริวาส ทั้งนี้ก็เพราะเป็นปริวาสที่จัดว่าอยู่ในดุลยพินิจของสงฆ์อยู่ในอำนาจของสงฆ์ คือให้สงฆ์เป็นใหญ่ หากคณะสงฆ์จะให้อยู่ถึง ๕ ปี ก็ต้องยอมปฏิบัติตาม โดยไม่มีทางเลือกและถ้าสงฆ์ให้อยู่ราตรีหนึ่งหรือสองราตรีแล้ว ขอมานัตได้ก็ถือว่าเป็นสิทธิของคณะสงฆ์ และทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาสนี้มีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ให้ความมั่นใจแก่ผู้ปฏิบัติมากที่สุด ซึ่งภิกษุที่ท่านขอปริวาสดังคำว่า 
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาส จนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติ เหล่านั้น กะสงฆ์(วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒) ซึ่งก็ยังมีข้อกำหนดว่า อยู่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้แบ่ง สุทธันตปริวาส ออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ คือ
 1  จุฬสุทธันตปริวาส แปลว่า สุทธันตปริวาสอย่างย่อย คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติ    หลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจำจำนวนอาบัติได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้งได้บ้าง จึงขอจุฬสุทธันตปริวาส และอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์   แต่โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ก็นิยมสมมติให้อยู่ ๓ ราตรีเป็นเกณฑ์ น้อยกว่านี้ไม่ได้  แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่เป็นไร

  2  มหาสุทธันตปริวาส คือ สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่ คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติ  หลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ จำจำนวนอาบัติไม่ได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้ง   ไม่ได้ จึงขอจุฬสุทธันตปริวาสและอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์โดยการกะประมาณว่าตั้งแต่บวชมาจนถึงเวลาใดที่ยังไม่ต้องครุกาบัติเลยเช่น อาจบวชมาได้ ๑ เดือน  แต่ต้องครุกาบัติจนเวลาล่วงผ่านไปแล้ว ๕ เดือน ๑๐ เดือนหรือ ๑ ปี แต่จำจำนวน ที่แน่นอนไม่ได้เลย จึงต้องขอปริวาสและกะประมาณว่าประมาณ ๑ เดือนนั้นในความรู้สึกก็ถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ ซึ่งมหาสุทธันตปริวาสนี้ ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะยุ่งยาก และกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้

                                                         รัตติเฉท

เหตุที่ทำให้ขาดราตรี นับราตรีไม่ได้ หรือ “รัตติเฉท” ในการประพฤติปริวาส 
   การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติขณะที่อยู่ประพฤติปริวาส ๓  กรณีด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า “รัตติเฉท” คือ เหตุที่ทำให้ขาดราตรีของปริวาสิกภิกษุผู้ประพฤติปริวาส  มีดังนี้

๑.  สหวาโส  แปลว่า  การอยู่ร่วม 
๒.  วิปวาโส  แปลว่า  การอยู่ปราศ
๓.  อนาโรจนา แปลว่า  การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ

    ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นเงื่อนไขที่ทำให้การอยู่ประพฤติปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้ หรือทางวินัยเรียกว่า “รัตติเฉท” แปลว่า การขาดแห่งราตรี นับราตรีไม่ได้ เมื่อราตรีขาด ก็ต้องเสียเวลาในการประพฤติปริวาสไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส ควรต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ซึ่งเงื่อนไขทั้ง ๓ ประการมีรายละเอียดต่อไป 

   ส่วนในอีกกรณีหนึ่งก็คือ เรื่อง “วัตตเภท” แปลความว่า ความแตกต่างแห่งวัตร หรือ ความแตกต่างแห่งข้อปฏิบัติในขณะอยู่ประพฤติปริวาส คือ ทำให้วัตรมัวหมองด่างพร้อย ซึ่งเป็นการละเลยวัตร ละเลยหน้าที่ ไม่เอื้อเฟื้อ ต่อวัตรที่กำลังประพฤติอยู่ และกระทำผิดต่อพุทธบัญญัติโดยตรง เช่น หาอุปัฎฐากเข้ามารับใช้ในขณะอยู่ประพฤติ ปริวาส เข้านอนร่วมชายคาเดียวกันกับภิกษุผู้อยู่ปริวาสหรือคณะสงฆ์ซึ่งเป็นอาจารย์กรรม มีการนั่งบนอาสนะที่สูงกว่า อาสนะของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม เหล่านี้ถือว่าเป็น “วัตตเภท” สิ่งไหนเป็น รัตติเฉท หรือ วัตตเภท ดังตัวอย่างเช่น ภิกษุหนึ่ง และภิกษุสอง เป็นเพื่อนสหธรรมิกไปอยู่ประพฤติปริวาสร่วมกัน เมื่อปฏิบัติกิจทางสังฆกรรมเสร็จแล้ว ภิกษุ หนึ่งก็เข้ากลดแล้วนอนหลับไป ส่วนภิกษุสองนอนไม่หลับ ก็เข้าไปนอนเล่นในกลดของภิกษุหนึ่ง แล้วก็เผลอหลับไปจนสว่าง ซึ่งในกรณีนี้ ภิกษุหนึ่ง ผิดในส่วนของ รัตติเฉท อย่างเดียว ส่วนภิกษุสองผิดทั้ง รัตติเฉท และวัตตเภท ซึ่งกรณีเช่นนี้ถือเจตนาเป็นใหญ่ ฝ่ายใดก่อเจตนาฝ่ายนั้นเป็น
ทั้ง รัตติเฉท และ วัตตเภท ส่วนฝ่ายที่ไม่มีเจตนา ฝ่ายนั้นเป็นเพียง รัตติเฉท แตถ้าจะให้ละเอียดว่าทำไม ภิกษุหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีเจตนาทำไมถึงเป็น รัตติเฉท คำตอบก็เพราะว่า เป็นการอยู่ร่วมในที่มุงบังอันเดียวกัน ถือว่าเป็น รัตติเฉท ทั้งสิ้นไม่มี กรณียกเว้นถ้าไม่เก็บวัตร เพราะเงื่อนไขเป็น อจิตตกะ   

สหวาโส 
    “สหวาโส”แปลว่า“การอยู่ร่วม”ซึ่ง ในความหมายนี้หมายเอาพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสอยู่ร่วมกับภิกษุผู้อยู่ปริวาสด้วยกัน หรืออยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ผู้เป็นพระอาจารย์กรรมในที่มุงบังเดียวกัน“การอยู่ร่วม” นั้นมีขอบเขต คือ ท่านหมายเอาการนอนอยู่ร่วมกันในที่มุงอันเดียวกันในทางสถานที่ นั่นหมายถึงมีการทอดกายนอน ดังมีอรรถกถาบาลีว่า “สตคพฺ ภา จตุสฺสาลา เอกา เสยฺยาอิจฺเจว สงฺขยํ คจฺฉติ, เยปิ เอกสาลทฺวิสาลตฺติสาลจตุสฺสาลสนฺนิเวสา มหาปาสาทา เอกสฺมึ โอกาเส ปาเท โธวิตฺวา ปวิฏฺเฐนสกฺกา โหติ สพฺพตฺถ อนุปริคนฺตํ เตสุปิ สหเสยฺยาปตฺติยา น มุจฺจติฯ แปลความว่า “ ศาลา ๔ มุข มีห้องตั้งร้อย แต่อุปจาระเดียวกันก็ถึงอันนับว่าที่นอนอันเดียวกันแท้, แม้มหาปราสาทใด ที่มีทรวดทรงเป็นศาลาหลังเดียวสอง สาม และสี่หลัง ภิกษุล้างเท้าในโอกาสหนึ่งแล้วเข้าไป อาจเพื่อจะเดินเวียนรอบได้ในที่ทุกแห่ง 
แม้ในมหาปราสาทเหล่านั้น (ถ้านอนร่วมกัน) ภิกษุย่อมไม่พ้นสหเสยยาบัติ คือ อาบัติเพราะการนอนร่วม(มนฺต.๒/๒๙๙) ซึ่งจะเห็นว่า การอยู่ร่วม คือ นอนร่วมกันและท่านก็เพ่งเอาการทอดกายนอนเฉพาะตอนกลางคืนนั้น ในที่มุงบังอันเดียวกันหลังคาเดียวกัน ก็ไม่พ้นจากอาบัติเพราะการนอน คือมีการทอดกายนอน และคำว่าที่มุงบังอันเดียวกันนั้น ท่านก็หมายเอาแต่วัตถุที่เกิดขึ้นโดยวิทยาศาสตร์ เช่น ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร ที่มนุษย์ใช้เครื่องมือสร้างขึ้น แต่ไม่รวมถึงที่มุงบังโดยธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ หากมีการกางกลดภายใต้ร่มไม้เดียวกันก็ไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นข้อแตกต่างของที่มุงบังเดียวกัน ซึ่งหากภิกษุสองรูปขึ้นไปอยู่ร่วมกับภิกษุรูปหนึ่งนั่งแต่ภิกษุอีกรูปหนึ่งนอน หรือภิกษุทั้งสองต่างนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการทอดกายนอนก็ถือว่าไม่เป็นอาบัติหรือรัตติเฉท ทั้งนี้ก็มีข้อแม้ว่าในศาลาที่ทำสังฆกรรมนั้นเป็นที่มุงบังหลังคาเดียวกัน แต่หากในขณะเมื่ออยู่ปริวาสนั้นเกิดภัยทาง ธรรมชาติคุกคามแปรปรวน เช่นฝนตก น้ำท่วม ลมแรง หรือมีการปฏิบัติธรรมร่วมกันก็อนุญาตให้อยู่ร่วมในศาลามุงบังนั้นได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการทอดกายนอน พอใกล้จวนสว่างแล้วก็ให้ลุกออกไปเสียที่อื่นให้พ้นจากที่มุงนั้นให้ได้อรุณ ซึ่งกิริยาเช่นนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ออกไปรับอรุณ”
   ดังนั้นคำว่า “สหวาโส” นั้นขึ้นอยู่กับการ นอน อย่างเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการนอน ไม่มีการเอนกาย ไม่ถือว่าเป็น สหวาโส จึงสรุปว่า แม้การร่วมทำสังฆกรรม ทำวัตรเช้าสวดมนต์เย็น ร่วมปฏิบัติธรรมภายใต้ศาลาเดียวกันโดยมีที่มุงบังก็ดีโดยไม่ได้เก็บวัตรก็ดี ทำกิจทุกอย่างร่วมกันภายในเต็นท์หรือปะรำที่สร้างขึ้น
เพื่องานนั้นโดยไม่เก็บวัตรก็ดี เข้าห้องน้ำห้องสุขาที่มีเครื่องมุงบังพร้อมกันแม้จะเป็นหลังเดียวกันกับอาจารย์กรรมโดยไม่เก็บวัตรก็ดี ทั้งหมดนี้ไม่ถือเป็น สหวาโส ไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อย และไม่เป็นอาบัติทุกกฎเพราะวัตตเภทก็ไม่มี ทั้งนี้เพราะ กิจ ที่ทำนั้นไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน แต่เป็นการ ทำธุระ ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน 
ซึ่งต่างกับการ “อยู่ร่วม” หรือ “สหวาโส”

