welcome to watphubon blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของวัดพุบอน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำของตถาคต ถึงจะขอเมตตาครู อาจารยสอนให ก็ ไมควรหางไกลจากพระไตรปฎก

การปล่อยวาง คลายทุกข์ แบบง่ายๆ

                                               
                                                   การปล่อยวาง คลายทุกข์ แบบง่ายๆ 
 สิ่งที่เราเป็นทุกข์ในปัจจุบันนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เราเองต้องอยู่ในโลกนี้ โลกแห่งการเป็นเหยื่อความเจริญด้านวัตถุ สิ่งล่อใจมีมาก ทำให้กิเลสมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นการปล่อยวางทั้งด้านวัตถุที่เป็นรูปธรรม และการปล่อยวางทางจิตใจที่เป็นนามธรรม จึงเป็นหนทางให้เราคลายความทุกข์ลงได้ เช่น ไฮเทคเกินไปก็ทำตัวให้ โลว์เทคบ้าง เคยขับรถ ก็ลองปล่อยแล้วมาขึ้นรถเมล์บ้าง เคยเอะอะโวยวายไม่พอใจเมื่อมีใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็หัดเฉยให้อภัยบ้าง เคยแต่งตัวพิถีพิถัน ก็มาแต่งตัวตามสบายบ้าง เป็นต้น การปล่อยวาง  คือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง  ข้อนี้สำคัญที่สุดในการคลายเครียดทุกวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  เพราะเป็นการตัดต้นตอของความทุกข์ทั้งมวลลงได้  เมื่อยึดมั่นถือมั่นมากก็ต้องทุกข์มาก  ถ้าปล่อยวางลงได้มากก็เบามากสุขมาก  แล้วความเครียดก็ลดลงหรือหายไปเลย
                                                   ยึดมั่นสิ่งใด  ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น
เมื่อยึดมั่นในสิ่งใด  ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น  ฉะนั้น  พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า...สพ.เพ ธม.มานาลํ อภินิเวสาย"  แปลว่า  "สิ่งทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น"   นี้เป็นหลักธรรมชั้นสูงขั้นวิปัสสนาในพระพุทธศาสนาแต่สำหรับเราปุถุชนนั้น  ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่  เพราะยังมีกิเลสอยู่  จะปล่อยวางให้เด็ดขาดนั้นยังทำไม่ได้   เพราะฉะนั้น  ใครจะยึดมั่นในเรื่องอะไรก็ยึดเถิด  แต่อย่ายึดให้มากเกินไป   เพราะสิ่งทั้งปวงในโลกนี้มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน   มันเป็นทุกข์  มันตกอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  ต้องพังสลายไปในที่สุด  และไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริงเลย  เห็นได้ชัดเมื่อคนเราตาย   เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดสิ้นแล้วจากโลกนี้ไป   นำไปได้แต่บุญและบาปติดตัวไปได้เท่านั้น   นอกนั้นต้องทิ้งไว้ทั้งสิ้น   มอบให้โลกเขาไป  แม้แต่ร่างกาย  เพราะได้ยืมของโลกเขามาใช้ชั่วคราว        วิธีการในการปล่อยวางมีหลายอย่าง   สำหรับคนเราที่ยังไม่อาจปล่อยวางทุกอย่างได้  ก็ควรใช้การปล่อยวางแบบง่าย ๆ ไปก่อน  คือ  รู้จัดปิดหูปิดตาและปิดปากเสียบ้าง   เหมือนอย่างรูปปริศนาธรรมเป็นรูปลิง  3  ตัว   โดยตัวหนึ่งปิดหู  ตัวหนึ่งปิดตา  อีกตัวหนึ่งปิดปาก ตามหลักพระพุทธศาสนา   ถือว่าคนเราบางคราวแม้ไม่ใบ้ก็ทำเหมือนเป็นใบ้เสียบ้าง  แม้ไม่หนวกก็ทำเหมือนหนวกเสียบ้าง   แม้ไม่บอดก็ทำเป็นบอดเสียบ้าง   ถ้าทำเป็นคนรู้เห็นไปหมดแล้ว  ก็เท่ากับไปแส่หาความทุกข์ไม่หยุดหย่อนอย่างสมมติว่า   เราเห็นคนรักหรือลูกหลานไปทำบางสิ่งบางอย่างอันไม่น่าพอใจ   บางครั้งเราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้าง  เพราะถ้ารู้เห็นมากมันก็วุ่นวาย  และทำให้เครียดมาก  เช่น  ในบางครั้งบางคนแม้ตนไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน  แต่ได้พยายามสืบเสาะให้มันเห็นจนได้   แล้วในที่สุดก็มานั่งทุกข์นอนทุกข์   เพราะไม่มีอุบายรักษาใจหรือปล่อยวางไม่เป็นเพราะฉะนั้น  อุบายในการคลายเครียดเช่นนี้  ท่านจึงกล่าวเป็นกลอนไว้ว่า...