ขอบเขตของ “สหวาโส” การ “อยู่ร่วม” 

                                                        เรื่องของสถานะ
   ภิกษุ ทุกรูปที่เข้าอยู่ประพฤติปริวาสนั้น เป็นผู้ตกอยู่ในข้อหาละเมิดสิกขาบท สังฆาทิเสส     ซึ่งการอยู่ปริวาสนั้นเปรียบเหมือนกำลังพยายามออกจากสิกขาบทที่ละเมิด ดังนั้น ภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้น แม้จะมีพรรษามากเท่าใดก็ตาม มีสมณะศักดิ์สูงเพียงใดก็ตามก็จะต้องเคารพและให้เกียรติต่อ คณะสงฆ์  อาจารย์กรรม ในเรื่องที่เป็นธรรมเป็นวินัย แม้สงฆ์ท่านนั้นจะเพิ่งบวชใหม่แม้ในวันนั้นทุกรูปก็ตามจะทำการคลุกคลีด้วยการฉันร่วม นั่งร่วมในอาสนะเดียวกันเกินขอบเขตซึ่งทำให้เป็น วัตตเภทบ้าง รัตติเฉทบ้างไม่ได ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องยอมลดทิฎฐิ และสถานะสมณศักดิ์ลงต่อคณะสงฆ์และอาจารย์กรรม แต่สำหรับพระภิกษุ   ผู้อยู่ประพฤติปริวาสด้วยกันแล้วก็ยังคงรักษาพรรษาไว้และยังคงต้องนั่งตามลำดับพรรษาดังเดิม และพระเถระที่เคยมีอุปัฐากอยู่ที่วัด พอมาอยู่ปริวาสท่านจะมีอุปัฏฐากเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งในข้อนี้มีพระบาลีว่า    สทฺธิวิหาริกาทีนํ สาทิยนฺตสฺส  ทุกฺกฎเมวฯ อหํ วนยกมฺมํ กโรมิ มยฺหํ วตฺตํ มา กโรถ มา มํ คามปฺปเวสนํ   อาปุจฺฉถ, วาริตกาลโต ปฏฺฐาย อนาปตฺติฯ ความว่า เป็นอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุผู้ยินดีแม้ของสัทธิวหาริก    เป็นต้น พึงห้ามเขาว่าเรากำลังทำวินัยกรรมอยู่ พวกท่านอย่าทำวัตรแก่เราเลย อย่าบอกลาเข้าบ้านกะเราเลย, จำเดิมแต่กาลที่ห้ามแล้วไม่เป็นอาบัติ (สมนฺต.๓/๒๘๒) ยกเว้นแต่ว่าเป็นกรณีพิเศษคือ ท่านอาจจะไหว้วานชั่วคราว เช่น ฝากซื้อของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ในขณะอยู่ประพฤติปริวาส

b.เรื่องของสถานที่ เช่น

   -  ที่ฉันภัตตาหาร                  -  ที่ทำธุระส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ ห้องสุขา 
   -  ที่เดินจงกรม                     -  ที่ปฏิบัติธรรม 
   -  ที่ทำสังฆกรรม                  -  ที่นอน

ทั้งหมดนี้ ควรแยกสัดส่วนออกจากกัน คือ ส่วนไหนเป็นของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม ส่วนไหนเป็นของพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส ก็ต้องแยกจากกันให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้เกียรติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมและเพื่อความนอบน้อมสำหรับภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส

                                                                     วิปวาโส
 “วิปวาโส” หรือ การอยู่ปราศ หมายถึง การอยู่ปราศจากคณะสงฆ์อาจารย์กรรม การอยู่ประพฤติปริวาสนั้นจะอยู่กันเองตามลำพังโดยปราศจากอาจารย์กรรมไม่ได้ เด็ดขาด อย่างน้อยก็ต้องมีอาจารย์กรรม นั่นคือ ต้องใช้คณะสงฆ์อาจารย์กรรม ๑ รูป สำหรับการอยู่ประพฤติปริวาส และ ๔ รูป สำหรับมานัต ทั้งนี้เพื่อจะได้คุ้มกรรมไว้ ส่วนเหตุอื่นที่จะเป็น วิปวาโส ได้นั้น ก็คือ ถึงแม้จะมีคณะสงฆอาจารย์กรรมอยู่ด้วย แต่มีกำหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ถ้าหากพระลูกกรรมผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้นอยู่ไกลเกินกำหนด ซึ่งกำหนดของวิปวาโส นี้ ท่านบอกว่า ๒ ชั่ว เลฑฑุบาตร คือ เอาคนมีอายุปานกลางและมีกำลังขว้างก้อนดินตกลง ๒ ชั่ว คือ ขว้างก้อนดินต่อกัน ๒ ครั้งนั่นเอง (เท่ากับขว้างครั้งแรกตกลงที่ใดแล้วก็ยืนตรงจุดที่ดินตกแล้วก็ขว้างครั้งที่สองไกลออกไปเท่าใดก็ถือเอา
จุดนั้นเป็นเขต กำหนด) ซึ่งจุดศูนย์กลางของ ๒ เลฑฑุบาตรนี้ ให้ยึดเอาจุดที่คณะสงฆ์พระอาจารย์กรรมอยู่กัน แล้วก็ให้วัดขอบเขตไปที่ภิกษุผู้ปักกลดองค์แรกที่อยู่ใกล้อาจารย์กรรมที่สุด นั้นเป็นเกณฑ์ ส่วนภิกษุท่านอื่น ๆ ก็ถือว่า ปักกลดอยู่ต่อ ๆ กันไปเหมือนดั่งยังอยู่ในหัตถบาสเหมือนที่ลงสวดพระปาติโมกข์ในโบสถ์ซึ่งองค์แรกอยู่ในหัตถบาส องค์ต่อไปก็นั่งเรียงลำดับกันไป ซึ่งการกำหนดขอบเขตนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมท่านเป็นผู้ชี้เขตและอนุญาต ให้อยู่ได ซึ่งการอยู่ปราศ นั้น ก็คือห้ามอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม ถึงแม้ภิกษุท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วยมีเหตุให้ต้องไปนอน โรงพยาบาล ตราบใดที่ภิกษุยังนอนรักษาตัวอยู่ก็ต้องมีอาจารย์กรรมไปเฝ้าไข้ตลอดเวลา อย่าให้เกินสองเลฑฑุบาตรไป

                                                                      อนาโรจนา 
    “อนาโรจนา” แปลว่า การไม่บอก หมายถึง การไม่บอกวัตร หรือ บอกอาการที่ตนประพฤติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมในสำนักที่ตนอยู่ประพฤติปริวาส นั้น การบอกวัตรของปริวาส ตามหลักพระวินัยเมื่อขอปริวาสแล้ว จะต้องบอกวัตรแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพียงครั้งเดียวก็อยู่ไปจนครบ ๓ ราตรีก็ได้

  ๐  สมาทานวัตร หรือ ขึ้นวัตร 
 ๐  การบอกวัตร 
 ๐  การเก็บวัตร

                                                                     การสมาทานวัตร
    การสมาทานวัตร หรือ ขึ้นวัตร เป็นวินัยกรรมเกี่ยวกับวุฎฐานวิธีอย่างหนึ่ง คือ เมื่อภิกษุต้องครุกาบัติแล้ว อยู่ปริวาสยังไม่ครบเวลาที่ปกปิดไว้ หรือ ประพฤติมานัตอยู่ยังไม่ครบ ๖ ราตรี พักปริวาสหรือมานัตเสียเนื่องจากมีเหตุอันจำเป็นอันควร เมื่อจะสมาทานวัตรใหม่เพื่อประพฤติปริวาสหรือมานัตที่เหลือนั้น เรียกว่า ขึ้นวัตร คือ การสมาทานวัตร
    การสมาทานวัตร นิยมสมาทานหลังจากที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมประจำวัน จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าปรก พอได้เวลา ตีสามหรือตามเวลาที่คณะสงฆ์กำหนด ก่อนทำวัตรเช้าก็สมาทานครั้งหนึ่ง ซึ่งการสมาทานวัตรเช่นนี้ไม่จำเป็นต้อง สมาทานทั้งเช้าและเย็น เพราะการสมาทานวัตรนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการเก็บวัตรแล้วก็ห้ามสมาทานซ้ำอีก ส่วนการ บอกวัตรนั้นจะบอกวันละกี่ครั้งก็ได้ ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า“อนิกฺชิตฺตวตฺตสฺส  ปุน  วตฺตสมาทานกิจฺจํ  นตฺถิฯ” ความว่า “กิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีกย่อมไม่มี แก่ผู้มิได้เก็บวัตร หรือสำหรับผู้มิได้เก็บวัตรไม่มีกิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีก” หมายความว่า ห้ามสมาทานวัตรซ้อนวัตรนั่นเอง

   “การบอกวัตร” นั้น ขณะประพฤติปริวาสไม่จำเป็นต้องบอกวัตรทุกวันก็ได้แต่การบอกทุกวันก็ไม่ได้มี ข้อจำกัดอะไร และการบอกวัตรต้องบอกแก่คณะสงฆ์ที่เป็นอาจารย์กรรมหมดทุกรูปตราบใดที่ยังไม่ ได้เก็บวัตร เมื่อเห็นพระอาคันตุกะมาก็ต้องบอกวัตรเช่นกันไม่ว่าเวลาไหนถ้าไม่บอกก็เป็นรัตติเฉท ถ้ามีเจตนาไม่บอกก็เป็นอาบัติทุกกฎและในเวลาที่พระอาคันตุกะผ่านมาและบอกวัตรนั้น มีขอบเขตเช่นไร ซึ่งมีมติของพระสังฆเสนาภยเถระว่า “วิสเย กิร อนาโรเจนฺคสฺส รตฺติจฺเฉทโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฏญฺจ โหติ อวิสเย ปน อุภยํปิ ตนฺถิฯ” ความว่า“ได้ยินว่าเมื่อไม่บอกในวิสัยเป็นรัตติเฉทด้วยเป็นทุกกฎเพราะวัตตเภทด้วย แต่ในเหตุสุดวิสัยไม่เป็น
ทั้งสองอย่างฯ(สมนต.๓/๒๘๙) ซึ่งเป็นมติที่เหมาะสม ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ภิกฺขเว อาสา อสฺสาทนเจตนา อตฺถิ สา จ โข อวิสเย อุปฺปนฺนตฺตา อพฺโพหาริกา อาปตฺติยา องฺคํ น โหติฯ “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เจตนาเป็นเหตุยินดีมีอยู่ แต่เจตนานั้นแลชื่อว่าเป็นอัพโพหาริก คือ"ไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ เพราะเกิดขึ้นในเหตุสุดวิสัยฯ” (สมนต.๒/๓) 

   ซึ่งการบอกวัตรนี้จะบอกใคร นิกายไหน หรือมีความแตกต่างไหนนั้น ซึ่งในคัมภีร์บาลีเดิมหรือชั้นอรรถกถาไม่ได้ใช้คำว่า นิกาย แต่ดูความแตกต่างที่ลัทธิปฏิบัติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะมีนิยามเกี่ยวกับ นานาสังวาส และ สมานสังวาส เช่น สงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และสงฆ์ฝ่ายมหานิกายจะเป็น นานาสังวาส หรือ สมานสังวาส นั้นจะได้นำความเห็นของพระอรรถกถาจารย์ เป็นดังนี้ “เยน สทฺธึ อุโปสถาทิโก สํวาโส อตฺถิ อยํ สมานสํวาสโก อิตโร นานาสํวาสโกฯ” ความว่า “ธรรมเป็นที่อยู่ร่วมกันมีอุโบสถเป็นต้น กับบุคคลใดมีอยู่ บุคคลนั้นชื่อว่า สังวาสเสมอกันฯ บุคคลนอกนั้น ชื่อว่าผู้เป็นนานาสังวาสกันฯ” (สมนต.๓/๔๙๑) 
   ส่วนเรื่องเวลาบอกวัตรนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่มติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเป็นผู้กำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยแห่งสงฆ์ ซึ่งการบอกวัตรนี้สามารถกำหนดตั้งแต่ได้อรุณจนถึง ๙ โมงเช้า ส่วนการบอกวัตรแก่พระอาคันตุกะ ก็สุดแท้แต่สงฆ์จะเป็นผู้กำหนด จะบอกเป็นรายบุคคลหากมารูปเดียว หรือมาสองรูปบอกสองรูป หรือสามรูป 
หรือสี่รูป ซึ่งถ้าสี่รูปจึงบอกเป็นสงฆ์ ซึ่งหากเป็นรายบุคคล
          มารูปเดียว   ใช้คำว่า   มํ  อายสมา  ธาเรตุ
          มาสองรูป    ใช้คำว่า   มํ  อายสฺมนตา  ธาเรนตุ 
          มาสามรูป    ใช้คำว่า   มํ  อายสฺมนฺโต  ธาเรนฺตุ 
          ส่วนสี่รูป      ใช้คำว่า  มํ  สงฺโฆ  ธาเรตุ 

     แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดและรัดกุมนั้น ควรบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด ไม่ว่าพระอาคันตุกะท่านจะมา หนึ่งรูป สองรูป สามรูป หรือสี่รูป หรือเกินนั้นก็ตาม เพราะถ้าบอกเป็นรายบุคคลก็ต้องนับพรรษาด้วย ดังนั้นจึงบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด เพราะทุกอย่างเป็นสังฆกรรมที่กระทำโดยสงฆ์ รับรองโดยสงฆ์ จึงใช้ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ ดีที่สุด
การเก็บวัตร
    “การเก็บวัตร”  ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งที่นิยมนั้นก็จะเก็บวัตรในเวลากลางวัน ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ในเวลากลางวันนั้นอาจมีพระอาคันตุกะแวะเวียนผ่านมาบ่อย เมื่อเก็บวัตรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกวัตร ซึ่งประโยชน์ของการเก็บวัตรนั้น ก็คือ การไม่ต้องบอกวัตรบ่อย ๆ และประโยชน์ในการที่คณะสงฆ์ทำสังฆกรรม 
เช่น ในวันออกอัพภาน ซึ่งอาจจะมีสงฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวินัยกำหนด ซึ่งในกรณีนี้ท่านอนุญาตให้ พระอัพภานารหภิกษ ุ(ภิกษุผู้ควรเรียก เข้าหมู่) ผู้เก็บวัตรแล้ว เข้าเป็นองค์นั่งในหัตถบาสเป็น ปูรกะภิกษุ ให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยกำหนด ดังมีอรรถกถา ว่า“คเณ ปน อปฺปโหนฺเต วตตํ นิกฺปิปาเปตฺวา  คณปูรโก กาตพฺโพฯ” ความว่า “ก็เมื่อคณะไม่ครบพึงให้ ปริวาสิกภิกษุ เก็บวัตร แล้วทำให้เป็นคณะปูรกะก็ควรฯ” ทั้งนี้เพราะ ภิกษุผู้เก็บวัตรแล้ว ก็คือ ปกตัตตภิกษุ(สงฆ์ปกติ) ที่ไม่ได้เข้ากรรม หรือ“อยํ หิ นิกฺขิปิตตฺวตฺตตฺตา ปกตตฺตฏฺฐาเน ฐิโตฯ” ความว่า “จริงอยู่ภิกษุนี้ ชื่อว่าตั้งอยู่ในฐานะปกตัตตภิกษุเพราะเธอเก็บวัตรเสียแล้วฯ” ดังนั้น ในวันออกอัพภาน จึงไม่ต้องเก็บวัตร เพราะต้องเสียเวลาในการสมาทานวัตรและ บอกวัตร และประโยชน์ของการไม่เก็บวัตรในวันออกอัพภาน ก็เพราะถ้าเก็บวัตรแล้วไม่สมาทานวัตรใหม่ คณะสงฆ์ก็ไม่สามารถสวดอัพภานให้ได้ เพราะสงฆ์จะทำกรรมกับผู้เก็บวัตรไม่ได้ทั้งนี้เพราะผู้เก็บวัตรเป็นปกตัตตภิกษุ ดังบาลีว่า “ปกตฺตตสฺส จ อพฺภานํ กาตุ น วฏฺฏติ ตสฺมา วตฺตํ สมาทเปตพฺพํฯ วตฺเต สมาทินฺเน อพฺภานารโห โหติฯ เตน วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตฺวา อพฺภานํ ยาจิตพฺพํฯ” ความว่า “และสงฆ์จะทำอัพภานแก่ปกตัตตภิกษุ ย่อมไม่ควร เพราะฉะนั้น พึงให้เธอสมาทานวัตร(ก่อน)ฯ เธอย่อมเป็นผู้ควรแก่อัพภานในเมื่อสมาทานวัตรแล้ว แม้เธอสมาทานวัตรแล้วก็ให้บอก(ก่อน) แล้วจึงขออัพภานฯ”นอกจาก นี้ก็มีการเก็บวัตรเพื่อเป็นอุปัชฌาย์ในท่านที่เป็นอุปัชฌาย์ หรือเป็นอาจารย์สวดในท่านที่เป็นพระกรรมวาจาดังบาลีว่า “อุปชฺฌา เยน หุตฺวา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปน อุปสมฺปาเหตํ วฏฺฏติฯ อาจริเยน หุตฺวา กมฺมวาจาปิ น สาเวตพฺพา อญฺญสฺมึ สกติ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา สาเวตํ วฏฺฏติฯ” ความว่า ป็นอุปัชฌาย์ไม่พึงให้อุปสมบท แต่จะเก็บวัตรแล้วให้อุปสมบทควรอยู่ฯ เป็นพระกรรมวาจาแล้ว แม้กรรมวาจาแล้ว แม้กรรมวาจาก็ไม่ควรสวด เมื่อภิกษุอื่นไม่มีจะเก็บวัตรแล้วสวด สมควรอยู่ฯ” แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายตราบที่ยังมีสงฆ์ทำสังฆกรรมอยู่ ทั้งนี้ด้วยมีพระบาลีว่า “วิหารเชฏฺฐกฏฺฐานํ น กาตพฺพํ ปาฏิโมกฺขุทฺเทศเกน วา ธมฺมชฺเฌสเกน วา น ภวิตพฺพํฯ” ความว่า (ภิกษุ ผู้ประพฤติวุฏฐานวิธี) ไม่พึงรับตำแหน่งหัวหน้าในวิหาร คือไม่พึงเป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ หรือ เชิญแสดงธรรมฯ สมดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้อยู่ปริวาสพึงประพฤติชอบ ด้วยการประพฤติดังต่อไปนี้.. พึงพอใจด้วยอาสนะสุดท้าย ที่นอนสุดท้ายที่สงฆ์จะพึงให้แก่เธอดังนี้ฯ

  มานัต คือ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ หมายถึง นับราตรี  การนับราตรี การนับราตรี หรือ มานัต นั้น เป็นเงื่อนไขต่อจากการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เมื่ออยู่ปริวาส ๓ ราตรี หรือตามที่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว เมื่อคณะสงฆ์พิจารณาว่า ปริวาส ที่ภิกษุประพฤตินั้นบริสุทธิ์ในการพิจารณาของสงฆ์แล้ว 
สงฆ์ก็จะเรียกผู้ประประพฤติปริวาสนั้นว่า “มานัตตารหภิกษุ” แปลว่า “ภิกษุผู้ควรแก่มานัต” มานัต หรือการนับราตรีนั้น ได้แก่การ นับราตรี ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเกินกว่านี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าน้อยกว่า ๖ ราตรีไม่ได้ ซึ่งเป็นพระวินัยกำหนดไว้เช่นนั้น ซึ่งการนับราตรีของ มานัต นั้นก็มีเงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้เช่นกัน เรียกว่าการขาดแห่งราตรี หรือ การนับราตรีเป็นโมฆะ ซึ่งการนับราตรีไม่ได้นี้เรียกว่า "รัตติเฉท" 

เงื่อนไขแห่ง “รัตติเฉท” ของมานัต 

เงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้ สำหรับ มานัต มีด้วยกัน ๔ อย่าง คือ

     ๐  สหวาโส คือ   การอยู่ร่วม 
     ๐  วิปปวาโส คือ  การอยู่ปราศ 
     ๐  อนาโรจนา คือ  การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ 
     ๐  อูเน คเณ จรณํ คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง

สหวาโส   คือ การอยู่ร่วม มีข้อกำหนดเหมือนปริวาส ไม่มีข้อแตกต่างกัน 
วิปปวาโส คือ การอยู่ปราศ หรือ อยู่ในถิ่นอาวาสที่ไม่มีสงฆ์อยู่เป็นเพื่อน 
     ในส่วนข้อนี้มีความแตกต่างตรงที่ การประพฤติปริวาสนั้นจะสมาทานประพฤติวัตรกับคณะสงฆ์อ  าจารย์กรรมรูปเดียวก็ได แต่ มานัต นั้น ต้องสมาทานกับสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป หรือ ในกรณีที่ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธขึ้นในระหว่าง มานัต จำต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป 
ไปเฝ้าไข้ ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องอนุญาตให้ไปรักษาอาพาธนั้นให้หายเป็นปกติก่อน เมื่อหายเป็นปกติแล้วให้ภิกษุนั้น กลับมาสมาทานวัตรเพียงรูปเดียวในภายหลัง(แต่ถ้าเก็บวัตรแล้วก็ไม่เป็นไร) ส่วนการบอกวัตรนั้นถ้าบอกเป็นครั้งแรกในวันนั้นต้องบอกกับสงฆ์หมดทุกรูป แต่ถ้าการบอกวัตรนั้นเป็นการบอกครั้งที่สองไม่ต้องบอกหมด ทุกรูป ยกเว้นเมื่อบอกวัตร ไปแล้วในขณะนั้น แต่ชั่วครู่นั้นมีพระอาคันตุกะแวะเวียนเข้ามา การบอกวัตรครั้งที่สองนี้จะบอกเดี่ยวสำหรับ พระอาคันตุกะ หรือจะบอกเป็นสงฆ์ก็ได้ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์ พระอาจารย์กรรมกำหนด ซึ่งถ้าบอกเป็นสงฆ์ก็ต้องหาพระอาจารย์กรรมรวมทั้งพระอาคันตุกะนั้นให้ครบองค์สงฆ์คือ ๔ รูป 
แต่ส่วนมากจะบอกเดี่ยวเพื่อความสะดวกรวดเร็ว 