 ปิดหูซ้ายขวา>>>>>>ปิดตาสองข้าง
 ปิดปากเสียบ้าง>>>>>นั่งนอนสบาย
ในการปล่อยวางการยึดมั่นนั้น   คนเราจะต้องเห็นพระไตรลักษณ์ว่า  ขันธ์  5  หรือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก  อันย่อเหลือแต่รูปกับนาม ว่ามันตกอยู่ในอำนาจของพระไตรลักษณ์  คือ ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา  คือหาตัวเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้  ความทุกข์หรือความเครียดของคนเราไม่ใช่น้อยที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น บางคนแม้จะตายแล้ว  ก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง  ชีวิตมีแต่หนักอึ้ง  เพราะแบกแต่ภาระการงานและยึดมั่นเอาไว้ 
                                             ** วิธีปฏิบัติให้เกิดความปล่อยวาง
 วิธีปฏิบัติให้เกิดความปล่อยวางอันเป็นอุบายแก้ทุกข์หรือคลายเครียดอย่างหนึ่งนั้นคือทำอย่างไร?   ในที่นี้จะขอเสนออุบายแก้ทุกข์หรือคลายเครียด  ให้เกิดการปล่อยวางลงได้  ดังต่อไปนี้
1.   เมื่อเกิดอะไรขึ้น ให้รวมลงในพระไตรลักษณ์ให้หมด       คือถ้าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา  ไม่ว่าดีหรือไม่ดี  ก็ให้รวมลงไปว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง  มันเป็นทุกข์และมันเป็นอนัตตา  ไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริงเลย  จึงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น   ถ้ารวมลงในพระไตรลักษณ์ได้  ใจมันจะเบาจะว่าง  แต่ถ้าตรงกันข้าม  ใจมันจะหนักจะเครียด  จะมีแต่ความร้อนกระวนกระวาย
2.   ให้เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น  สิ่งนั้นต้องดับ  คือให้ยอมรับความจริงว่า  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ต้องดับไปในที่สุดทั้งสิ้น  แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ต้องดับ  โลกนี้ก็ต้องสลาย  ไม่มีอะไรเหลือ  ดังที่พระอัญญาโกณฑัญญะ  ได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกว่า  "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา   สิ่งนั้นทั้งหมดก็มีการดับไปเป็นธรรมดา"  เช่น  คนเราเมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการตายเป็นธรรมดา  แม้ปัญหาความยุ่งยากในชีวิตอะไรก็ตามที่ยังแก้ไม่ตกเมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไป  นี้คือกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่งของสิ่งทั้งหลาย  ไม่ต้องไปบังคับหรือยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป  เพราะถือมั่นมาก ก็ทุกข์มากและทำให้เครียดด้วย
3.   อย่าแบกงานไว้มากเกินไป   คือ การแบกงานมากเกินไปนั้นมันหนัก  มันเครียด  มันวุ่นวาย  และทุกข์ใจมาก   แม้เราจะทำใจว่า เราจะทำงานด้วยใจว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นแต่เมื่อเราไปรับงานแบกงานไว้มาก  ใจจะสงบได้ยาก  และงานจะเสียได้ง่าย  เพราะทำไม่ทัน  และจะเป็นเหตุให้เกิดความตึงเครียดทั้งด้านร่างกายและจิตใจ   ฉะนั้น  ผู้ที่ได้ความสงบสุขที่เรียกว่าสันติบทนั้น   ต้องเป็นคนไม่แบกงานไว้มากจนเกินไป  คือต้องเป็นคนมีงานไม่มากจนเกินไป ที่เรียกว่า  อัปปกิจโจ  มีงานน้อย  ทำงานแต่พอประมาณ  แก่ความรู้ความสามารถของตน  จึงจะเกิดความเบากายเบาใจได้ง่าย  คือให้วางงานลงเสียบ้าง  ถ้าไม่วางก็จะหนักอยู่ตลอดไป  แม้เราปุถุชนไม่อาจจะวางได้ตลอดไป  แต่วางลงเสียบ้างและก็จะคลายเครียดได้