อนาโรจนา คือ การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ ซึ่งการประพฤติ มานัต นั้น จะต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้     แตกต่างกับปริวาสซึ่งจะบอกก็ได้ไม่บอกก็ได้ เพราะอยู่ปริวาสนั้นบอกวัตรครั้งเดียวแล้วอยู่ต่อไปอีกสามวันโดยที่ไม่บอกอีกก็ได้ ทั้งนี้หมายความว่าจะต้องไม่ทำผิดกฎข้ออื่น ๆ อีก

 อูเน คเณ จรณํ คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง 
   หมายถึง การประพฤติวัตรของพระมานัตในที่ที่มีสงฆ์ไม่ครบ ๔ รูปตามพระวินัยกำหนด เช่นนี้ถือว่า ประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง ซึ่งจะทำให้การนับราตรีเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้

                                มานัต หรือการนับราตรี นั้น มีอยู่ ๔ อย่าง คือ

๐  อัปปฏิจฉันนมานัต คือ เป็นมานัตที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส สามารถขอมานัตได้เลย     ยกเว้นพวกเดียรถีย์ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน 
๐  ปฏิฉันนมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติไว้ หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
๐  ปักขมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุณี ๑๕ ราตรีเท่านั้น(ครึ่งปักษ์) จะปิดอาบัติไว้หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม 
๐  สโมธานมานัต คือ มานัตที่มีไว้เพื่ออาบัติที่ประมวลเข้าด้วยกันอันเนื่องมาจากสโมธานปริวาส นั้น  ซึ่งสโมธานมานัต นี้เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน

 อัพภาน คือ การที่สงฆ์เรียกเข้าหมู่ หรือ การที่ภิกษุท่านได้ชำระสิกขาบทที่ได้ทำให้ตนมัวหมอง0นผ่านขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส การขอมานัต นับราตรีจนครบกระบวนการขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธี ตามที่พระวินัยกำหนด จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ สงฆ์เรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่แห่งสงฆ์ เป็นสงฆ์ปกติไม่มีความมัวหมองด่างพร้อยติดตัวแล้ว จึงเป็นการให้ อัพภาน
ซึ่งการให้ อัพภาน นี้ พระวินัยกำหนดให้สงฆ์สวดเรียกเข้าหมู่โดยต้องใช้สงฆ์สวดจำนวน ๒๐ รูป ขึ้นไป เมื่อสงฆ์ ๒๐ รูป ทำสังฆกรรมสวดเรียกเข้าหมู่ให้แล้ว ก็ถือเป็นสิ้นสุดกระบวนการประพฤติวุฏฐานวีธี ในทางพระวินัย ภิกษุนั้น ๆ ก็ เป็นภิกษุผู้บริสุทธิ์ เป็น “ปริสุทโธ”

 การกำหนดองค์สงฆ์ที่ต้องทำกรรมในการประพฤติวุฏฐานวิธี มี ๒ ประเภท คือ

 ๑.  จตุวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๔ รูป (หรือ ๕ รูปรวมองค์สวด) ให้ปริวาส ให้มานัต ให้ปฏิกัสสนาฯ 
๒.  วีสติวรรคสงฆ์ มีจำนวน ๒๐ รูป (๒๑ รวมองค์สวด) ให้อัพภาน

                                  วิธีการสวดให้ปริวาส และ อัพภาน มีอยู่ ๓ วิธี คือ

 ๑.  วิธีการขอหมู่  สวดหมู่ ซึ่ง การขอหมู่ สวดหมู่ ก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส      มานัตและอัพภาน ซึ่งภิกษุที่ขอหมู่ก็คือ สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าสวดขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป  ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน) 
๒.  วิธีการขอหมู่ สวดเดี่ยว ซึ่งก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัตและอัพภาน      ซึ่งสงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป แต่ให้สวดครั้งละหนึ่งรูปคือสวดองค์เดียว  เดี่ยว ๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด  (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน) 
๓.  วิธีการขอเดี่ยว สวดเดี่ยว ก็คือ  สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสครั้งละ ๑ รูป และให้สวดครั้งละ หนึ่งรูปคือสวดองค์เดียวเดี่ยว ๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป  รวมองค์สวด (และ ๒๑ รูป กรณีให้อัพภาน)

                                                         วิธีการขอปริวาสกรรม  

  ภิกษุผู้จะขอปริวาส พึงเตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม ห่มผ้าเฉวียงบ่า (ห่มดองรัดอกแบบจีบจีวร) เข้าไปหาสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ในเขตพัทธสีมา แล้วถวายเครื่องสักการะ ครั้นถวายสักการะแล้ว กราบสามครั้ง ถอยห่างจากหัตถบาสสงฆ์ในระยะพอสมควรแล้ว กล่าวคำขอจุลสุทธันตปริวาสต่อสงฆ์ดังนี้

                                   คำขอสุทธันตปริวาสอย่างจุลสุทธันตะ 
          อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          อาปัตติปะริยันเต  เอกัจเจ  เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โสหัง ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปริวาสัง ยาจามิ. 
     อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โสหัง ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปริวาสัง ยาจามิ. 
          อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โสหัง ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปริวาสัง ยาจามิฯ.

                                        กรรมวาจาให้สุทธันตปริวาส 
(คำที่ขีดเส้นใต้ให้ใสชื่อพระภิกษุที่ขอสุทธันตปริวาส)

    สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา
          สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ 
          ทุติยัมปิ   วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ 
          ตะติยัมปิ  วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  สะราติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  สะราติ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจะติ  ยะทิ 
          สังฆัสสะ  ปัตตะกัลลัง  สังโฆ  อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง 
          อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ทะเทยยะ  เอสา  ญัตติ. 
     สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา 
     สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจะติ  สังโฆ 
     อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  
     เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง 
     สุทธันตะปริวาสัสสะ ทานัง โน ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. 
          ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ 
          อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจะติ  สังโฆ 
          อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  
          เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง 
          สุทธันตะปริวาสัสสะ ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. 
     ตะติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ 
     อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     รัตติปะริยันตัง      เอกัจจัง  ชานาติ  เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง   สะระติ  เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจะติ  สังโฆ 
     อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  เทติ 
     ยัสสายัสมะโต ขะมะติ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง 
     สุทธันตะปริวาสัสสะ ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. 
     ทินโน สังเฆนะ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง 
     อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาโส ขะมะติ สังฆัสสะ 
     ตัสมา ตุณหิ เอวะเมตัง ธาระยามิฯ

 คำสมาทานปริวาส 
ปริวาสัง  สะมาทิยามิ  วัตตัง  สะมาทิยามิ 
ทุติยัมปิ  ปะริวาสัง  สะมาทิยามิ  วัตตัง  สะมาทิยามิ 
ตะติยัมปิ  ปะริวาสัง  สะมาทิยามิ  วัตตัง  สะมาทิยามิฯ

 คำบอกสุทธันตปริวาส 
          อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
          อาปัตติปะริยันตัง   เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     รัตติปะริยันตัง      เอกัจจัง  ชานามิ  เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต       เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โสหัง  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ยาจิง  ตัสสะ  เม 
     สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โสหัง 
     ปะริวาสามิ  เวทะยามะหัง  ภันเต  เวทะยะตีติ  มัง  สังโฆ  ธาเรตุฯ

การเก็บปริวาส 
          วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ 
          ทุติยัมปิ   วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ 
          ตะติยัมปิ  วัตตัง   นิกขิปามิ  ปะริวาสัง   นิกขิปามิ

วิธีการขอมานัต

ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสพอสมควรและถูกต้องตามพระวินัยแล้ว ชื่อว่าเป็น มานัตตารหะผู้ควรแก่มานัต เมื่อจะขอมานัตพึงเตรียม ดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม ห่มผ้าเฉวียงบ่า (ห่มดองรัดอกแบบจีบจีวร) เข้าไปหาสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ในเขตพัทธสีมา แล้วถวายเครื่อง สักการะดอกไม้ธูปเทียน ครั้นถวายสักการะแล้ว นั่งคุกเข่ากราบ ๓ หน ตั้งนะโม ๓ จบ   ถอยห่างจากหัตถบาสสงฆ์ในระยะพอสมควรแล้ว ่าวคำสมาทานปริวาสและบอกปริวาสต่อสงฆ์(ดังคำสมาทานและคำบอก ที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว) เมื่อได้กล่าวสมาทานปริวาสแล้วบอก ปริวาส ครั้นบอกแล้ว เข้าไปหัตถบาสสงฆ์ขอมานัตต่อสงฆ์ดังนี้

 คำขอมานัต

     อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง                   
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โสหัง  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ยาจิง  ตัสสะ  เม 
     สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โสหัง ภันเต 
     ปะริวุตถะปะริวาโส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  ยาจามิ. 
          อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โสหัง  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ยาจิง  ตัสสะ  เม 
          สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โสหัง 
          ปะริวุตถะปะริวาโส  ทุติยัมปิ  ภันเต  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  
          ฉารัตตัง  มานัตตัง  ยาจามิ. 
     อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โสหัง  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ยาจิง  ตัสสะ  เม 
     สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โสหัง 
     ปะริวุตถะปะริวาโส  ตะติยัมปิ  ภันเต  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง                
     ฉารัตตัง  มานัตตัง  ยาจามิ.

กรรมวาจาให้มานัต 

 สุณาตุ  เม  ภันเต  สังโฆ  อะยัง  อิตถันนาโม ภิกขุ  สัมพะหุลา        
          สังฆาทิเสสา  อาปัตติโย  อาปัชชิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจิ  ตัสสะ  
          สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โส 
          ปะริวุตถะปะริวาโส   สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง 
          ยาจะติ  ยะทิ  สังฆัสสะ  ปัตตะกัลลัง  สังโฆ  อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน 
          ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  ทะเทยะ  เอสา  ญัตติฯ 
     สุณาตุ  เม  ภันเต  สังโฆ  อะยัง  อิตถันนาโม ภิกขุ  สัมพะหุลา 
     สังฆาทิเสสา  อาปัตติโย  อาปัชชิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจิ  ตัสสะ สังโฆ  
     ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โส ปะริวุตถะปะริวาโส   
     สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง ยาจะติ  สังโฆ
     อิตถันนามัสสะ  ภิกขุโน ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  เทติ  
     ยัสสายัสมะโต  ขะมะติ  อิตถันนามัสสะ  ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  
     ฉารัตตัง  มานัตตัสสะ  ทานัง  โส  ตุณหัสสะ  ยัสสะ  นักขะมะติ  โส  ภาเสยยะฯ 
          ทุติยัมปิ  เอตะมัตถัง  วะทามิ  สุณาตุ  เม  ภันเต  สังโฆ  อะยัง 
          อิตถันนาโม ภิกขุ  สัมพะหุลา  สังฆาทิเสสา  อาปัตติโย  อาปัชชิ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
          อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจิ  ตัสสะ สังโฆ  
          ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิโส ปะริวุตถะปะริวาโส   
          สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง ยาจะติ  สังโฆ 
          อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  เทติ  
          ยัสสายัสมะโต  ขะมะติ  อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  
          ฉารัตตัง  มานัตตัสสะ  ทานัง  โส  ตุณหัสสะ  ยัสสะ นักขะมะติ  โส  ภาเสยยะฯ 
     ตะติยัมปิ  เอตะมัตถัง  วะทามิ  สุณาตุ  เม  ภันเต  สังโฆ  อะยัง 
     อิตถันนาโม ภิกขุ  สัมพะหุลา  สังฆาทิเสสา  อาปัตติโย  อาปัชชิ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานาติ   เอกัจจัง  นะ  ชานาติ 
     อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ 
     รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะระติ   เอกัจจัง  นะ  สะระติ     
     อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
     โส  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  ยาจิ  ตัสสะ สังโฆ  
     ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โส ปะริวุตถะปะริวาโส   
     สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง ยาจะติ  สังโฆ 
     อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  เทติ  
     ยัสสายัสมะโต  ขะมะติ  อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน  ตาสัง อาปัตตีนัง  
     ฉารัตตัง  มานัตตัสสะ  ทานัง  โส  ตุณหัสสะ  ยัสสะ  นักขะมะติ  โส  ภาเสยยะฯ

          ทินนัง  สังเฆนะ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน 
          ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  ขะมะติ 
          สังฆัสสะ  ตัส?มา  ตุณ?หี เอวะเมตัง  ธาระยามิฯ

คำสมาทานมานัต 
          มานัตตัง  สมาทิยามิ    วัตตัง  สะมาทิยามิ 
          ทุติยัมปิ   มานัตตัง   สะมาทิยามิ  วัตตัง  สะมาทิยามิ 
          ตะติยัมปิ  มานัตตัง   สะมาทิยามิ   วัตตัง  สะมาทิยามิ 

คำบอกมานัต 
         อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง 
         อาปัตติปะริยันตัง   เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
          รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  ชานามิ   เอกัจจัง  นะ  ชานามิ 
         อาปัตติปะริยันตัง  เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
         รัตติปะริยันตัง       เอกัจจัง  สะรามิ   เอกัจจัง  นะ  สะรามิ 
          อาปัตติปะริยันเต   เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
          รัตติปะริยันเต        เอกัจเจ   เวมะติโก  เอกัจเจ  นิพเพมะติโก 
         โสหัง  สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปริวาสัง  ยาจิง  ตัสสะ  เม 
          สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  สุทธันตะปะริวาสัง  อะทาสิ  โสหัง 
          ปะริวุตถะปะริวาโส   สังฆัง  ตาสัง  อาปัตตีนัง   ฉารัตตัง  มานัตตัง  
          ยาจิง  ตัสสะ  เม  สังโฆ  ตาสัง  อาปัตตีนัง  ฉารัตตัง  มานัตตัง  อะทาสิ 
         โสหัง  มานัตตัง  จะรามิ  เวทะยามะหัง  ภันเต  เวทะยะตีติ  มัง  สังโฆ  ธาเรตุ. 

คำเก็บมานัต 
          วัตตัง   นิกขิปามิ  มานัตตัง   นิกขิปามิ 
          ทุติยัมปิ   วัตตัง   นิกขิปามิ  มานัตตัง   นิกขิปามิ 
           ตะติยัมปิ  วัตตัง   นิกขิปามิ  มานัตตัง   นิกขิปามิ

ลำดับ
วันที่จัดงาน
สถานที่จัดงาน
เบอร์โทรศัพท์
1.
หลังออกพรรษา 2 วัน
วัดหนองพันเท้า (จ.ต.) ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120
034-541123
2.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดตะโม่ (จ.ต.) ต.ปลัดแรด อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก 65140
055-371496
3.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดบุษยะบรรพต (จ.ต.) ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77110
032-512377
4.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดราหุล ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี 16160
01-4587622
5.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดม่วงบูรพาราม (จ.ต.) ต.บัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา 30120
044-461746
6.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดป่าหลักร้อย (จ.ต.) ต.โนนไทย อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา 30220
044-381076
7.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดหนองระเวียง (จ.ต.) ต.หนองระเวียง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา 30110
044-249124
8.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดดาวโด่งสิตตาราม ต.คลองเขิน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม 75000
034-752268-9
9.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดพระธาตุดอยเกิ้ง ต.ท่าเดื่อ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ 50260
01-7648307
10.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดพระบาทมะขาม ต.มะขาม อ.มะขาม จ.จันทบุรี 22150
039-389086
11.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดโปร่งขนมจีน ต.แก่งหางแมว อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี 22160
01-3059658
12.
หลังออกพรรษา 3 วัน
วัดเนินโพธิ์เจริญ ต.หนองม่วง อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี 15170
-
13.
หลังออกพรรษา 5 วัน
วัดเสาธงทอง ต.บางมัน อ.เมือง จ.สิงห์บุรี 16000
-
14.
หลังออกพรรษา 5 วัน
วัดบ่อพลับ ต.เนินกว่าง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ 60170
056-297197
15.
หลังออกพรรษา 5 วัน
วัดสระมรกต ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี 25091
037-276084
16.
หลังออกพรรษา 5 วัน
วัดหนองสนม ถนนสุขุมวิท ต.เนินพระ  อ.เมือง  จ.ระยอง 21000
038-612513, 01-6502564
17.
หลังออกพรรษา 7 วัน
วัดวังเย็น ต.วังเย็น อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71000
01-1947903
18.
หลังออกพรรษา 7 วัน
วัดประดู่ลาย ต.คลองแม่ลา อ.เมือง กำแพงเพชร 62000
-
19.
หลังออกพรรษา 8 วัน
วัดภูพานด่านสาวคอยวนาราม ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม 48130
01-5584809
20.
หลังออกพรรษา 9 วัน
วัดฟากบึง ต.นาอิน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ 53120
01-8863278
21.
หลังออกพรรษา 10 วัน
วัดดงกลาง ต.ดงกลาง อ.เมือง จ.พิจิตร 66170
01-6047735
22.
หลังออกพรรษา 15 วัน
วัดดอยเขาน้อย ต.สวนเขื่อน อ.เมือง จ.แพร่ 54000 
06-1146215
23.
หลังออกพรรษา 15 วัน
วัดธรรมรังสี ต.สามกระทาย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77150
032-688864
24.
หลังออกพรรษา 15 วัน
ที่พักสงฆ์ป่าหนองชุม ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร 35150
01-5798142
25.
หลังสอบธรรม 1 วัน
วัดสิงคาราม (จ.ต.) ต.สลกบาตร อ.ขานุวรลักษณ์ จ.กำแพงเพชร 62140
055-771481
26.
หลังสอบธรรม 2 วัน
วัดป่าหนองบัว ต.หนองบัว อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ 60110
06-2125518
27.
หลังสอบธรรม 2 วัน
วัดหนองปลิง ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 62000
01-6746454
28.
หลังสอบธรรม 2 วัน
วัดปลักไม้ลาย ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140
-
29.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดท่าคอย ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี 76132
032-461556
30.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดขุนซ่อง ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี 22160
039-428027
31.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดชุมแสงวนาราม ต.หมอนนาง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี 20140
038-293399
32.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดวังคัน ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี 72180
01-5277003
33.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา 13130
035-224979
34.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดโพธิ์ทองเจริญ ต.พลับพลาชัย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 72160
-
35.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดป่าอาสภาวาส ต.หินตั้ง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น 40110
-
36.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดคลองลาน ต.คลองลาน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร 62180
055-735182
37.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดป่าธรรมสุข ต.นายายอาม อ.นายายอาม จ.จันทบุรี 22160
-
38.
หลังสอบธรรม 3 วัน
วัดพลกรัง ต.พลกรัง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000
-
39.
หลังสอบธรรม 5 วัน
วัดช่องลาภ (จ.ต.) ต.หนองพัน อ.บ้านคา จ.ราชบุรี 70180
01-2132831
40.
หลังสอบธรรม 5 วัน
วัดเชิงเขา (จ.ต.) ต.ลิ่นถิ่น อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี 71180
01-9134320
41.
หลังสอบธรรม 7 วัน
วัดกุญชรชาติการาม ต.นรสิงห์ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง 14130
01-9485775
42.
วันที่ 4 พ.ย.
วัดเครือเขาโค้ง ต.วังสำโรง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร 66120
06-2108749
43.
วันที่ 15 พ.ย.
วัดชายเคืองวนาราม ต.เกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา 24120
01-6510668
44.
วันที่ 18 พ.ย.
วัดสระพังทอง ต.หนองย่างชิ้น อ.เรณุนคร จ.นครพนม 48170
-
45.
วันที่ 24 พ.ย.
วัดเพชรจันทรส ต.จันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ 67160
056-718205
46.
วันที่ 25 พ.ย.
วัดหนองอีเหลย ต.ในเมือง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130
01-4630866
47.
วันที่ 1 ธ.ค. 
สำนักวิปัสสนาดงเย็น ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 72160
035-505808
48.
วันที่ 1 ธ.ค.
วัดศรีเชียงใหม่ ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย 43130
042-452027
49.
วันที่ 1 ธ.ค.
วัดโคนอน ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
02-4771404
50.
วันที่ 1 ธ.ค.
วัดป่าสันติธรรมนาเวง ต.ท่าเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000
06-2261128
51.
วันที่ 1 ธ.ค.
วัดดาวโด่งสิตตาราม ต.คลองเขิน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม 75000
034-752268-9
52.
วันที่ 2 ธ.ค. 
วัดบูรพาราม (อารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 45000
043-511374
53.
วันที่ 3 ธ.ค..
วัดศรีเมืองธรรมคุณ ต.โนนสมบูรณ์ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย 43140
06-2242938
54.
วันที่ 5 ธ.ค.
วัดปฐมพานิช (จ.ต.) ต.บ้านหมี่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี 15110
036-471599
55.
วันที่ 5 ธ.ค.
วัดถ้ำยอดทอง ต.ทุ่งหลวง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี 70140
032-376231
56.
วันที่ 8 ธ.ค.
วัดบางพลีใหญ่ ต.บางพลี อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540
02-3373455
57.
วันที่ 10 ธ.ค.
วัดห้วยทรายใต้ (จ.ต.) ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 76120
032-442090
58.
วันที่ 10 ธ.ค.
สำนักสงฆ์อรุณเจดีย์ ต.ทะเลบก อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี 72170
01-3741762
59.
วันที่ 10 ธ.ค.
วัดโนนสวรรค์ ต.นาอ้อ อ.นาอ้อ จ.เลย 42100
06-8643835
60.
วันที่ 11 ธ.ค.
วัดหน้าวัว ต.เจ้าปลุก อ.มหาราช จ.อยุธยา 13150
01-5708234
61.
วันที่ 12 ธ.ค.
วัดบางกระดาน ต.บางปิด อ.แหลมงอก จ.ตราด 23120
039-547238
62.
วันที่ 12 ธ.ค.
วัดม่อนฤาษี ต.ดอยหล่อ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ 50160
035-369512
63.
วันที่ 13 ธ.ค.
วัดสระกลอย ต.รางสาลี่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี 71110
01-7572728
64.
วันที่ 13 ธ.ค.
วัดป่าพุทธชัยมงคล ต.ในเมือง อ.บ้านใหม่ จ.ขอนแก่น 40110
043-273585
65.
วันที่ 14 ธ.ค.
วัดกลางราชครูธาราม ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง 14110
035-631290
66.
วันที่ 14 ธ.ค.
วัดแดนสงบแสงธรรม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 80000
044-214134
67.
วันที่ 14 ธ.ค.
วัดป่าเจริญธรรมกาย ต.บัวแดง อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด 45190
043-587042
68.
วันที่ 15 ธ.ค.
วัดโบสถ์ ต.บางกุ้ง อ.บางคณฑี จ.สมุทรสงคราม 75120
0349761269
69.
วันที่ 15 ธ.ค.
วัดวังหน่อไม้ ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี 72180
06-1634695
70.
วันที่ 16 ธ.ค.
วัดสุธาทิพย์ (จ.อ.) ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี 41130
-
71.
วันที่ 19 ธ.ค.
วัดพุแค ต.สามแยกพุแค อ.เมือง จ.สระบุรี 18000
036-369034
72.
วันที่ 20 ธ.ค.
วัดวิสุทธิมรรค ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 41160
024-282225
73.
วันที่ 20 ธ.ค.
สำนักสงฆ์เขานกยูง ต.นาป่า อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000
09-2442214
74.
วันที่ 20 ธ.ค.
วัดบรรพตเขมาราม ต.นาแขม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี 25110
01-6672372
75.
วันที่ 20 ธ.ค.
วัดหนองแวง ต.หนองบัว อ.คง จ.นครราชสีมา 30260
01-0757527
76.
วันที่ 20 ธ.ค.
วัดดอนแก้ว ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110
-
77.
วันที่ 22 ธ.ค.
วัดสาธุชนาราม ต.บางแค อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม 75110
034-749230
78.
วันที่ 24 ธ.ค.
วัดพระธาตุดอยเวียงฮ้อ ต.ป่างิ้ว อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 57-170
053-952184
79.
วันที่ 25 ธ.ค.
วัดศรีโอภาส ต.ศรีสัชนาลัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย 64130
01-9629826
80.
วันที่ 25 ธ.ค.
วัดถ้ำสำเภาทอง ต.ทุ่งคา อ.เมือง จ.ชุมพร 86100 
077-554166
81.
วันที่ 28 ธ.ค.
วัดบึงสามกา ต.คลองเก้า อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000
02-905992
82.
วันที่ 29 ธ.ค.
วัดใหม่บางคล้า ต.บางสวน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา 24110
09-5418155
83.
วันที่ 2 ม.ค.
วัดนันทิการาม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
043-222322
84.
วันที่ 3 ม.ค.
วัดประคำอารามศรี ต.บ้านปราง อ.คง จ.นครราชสีมา 30260
-
85.
วันที่ 4 ม.ค.
วัดป่าตลุมพุก ต.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ 31180
07-2394416
86.
วันที่ 5 ม.ค.
วัดบางแก้ว (จ.ต.) ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 24000 
038-856382
87.
วันที่ 5 ม.ค.
สำนักสงฆ์มหาราช  ต.จานใหญ่  อ.กันทรลักษณ์  จ.ศรีษะเกษ  33110
-
88.
วันที่ 5 ม.ค.
วัดป่าฤกษ์อุดม  ต.โนนงาม  อ.ปทุมราชวงศา  จ.อำนาจเจริญ  37110
09-8442878
89.
วันที่ 5 ม.ค.
วัดป่าชลประทานศรัทธา  ต.น้ำพอง  อ.น้ำพอง  จ.ขอนแก่น  40310 
043-441360
90.
วันที่ 6 ม.ค. 
วัดโพรงเข้  ต.เกาะแก้ว  อ.โคกสำโรง  จ.ลพบุรี  15120
01-5703604
91.
วันที่ 6 ม.ค.
วัดเพลียขวา  ต.ผึ้งหลวง  อ.เฉลิมพระเกียรติ  จ.สระบุรี  18000 
036-221794
92.
วันที่ 7 ม.ค.
วัดเลขธรรมกิตต์ (จ.ต.)  ต.บางอ้อ  อ.บางนา  จ.นครนายก  26110
037-335283
93.
วันที่ 7 ม.ค.
วัดดอนค่า  ต.แม่พลู  อ.ลับแล  จ.อุตรดิตถ์  53130 
055-457493
94.
วันที่ 8 ม.ค.
วัดพุทธโมกข์  ต.นาแก้ว  อ.โพนนาแก้ว  จ.สกลนคร  47230
01-8714065
95.
วันที่ 8 ม.ค.
วัดป่าหนองดงสะแนน  ต.เหล่าหลวง  อ.เกษตรวิสัย  จ.ร้อยเอ็ด  45150
06-1002347
96.
วันที่ 9 ม.ค.
วัดป่าช้าดอนคณฑา  ต.ขุนทอง  อ.บัวใหญ่  จ.นครราชสีมา  30120
-
97.
วันที่ 9 ม.ค.
วัดบึงกระจับ  ต.หนองแหน  อ.พนมสารคาม  จ.ฉะเชิงเทรา  24120
01-8642254
98.
วันที่ 9 ม.ค.
วัดหัวเขาสมอคล้า (จ.ต.)  ต.วังฆ้อง  อ.พรหมพิราม  จ.พิษณุโลก  65150
-
99.
วันที่ 9 ม.ค. 
วัดมณีไพรสณฑ์  (จ.ต.)  ต.แม่สอด  อ.แม่สอด  จ.ตาก  63110
055-531319
100.
วันที่ 9 ม.ค.
วัดอุดมไพรสณฑ์ (ร.จ.อ.- รับพรรษา 3)  ต.รอบเมือง  อ.เมือง  จ.ร้อยเอ็ด
09-5761461







101.
วันที่ 10 ม.ค.
วัดพระธาตุห้าดวง  ต.ลี้  อ.ลี้  จ.ลำพูน  51110
053-570244
102.
วันที่ 10 ม.ค.
วัดสวนวิเวก  ต.ไร่เก่า  อ.สามร้อยยอด  จ.ประจวบคีรีขันธ์  77180
09-9145510
103.
วันที่ 10 ม.ค.
วัดสวนวิเวกอาศรมพรหมรังสี  ต.ประดัง  อ.สะเดา  จ.สงขลา  90120
-
104.
วันที่ 10 ม.ค.
วัดสันติวนาราม  ต.บ้านเชียง  อ.หนองหาน  จ.อุดรธานี  41320
-
105.
วันที่ 11 ม.ค.
วัดป่าศรีพนาวัน (จอมศรี)  ต.หนองแวง  อ.เมือง  จ.ร้อยเอ็ด  45000
-
106.
วันที่ 12 ม.ค.
วัดราษฎร์เจริญธรรม  ต.ช่องแคบ  อ.พบพระ  จ.ตาก  63160
055-520218
107.
วันที่ 16 ม.ค.
วัดเลียบบูรพาราม  ต.เมืองใต้  อ.เมือง  จ.ศรีษะเกษ  33001
045-613306
108.
วันที่ 17 ม.ค.
วัดบ่อสุพรรณ (หัววัง)  ต.บ่อสุพรรณ  อ.สองพี่น้อง  จ.สุพรรณบุรี  72190
06-8940685
109.
วันที่ 17 ม.ค.
วัดปีกวงฆ้อง  ต.ท่าไม้  อ.ชุมแสง  จ.นครสวรรค์  60120
056-353106
110.
วันที่ 17 ม.ค.
วัดป่าอุทยาน (หนองผึ้ง)  ต.หนองแคน  อ.ปทุมรัตน์  จ.ร้อยเอ็ด  45190
09-9425683
111.
วันที่ 17 ม.ค.
วัดชุมพวา  ต.ชุมพวง  อ.ชุมพวง  จ.นครราชสีมา  30270
093-437536
112.
วันที่ 19 ม.ค.
วัดสว่างบุ้งคล้า (จ.ต.)  ต.ลาดพัฒนา  อ.เมือง  จ.มหาสารคาม  44000
043-795028
113.
วันที่ 19 ม.ค.
วัดด่านเกวียน  ต.โตนด  อ.โนนสูง  จ.นครราชสีมา  30160
-
114.
วันที่ 19 ม.ค.
วัดลำนารายณ์  (จ.ต.)  ต.ลำนารายณ์  อ.ชัยบาดาล  จ.ลพบุรี  15130
036-461016
115.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดถลุงทอง  ต.หินตก  อ.ร่อนพิบูลย์  จ.นครศรีธรรมราช  80350
01-0810131
116.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดป่าพุทธนิมิตร  ต.บ้านผือ  อ.จอมพระ  จ.สุรินทร์  32180
06-2387848
117.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดเกรียงไกรใต้  ต.เกรียงไกร  อ.เมือง  จ.นครสวรรค์  60000
056-274055
118.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดหนองบัวงาม  ต.ไทรย้อย  อ.เนินมะปราง  จ.พิษณุโลก  65190
-
119.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดปรางสีดา  ต.สีดา  กิ่ง อ.สีดา  จ.นครราชสีมา  30430
06-2526360
120.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดป่ามันพ่น  ต.หมากผ้า  อ.เมือง  จ.อุดรธานี  41000
-
121.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดป่าช้าโศกเก่า  ต.เขาแก้ว  อ.เชียงคาน  จ.เลย  42110
-
122.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดถ้ำเขาลอย  ต.เขาวง  อ.แก่งหางแมว  จ.จันทบุรี  22160
039-437536
123.
วันที่ 20 ม.ค.
วัดป่าอุทยาน (หนองผึ้ง)  ต.หนองแคน  อ.ปทุมรัตน์  จ.ร้อยเอ็ด  45190
09-9425683
124.
วันที่ 20 ม.ค.
ศูนย์ปฏิบัติธรรมหนองเสากี่  ต.ค.  อ.คง  จ.นครราชสีมา  30260
01-0757527
125.
วันที่ 21 ม.ค. 
วัดป่าพรหมยาน  รุ่นที่ 1  ต.วังเย็น  อ.แปลงยาว  จ.ฉะเชิงเทรา  24190
06-0704242
126.
วันที่ 21 ม.ค.
วัดคลองมะเกลือ  ต.วงฆ้อง  อ.พรหมพิราม  จ.พิษณุโลก  65180
-
127.
วันที่ 21 ม.ค. 
วัดเขาเจริญสุข  ต.เขาหินซ้อน  อ.พนมสารคาม  จ.ฉะเชิงเทรา  24120
038-599049
128.
วันที่ 22 ม.ค.
ธรรมสถานลานโพธิ์บ้านครู  ต.บ้านธิ  อ.บ้านธิ  จ.ลำพูน  51180
01-8215437
129.
วันที่ 23 ม.ค.
วัดท่าเสด็จ  ต.จรเข้เผือก  ต.ด่านมะขามเตี้ย  จ.กาญจนบุรี  71260
01-8569113
130.
วันที่ 24 ม.ค.
วัดใหม่คำวัน  ต.ดงป่าคำ  อ.เมือง  จ.พิจิตร  66000
056-697148
131.
วันที่ 25 ม.ค.
วัดขนอน (หนังใหญ่)  ต.สร้อยฟ้า  อ.โพธาราม  จ.ราชบุรี  70120
032-233386
132.
วันที่ 30 ม.ค.
วัดอินทรารามนอก  ต.เมืองใหม่  อ.อัมพวา  จ.สมุทรสงคราม  75110
-
133.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดถ้ำพระบำเพ็ญบุญ  ต.ธารทอง  อ.แม่ลาว  จ.เชียงราย  57250
01-9501754
134.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดป่าละหารทราย  (รจอ.)  ต.ละหารทราย  อ.ละหารทราย  จ.บุรีรัมย์  31170
09-9479977
135.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดอินทรารามใน  ต.เหมืองใหม่  อ.อัมพวา  จ.สมุทรสงคราม  75110
034-761888
136.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดนาสาร  ต.นาสาร  อ.นาสาร  จ.สุราษฎร์ธานี  84120
077-341092
137.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดเวฬุวัน(ป่าไผ่) (จ.ต.)  ต.จันทึก  อ.ปากช่อง  จ.นครราชสีมา  30130
01-1208244
138.
วันที่ 1 ก.พ.
วัดบ้านไพ  ต.ขามเฒ่า  อ.โนนสูง  จ.นครราชสีมา  30160
01-7891196
139.
วันที่ 2 ก.พ.
วัดชีแวะ (จ.ต.)  ต.งิ้วราย  อ.เมือง  จ.ลพบุรี  15000
09-8011360
140.
วันที่ 3 ก.พ.
วัดเจดีย์หอย  ต.บ่อเงิน  อ.ลาดลุมแก้ว  จ.ปทุมธานี  12140
02-5818347
141.
วันที่ 3 ก.พ.
วัดหัวเขาศรีศรัทธาราม  ต.บ้านมุง  อ.เนินมะปราง  จ.พิษณุโลก  65190
01-2722879
142.
วันที่ 7 ก.พ.
วัดพระพุทธบาทเขาพนม  ต.ท่าตูม  อ.ท่าตูม  จ.สุรินทร์  32120
044-591160
143.
วันที่ 9 ก.พ.
สำนักสงฆ์เวฬุวัน  ต.เลิงใต้  อ.โกสุมพิสัย  จ.มหาสารคาม  44140
01-1173416
144.
วันที่ 10 ก.พ.
วัดประดับ  ต.ค่ายบางระจัน  อ.บางระจัน  จ.สิงห์บุรี  16150
036-535041
145.
วันที่ 11 ก.พ.
สำนักสงฆ์ต้นแซะ  ต.ปาดังเบซาร์  อ.สะเดา  จ.สงขลา  90240
-
146.
วันที่ 14 ก.พ.
วัดสุวรรณคีรี  (ควนมูสัง)  ต.จูปิง  รัฐเปอร์ลิส  ประเทศมาเลเซีย  0000
0076-40-9386678
147.
วันที่ 14 ก.พ.
วัดป่าโนนกุดหล่ม  ต.โพนเขวา  อ.เมือง  จ.ศรีษะเกษ  33000
09-5828999
148.
วันที่ 15 ก.พ.
วัดเกษวารีวิปัสสนา(ห้วยน้ำใส) ต.วังตะแบก อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
01-0423067
149.
วันที่ 15 ก.พ.
วัดอัมพวัน  ต.หินโคน  อ.ลำปลายมาศ  จ.บุรีรัมย์  31130
09-8459782
150.
วันที่ 18 ก.พ.
วัดควนคลัง (คลังสิน)  ต.ทุ่งใหญ่  อ.ทุ่งใหญ่  จ.นครศรีธรรมราช  80240
09-5944653
151.
วันที่ 18 ก.พ.
วัดเขาคมบาง  ต.หนองแหน  อ.พนมสารคาม  จ.ฉะเชิงเทรา  24120
-
152.
วันที่ 26 ก.พ.
วัดถ้ำเขาลักษณ์จันทร์  ต.ปากแพรก  อ.บางสะพานน้อย  จ.ประจวบฯ 77170
032-699006
153.
วันที่ 27 ก.พ.
วัดกำแพงใต้  ต.บ้านสิงห์  อ.โพธาราม  จ.ราชบุรี  70120
032-356150
154.
วันที่ 28 ก.พ.
วัดพระธาตุแสนคำฟู  ต.แม่เงิน  อ.เชียงแสน  จ.เชียงราย  57150
053-660797
155.
วันที่ 28 ก.พ.
สำนักสงฆ์สีสปาวัน  (ธุดงค์)  ต.น้ำพอง  อ.น้ำพอง  จ.ขอนแก่น  40310
-
156.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดสนามแย้  ต.สนามแย้  อ.ท่ามะกา  จ.กาญจนบุรี   70190
-
157.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดสมเด็จดอยน้อย  ต.แม่สา  อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่  50180
053-298856
158.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดไทรย์  ต.หัวเขา  อ.เดิมบางนางบวช  จ.สุพรรณบุรี  72120
09-0045124
159.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดทุ่งน้อย  ต.แหลมบัว  อ.นครชัยศรี  จ.นครปฐม  73120
09-8200898
160.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดอรัญคามวารี  ต.อรัญคามวารี  อ.เคียนซา  จ.สุราษฎร์ธานี  84260
06-2784496
161.
วันที่ 1 มี.ค.
วัดห้วยบง  ต.ห้วยบง  อ.เมือง  จ.สระบุรี  18000
01-9474296
162.
วันที่ 3 มี.ค.
สำนักสงฆ์ตลิ่งสูง  ต.ทองหลาง  อ.ห้วยคต  จ.อุทัยธานี  61170
09-9591703
163.
วันที่ 3 มี.ค.
สำนักสงฆ์พฤกษาธรรมราม  ต.ถ้ำสิงขร  อ.คีรีรัฐนิคม  จ.สุราษฎร์ธานี     
09-2883826
164. 
วันที่ 3 มี.ค.
วัดบ้านผำ (จ.ต.)  ต.โคกก่อง  อ.สำโรง  จ.อุบลราชธานี  34360
01-6004283
165.  
วันที่ 3 มี.ค.
แม่ขรีประชาราม  ต.แม่ขรี  อ.ตะโหมด  จ.พัทลุง  93160
01-7679501
166.
วันที่ 4 มี.ค.
วัดแก้วบัวบาน  ต.โพนสา  อ.ท่าบ่อ  จ.หนองคาย  43110
-
167.
วันที่ 5 มี.ค.
วัดเกาะดอนสวรรค์  ต.ท่าเชิงชุม  อ.เมือง  จ.สกลนคร  47000 
01-8714065
168.
วันที่ 5 มี.ค.
วัดสำโรงพลัน  ต.สำโรงพลัน  อ.ไพรบึง  จ.ศรีษะเกษ  33180
045-675068
169.
วันที่ 5 มี.ค.
วัดเขาบายศรี  ต.พลูตาหลวง  อ.สัตหีบ  จ.ชลบุรี  20180 
01-8742488
170.
วันที่ 7 มี.ค.
วัดพระธาตุผาเงา (จ.อ.)  ต.เวียง  อ.เชียงแสน  จ.เชียงราย  57150
053-777151-2
171.
วันที่ 9 มี.ค.
วัดสีระมัน (จ.ต.)  ต.เขาชะเมา  อ.แกลง  จ.ระยอง  21110
038-969024
172.
วันที่ 9 มี.ค.
วัดโคกดินแดง  ต.พุแค  อ.เฉลิมพระเกียรติ  จ.สระบุรี  18000
-
173.
วันที่ 10 มี.ค.
วัดเตาขนมจีน  ต.วังทอง  อ.เมือง  จ.กำแพงเพชร  62000
-
174.
วันที่ 10 มี.ค.
วัดชูนวล  ต.โคกม่วง  อ.คลองหอยโข่ง  จ.สงขลา  90110 
074-2422061
175.
วันที่ 11 มี.ค.
วัดเขากรวด  ต.เกาะพลับพลา  อ.เมือง  จ.ราชบุรี  70000
01-3986798
176.
วันที่ 12 มี.ค.
วัดประชาสามัคคี (จ.ต.)  ต.ตะคล้อ  อ.ไพศาลี  จ.นครสวรรค์ 60220
056-357076
177.
วันที่ 12 มี.ค.
วัดพระธาตุดอยเวียง  ต.บ้านธิ  อ.บ้านธิ  จ.ลำพูน  51180
01-9509195
178.
วันที่ 13 มี.ค.
วัดราหุล  ต.พระงาม  อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี  16120
01-4587662
179.
วันที่ 13 มี.ค.
ส.น.ป.ธ.พรหมประพาส  ต.หนองหญ้า  อ.เมือง  จ.กาญจนบุรี  71000
09-2580533
180.
วันที่ 15 มี.ค.
วัดท่าไทร (จ.จ.)  ต.ทองท่าใหม่  อ.กาญจนดิษฐ์  จ.สุราษฎร์ธานี  84290
077-273834
181.
วันที่ 17 มี.ค.
วัดเทพกุญชร  ต.ช้างกลาง  อ.ช้างกลาง  จ.นครศรีธรรมราช  80250
075-486621
182.
วันที่ 17 มี.ค.
สำนักสงฆ์ดอนปู่ตา  ต.บ้านเหล่าเมย  อ.ทรายมูล  จ.ยโสธร  35170
09-2248427
183.
วันที่ 17 มี.ค.
วัดหนองไฮ  ต.สระกรวด  อ.ศรีเทพ  จ.เพชรบูรณ์  67170
-
184.
วันที่ 18 มี.ค. 
วัดป่าบ้านม่วง  ต.ทุ่งใหญ่  อ.กันทรลักษณ์  จ.ศรีษะเกษ  33110 
01-4595133
185.
วันที่ 20 มี.ค.
วัดหนองกุลา  ต.หนองกุลา  อ.บางระกำ  จ.พิษณุโลก  65140
01-4617427
186.
วันที่ 20 มี.ค.
วัดพนมพนาวาส  ต.คลองขุด  อ.บ้านโพธิ์  จ.ฉะเชิงเทรา  24140
038-587095
187.
วันที่ 20 มี.ค.
วัดสว่างทักษิณ (อาเยาะ)  ต.บัวโคก  อ.ท่าตูม  จ.สุรินทร์  32120 
01-2893989
188.
วันที่ 20 มี.ค.
สำนักสงฆ์ดอนตูม  ต.บ้านค้อ  อ.เมือง  จ.ขอนแก่น  40000
01-3690306
189.
วันที่ 20 มี.ค.
วัดหนองหม้อแกง (จ.ต.)  ต.ท่าช้าง  อ.พรหมพิราม  จ.พิษณุโลก  65150
01-2271071
190.
วันที่ 22 มี.ค.
วัดพรหมบุรี  ต.พรหมบุรี  อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี  16120
-
191.
วันที่ 24 มี.ค.
วัดสวนป่าสมุนไพรพรหมยาน  ต.วังเย็น  อ.แปลงยาว  จ.ฉะเชิงเทรา  24140 
038-587095
192.
วันที่ 24 มี.ค.
วัดลำมหาชัย  ต.เขาหินซ้อน  อ.พนมสารคาม  จ.ฉะเชิงเทรา  24120
09-0922409
193.
วันที่ 24 มี.ค.
วัดอิฐวนาราม  ต.ทุ่ง  อ.ไชยา  จ.สุราษฎร์ธานี  84110
01-6951416
194.
วันที่ 27 มี.ค.
วัดเขาช่องลม  ต.เขาคันทรง  อ.ศรีราชา  จ.ชลบุรี  20110
01-9475090
195.
วันที่ 28 มี.ค.
วัดวังโตก  ต.ตลิ่งชัน  อ.ด่านลานหอย  จ.สุโขทัย   64140
01-0442724
196.
วันที่ 30 มี.ค.
วัดอินทรารามนอก รุ่น 2  ต.เมืองใหม่  อ.อัพวา  จ.สมุทรสงคราม  75110
-
197.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดราษฎร์ศรัทธา ก.ม.10  ต.พูลตาหลวง  อ.สัตหีบ  จ.ชลบุรี  20180 
...........
198.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดป่าสันติวิเวกธรรม  ต.หนองม่วง  อ.โคกสูง  จ.สระแก้ว  27120 
01-8175831
199.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดเขาน้อย  ตำบลหัวหิน  อำเภอหัวหิน  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  77110
032-513365
200.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดหนองหว้า  ต.ต้นคล้า  อ.โนนสูง  จ.นครราชสีมา  30260
 01-0757527
201.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดถ้ำพระธรรมมาสน์ ต.ชมพู  อ.เนินมะปราง  จ.พิษณุโลก  65190
-
202.
วันที่ 1 เม.ย.
วัดคลองสูง ต.ช่องแคบ  อ.ตาคลี  จ.นครสวรรค์  60140
-
203.
วันที่ 2 เม.ย.
วัดบ้านใหม่สามัคคี ต.ลำนารายณ์  อ.ชัยบาดาล  จ.ลพบุรี  53130
-
204.
วันที่ 7 เม.ย.
วัดทุ่งเนินพะยอม ต.ป่าแฝก  อ.กงไกรลาส  จ.สุโขทัย  64170
055-625039
205.
วันที่ 16 เม.ย.
วัดสวนป่าพุทธธรรม ต.ประทาย  อ.ประทาย  จ.นครราชสีมา  30180
044-489046
206.
วันที่ 16 เม.ย.
วัดดอนใหม่ ต.ดอนใหม่  อ.คง  จ.นครราชสีมา  30260
01-0757527
207.
วันที่ 18 เม.ย.
วัดถ้ำสุมโน ต.บ้านนา  อ.ศรีครินทร์  จ.พัทลุง  93000
074-614324
208.
วันที่ 19 เม.ย.
วัดหนองพยอม (จ.ต.) ต.ชุมแสงสงคราม  อ.บางระกำ  จ.พิษณุโลก  65240
01-9538058
209.
วันที่ 19 เม.ย.
วัดวังใหม่ ต.วังใหม่  อ.วังสมบูรณ์  จ.สระแก้ว  27210
037-517246
210.
วันที่ 19 เม.ย.
วัดสิริเทพกัญญา(ดอนบ้านแคน) ต.บ้านว่าน  อ.ท่าบ่อ  จ.หนองคาย  43110 (จัด 4 ครั้งใน 1ปี)
15 พ.ย.-30 พ.ย. / 1ก.พ. - 15 ก.พ. / 19 เม.ย.- 5พ.ค. / 15 มิ.ย. - 30มิ.ย.
088-033 7994
082-764 3372
211.
วันที่ 20 เม.ย.
ส.น.หนองหญ้าปล้อง ต.บ้านไร่  อ.อรัญประเทศ  จ.สระแก้ว  27120
06-0398474
212.
วันที่ 20 เม.ย.
วัดจอมทอง ต.จอมทอง  อ.เมือง  จ.พิษณุโลก  65000
055-298343
213.
วันที่ 20 เม.ย.
วัดป่ายุบบุญราม ต.หนองไผ่แก้ว  อ.บ้านบึง  จ.ชลบุรี  20220 
038-292276
214.
วันที่ 20 เม.ย.
วัดสวนลำใย ต.เหมืองง่า  อ.เมือง  จ.ลำพูน  51000
053-511737
215.
วันที่ 20 เม.ย.
วัดใหม่ศรีสมบูรณ์(วัดสบู) ต.หนองกลับ  อ.สวรรคโลก  จ.สุโขทัย  64110
055-685309
216.
วันที่ 21 เม.ย.
วัดบ้านหัววัว ต.เสม็ด  อ.เมือง  จ.บุรีรัมย์  31000
09-9481692
217.
วันที่ 22 เม.ย.
ที่พักสงฆ์นาป๋อง ต.พะวง (ควนหิน)  อ.เมือง  จ.สงขลา  91000
074-325128
218.
วันที่ 27 เม.ย.
วัดพานิชธรรมิการาม ต.หนองเต่า  อ.บ้านหมี่  จ.ลพบุรี  15110
01-2786595
219.
วันที่ 27 เม.ย.
ส.น.เมตตาธุดงสถาน ต.พังขว้างใต้  อ.เมือง  จ.สกลนคร  47000
042-743557
220.
วันที่ 29 เม.ย.
วัดคลองชุดเล็ก ต.แพรกนามแดง  อ.อัพวา  จ.สมุทรสงคราม  75110
01-4380093
เพิ่มเติม
วันที่ 1-10 พ.ค.
วัดภูเพียง ต.ปงสนุก อ.เวียงสา จ.น่าน โทร.082-893 4868 ,086-914 8216 , 089-192 8429

221.
วันที่ 1 พ.ค.
วัดคลองแปล  (จ.ต.) ต.คอหงษ์  อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา  90110
074-212150
222.
วันที่ 1 พ.ค.
วัดท่าช้าง ต.หนองปลาหมอ   อ.หนองแค  จ.สระบุรี  18140
036-336963
223.
วันที่ 1 พ.ค.
สำนักสงฆ์ดงโขง ต.หนองเหล่า  อ.ม่วงสามสิบ  จ.อุบลราชธานี  34140
045-489273
224.
วันที่ 2 พ.ค.
วัดสวนป่าสงบจิตร ต.ชุมพวง  อ.ชุมพวง  จ.นครราชสีมา  30270
01-9766345
225.
วันที่ 4 พ.ค.
วัดเครือเขาโค้ง ต.วังสำโรง  อ.บางมูลนาก  จ.พิจิตร  66120
01-8868424
226.
วันที่ 4 พ.ค.
วัดถ้ำทะเลทรัพย์ ต.ทะเลทรัพย์  อ.ประทิว  จ.ชุมพร  86160
01-8915858
227.
วันที่ 9 พ.ค.
วัดป่าเทพประทานพร ต.บ้านเชียง  อ.หนองหาน  จ.อุดรธานี  41130
09-9431180
228.
วันที่ 9 พ.ค.
วัดไร่มะม่วง (ป่าดอนขุนห้วย) ต.ขุนห้วย  อ.ชะอำ  จ.เพชรบุรี  76120
01-8569175
229.
วันที่ 10 พ.ค.
วัดขุมบ่อทรัพย์ ต.ปราณีต  อ.เขาสมิง  จ.ตราด  (09-2486590)
09-2037400
230.
วันที่ 10 พ.ค.
วัดกรับพ่วงใต้ ต.พรหมพิราม  อ.พรหมพิราม  จ.พิษณุโลก  65150
09-9603365
231.
วันที่ 12 พ.ค.
วัดเขาดินหนองแสง ต.เขาวงกต  อ.หางแมว  จ.จันทบุรี  22160
039-437536
232.
วันที่ 14 พ.ค.
วัดพระบาทหนองขาม ต.มะขาม  อ.มะขาม  จ.จันทบุรี  22150
039-437536
233.
วันที่ 15 พ.ค.
วัดบางนาจีนกลาง ต.บางขันแตก  อ.เมือง  จ.สมุทรสงคราม  75000 
034-716083
234.
วันที่ 15 พ.ค.
วัดวิชิตดิตถาราม (จ.อ.) ต.ท่าชนะ  อ.ท่าชนะ  จ.สุราษฎร์ธานี  84170
077-381165
235.
วันที่ 15 พ.ค.
วัดถ้ำยอดทอง ต.ทุ่งหลวง  อ.ปากท่อ  จ.ราชบุรี  70140
06-0267375
236.
วันที่ 22 พ.ค.
วัดหัวช้าง ต.ควนทอง  อ.ขนอม  จ.นครศรีธรรมราช  80180
01-9563190
เพิ่มเติม
วันขึ้น 11ค่ำ-แรม 5 ค่ำ เดือน6 ทุกปี
วัดบางมูลนาก อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร 
056-631393
089-5662605
237.
วันที่ 1 มิ.ย.
วัดตะเคียนทอง ต.ท่าประจะ  อ.ชะอวด  จ.นครศรีธรรมราช  80210
075-380490
238.
วันที่ 1 มิ.ย.
วัดดอยสวรรค์ (ดอยไก่เขี่ย) ต.วังแดง  อ.ตรอน  จ.อุตรดิตถ์  53140
01-6058685
239.
วันที่ 1 มิ.ย.
วัดแก้วตา ต.บางเพลิง  อ.บางประหัน  จ.อยุธยา  13220
-
240.
วันที่ 1 มิ.ย.
สำนักสงฆ์มฤคทายวัน ต.หลวงตาเอี่ยม  อ.วังจันทร์  จ.ระยอง  21210
07-0895021
241.
วันที่ 5 มิ.ย.
วัดตะคล้อวนาราม ต.ปุฝ้าย  อ.ประจันตคาม  จ.ปราจีนบุรี  25130
01-4284918
242.
วันที่ 5 มิ.ย.
วัดเนินสะอาด ต.เขาเพิ่ม  อ.บ้านนา  จ.นครนายก  26110
037-331198
243.
วันที่ 6 มิ.ย.
วัดหนองพวงเขาน้อย ต.โพธิ์กลาง  อ.เมือง  จ.นครราชสีมา  30000
044-270532
244.
วันที่ 9 มิ.ย.
วัดหน้าวัว ต.เจ้าปลูก  อ.มหาราช  จ.อยุธยา  13150
01-8503911
245.
วันที่ 10 มิ.ย.
วัดบางยมอุดมธรรม (วัดสวะ) ต.เมืองบางยม  อ.สวรรคโลก  จ.สุโขทัย
055-687152
246.
วันที่ 10 มิ.ย.
วัดวังเย็น ต.วังเย็น  อ.เมือง  จ.กาญจนบุรี  71000
01-1947903
247.
วันที่ 11 มิ.ย.
วัดป่าจุฬามณี (อ่างซับเหล็ก) ต.โคกตูม  อ.เมือง  จ.ลพบุรี  15210
01-9919131
248.
วันที่ 14 มิ.ย.
วัดโพธาราม (จ.ต.) ต.หนองเหียง  อ.พนัสนิคม  จ.ชลบุรี  20140
01-9438776
249.
วันที่ 14 มิ.ย. 
วัดศรีมณีไพร ต.ลำมะโกด  อ.เมือง  จ.กำแพงเพชร  62000
09-8868372
250.
วันที่ 17 มิ.ย.
วัดเทพกุญชร ต.ช้างกลาง  อ.ช้างกลาง  จ.นครศรีธรรมราช  80150
-





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น