4.   ให้ปฏิบัติพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก   คือในการนำธรรมะขั้นปล่อยวางมาปฏิบัตินั้นถ้าเราปฏิบัติในขณะเจริญกรรมฐาน เช่น กำหนดลมหายใจเข้าออก  ก็ให้กำหนดดังนี้  เมื่อหายใจเข้าให้ภาวนาว่า  "ปล่อยวาง"  เมื่อหายใจออกก็ภาวนาว่า  "ปล่อยวาง"  ปล่อยวางอะไร?   คืออะไรก็ได้ที่ทำให้ยุ่ง  ปล่อยวางมันให้หมด  โดยเฉพาะปล่อยวางนามรูป  ที่จะให้เข้าไปยึดมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา  เมื่อหายใจเข้าก็ภาวนาว่าปล่อยวาง  เมื่อหายใจออกก็ปล่อยวาง  แม้ที่สุด  ร่างกายของเราก็ต้องปล่อย  แล้วมันก็เบา จะรู้สึก เย็นขึ้นมา
5.   ให้ทำงานด้วยความไม่ยึดมั่น  คือทำงานเพื่องาน เพื่อความสำเร็จของงาน  ทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่ทำเพื่อยศ เพื่อตำแหน่งเกียรติยศชื่อเสียง ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเรา เพื่อของเรา  ถ้าทำอย่างนั้นมันจะวุ่นวายใจ  เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่สมใจตน  จงทำงานไปพร้อมกับให้ความรู้สึกอยู่เสมอว่าทำความดีเพื่อความดี  ทำงานเพื่อความสำเร็จของงาน  ทำด้วยความเพลิดเพลิน ไม่รีบร้อนจนเกินไป  เพราะในที่สุด  เราต้องปล่อยวางหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  แม้ไม่ปล่อยก็ต้องปล่อย  เมื่อเราต้องจากโลกนี้ไป
6.   ให้ถือหลักพุทธภาษิตว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"    เมื่อปล่อยวางลงได้ก็เป็นสุข    
ดังคำกลอนที่ว่า...                                    
>>>>>>>>สิ่งทั้งปวง>>>>>>>ควรหรือ>>>>>>>จะถือมั่น      
>>>>>>> เพราะว่ามัน>>>>>>>ก่อทุกข์>>>>>>>มีสุขไฉน
>>>>>>>ยึดมั่นมาก>>>>>>>ทุกข์มาก>>>>>>>ลำบากใจ     
 >>>>>>>ปล่อยวางได้>>>>>>>เป็นสุข>>>>>>>ทุกคืนวัน
หากท่านสาธุชนทั้งหลายใช้อุบายแก้ทุกข์หรือคลายเครียดดังกล่าวมาตั้งแต่ข้อแรกจนถึงข้อสุดท้ายนี้  ก็จะทำให้ความทุกข์ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นบรรเทาเบาบางลง  ความเครียดก็จะลดลง   แล้วความสุขและความสงบก็เข้ามาแทนที่   ด้วยอำนาจการประพฤติธรรม  แม้อุบายคลายเครียดบางอย่าง   จะเป็นธรรมชั้นสูง   แต่ก็เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่เราสามารถนำมาประยุกต์กับชีวิตประจำวันของเราได้   หากเข้าใจในหลักการปฏิบัติเพียงพอ   เพราะว่า  ผู้ใดพระพฤติธรรม  พระธรรมย่อมคุ้มครองผู้นั้น   พระธรรมที่เราประพฤติแล้วย่อมนำความสุขมาให้   การที่เราได้รับความสุขความเจริญนั้น  คืออานิสงส์หรือประโยชน์แห่งการประพฤติธรรม
                                                                 









                                                                    พุทธวิธีคลายทุกข์
อภิณหปัจจเวกขณะ
เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๑ สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกชายคนเดียว ไม่มีลูกสาว ด้วยการที่สามีภรรยาคู่นี้มีลูกคนเดียวจึงรักลูกของตนมาก เหมือนคนที่มีตาเดียวก็ย่อมจะระวังรักษาตาด้วยดีฉะนั้น พวกเธอหวังให้ลูกชายของตนมีอายุยืนจึงได้ตั้งชื่อเล่นให้กับลูกว่า ต้นกล้าแต่ดูเหมือนพวกเธอจะถูกผู้มีอำนาจที่มองไม่เห็นกลั่นแกล้ง การมีลูกคนเดียวก็ก่อให้เกิดความไม่สบายใจแก่พ่อแม่อยู่แล้วเพราะเป็นการเสี่ยงพอสมควร มิหนำซ้ำโชคก็ไม่เข้าข้างพวกเธอ เพราะลูกของพวกเธอได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทั้งๆที่ลูกของพวกเธอก็มีอายุเพียง ๑๑ ขวบ พวกเธอทุกข์ใจกลุ้มใจกับอาการป่วยของลูกมาก ได้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาลูกหมดเงินไปเป็นจำนวนมาก ผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยได้ไปทำงานเพราะต้องเอาเวลามาดูแลลูก เมื่อเห็นว่าการรักษาลูกด้วยเครื่องมือแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถช่วยให้ลูกหายป่วยได้ พวกเธอจึงลองหันมาพึ่งสิ่งที่ตนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาจจะช่วยให้ลูกของพวกเธอหายป่วยได้ พวกเธอได้นำลูกไปบรรพชาบวชเป็นสามเณร ณ วัดแห่งหนึ่งในย่านบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ด้วยการที่ลูกของพวกเธอตัวเล็ก ผอม ช่วยตัวเองไม่ได้หลายอย่าง ฉะนั้น หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้วผู้เป็นพ่อก็ยังต้องมาพักที่วัดด้วย โดยพักห้องเดียวกันกับสามเณรเพื่อจะได้ช่วยสามเณรโดยประการต่างๆ มีพาไปบิณฑบาต พาไปไหว้พระสวดมนต์เป็นต้น
อนึ่ง ช่วงเวลาที่เด็กชายต้นกล้ายังเป็นสามเณรอยู่ พ่อแม่ของเธอมักจะพาเธอไปกราบไหว้พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะขอความศักดิ์สิทธิ์ของพระอาจารย์นั้นๆให้ช่วยรักษาสามเณรให้หายป่วย เด็กชายต้นกล้าได้ดำรงเพศเป็นสามเณรเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนก็ได้ลาสิกขา ปัจจัยทั้งหมดที่เธอได้รับในคราวไปบิณฑบาตเธอได้ถวายเป็นค่าน้ำ-ค่าไฟให้กับกุฏิที่เธออาศัยอยู่ น่าอนุโมทนากับจิตสำนึกที่เป็นบุญกุศลของเด็กที่มีอายุเพียง ๑๑ ขวบ แม้จะลาสิกขาไปแล้วพ่อแม่ก็ยังพาเธอไปกราบไหว้พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่ เพราะที่พึ่งที่พอจะเป็นความหวังอย่างอื่นของพวกเธอก็ไม่มีแล้ว ต่อมาอาการป่วยของเด็กชายต้นกล้าหนักขึ้น พ่อแม่ได้พาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เธอทนทุกข์ทรมานกับโรคร้ายไม่ไหวจึงได้บอกลาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายว่า พ่อครับ แม่ครับ คุณหมอครับ ไม่ต้องรักษาผมอีกแล้ว ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมทรมานเหลือเกิน ผมขอลาทุกคนนะครับหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกเลย เธอได้สิ้นชีวิตแล้ว! ผู้ที่เป็นพ่อแม่ของเธอเศร้าโศกมากกับการสูญเสียลูกชายสุดที่รัก รู้สึกสับสนกับชีวิตที่ทำอะไรก็ไม่ได้ผลดังที่ต้องการ โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อเมื่อถึงวันอาทิตย์ก็จะลองไปเข้าโบสถ์ของศาสนาคริสต์ด้วยหวังว่าพระเจ้าอาจจะช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
จากเรื่องที่นำมาแสดงนี้(เรื่องจริง) ทำให้ทราบว่ามีบุคคลจำนวนมากที่ยังมีความเชื่อว่าพระภิกษุเป็นเหมือนเทพเจ้าที่จะสามารถดลบันดาลสิ่งที่พวกเขาต้องการให้สำเร็จได้ พวกเขาลืมนึกว่าถ้าพระภิกษุท่านสามารถดลบันดาลสิ่งที่พวกเขาปรารถนาสำเร็จได้จริง โลกนี้ก็คงจะไม่มีใครจน ไม่มีใครทุกข์ ไม่มีใครผิดหวัง ถ้าพวกเขาให้ความสนใจฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ศึกษาธรรมะของพระพุทธศาสนา สนทนาธรรมะกับพระอาจารย์ผู้มีภูมิธรรม ให้โอกาส ให้เวลาแก่ตนเพื่อไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาบ้าง พวกเขาก็จะทราบว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ยอมรับความจริงว่าเรามีความแก่,มีความเจ็บไข้, มีความตายเป็นธรรมดา เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหมดเป็นต้นดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะทั้งห้าประการนี้ อันสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม พึงพิจารณาเนืองๆ ฐานะทั้งห้าประการเป็นไฉน คือ สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตามพึงพิจารณาเนืองๆว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้, เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้, เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้, เราละเว้นเป็นต่างๆ คือว่าจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหมดทั้งสิ้นไป, เรามีกรรมเป็นของๆตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น,....” (องฺ. ปญฺ. ๒๒/๕๗/๘๑-๘๒)
บทว่า อภิณหปัจจเวกขณะ แปลว่า การพิจารณาเนืองๆ การ
พิจารณาบ่อยๆ พิจารณาให้สม่ำเสมอ เพื่อจะได้ยอมรับสภาพที่เป็นความจริงที่สัตว์โลกจะต้องประสบ พระพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพที่เป็นความจริง ๕ ประการที่จะพึงพิจารณาเนืองๆดังนี้
การพิจารณาความแก่
ข้อ ๑ ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ที่ว่าเป็นธรรมดาคือเป็นความจริงที่สัตว์โลกจะต้องประสบ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกพ้นได้ ความแก่คือภาวะที่ร่างกายคร่ำคร่า ทรุดโทรม ฟันหลุด ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น เรี่ยวแรงกำลังลดลง ความแก่มี ๒ คือ ปฏิจฉันนชรา และ อัปปฏิจฉันนชรา, ปฏิจฉันนชรา หมายถึงความแก่ที่ปกปิด คือแก่ขึ้น แก่ตั้งแต่วัยทารกเติบโตขึ้นตามลำดับจนถึงท่ามกลาง ความแก่เช่นนี้คนส่วนมากไม่คิดว่าเป็นความแก่ แต่คิดว่าเป็นความเจริญเติบโต แต่เพราะความเจริญเติบโตนั่นแหละเมื่อถึงท่ามกลางก็จะเสื่อมลงคือแก่ลง ความแก่ลงนี้เรียกว่าอัปปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่เปิดเผย คือเห็นกันได้ง่าย รู้กันได้ง่าย ความแก่ที่เปิดเผยมากๆจะแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของร่างกายและกำลัง ความอดทนก็จะน้อยลง ประสิทธิภาพของอินทรีย์ทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจก็จะลดลง จะปฏิบัติธรรมก็ไม่สะดวก ดังที่มหาปาละได้กล่าวกะน้องชายว่า มือและเท้าของผู้ใดย่อมทรุดโทรมเพราะว่าไม่ฟัง ผู้นั้นมีกำลังอันชราความแก่กำจัดแล้ว จักประพฤติธรรมอย่างไรได้” (จกฺขุปาล วตฺถุ ธมฺมปท. ๑/๖)
จุดมุ่งหมายของการพิจารณาความแก่เนืองๆ ก็เพื่อละความประมาทในความเป็นหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังพร้อมที่จะแสวงหาทรัพย์ ทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน(ความดี) ถ้าบุคคลไม่พิจารณาถึงความแก่เนืองๆ ก็จะทำให้ประมาทในความเป็นหนุ่มสาว ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ความประมาททำให้ไม่อยากแสวงหาทรัพย์ในวัยที่ควรแสวงหาและไม่อยากปฏิบัติธรรมในวัยที่มีกำลัง ถ้าบุคคลแสวงหาทรัพย์หรือปฏิบัติธรรมในวัยแก่วัยชราก็จะทำได้ยาก ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า พวกคนพาลไม่ประพฤติธรรม ไม่ได้ทรัพย์ในคราวเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่ที่ซบเซาบนเปือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น” (ขุ. ธ. ๒๕/๒๑/๓๖)
การพิจารณาความเจ็บป่วย
ข้อ ๒ พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ ความเจ็บไข้เกิดจากสาเหตุ ๔ คือ อาหาร, อากาศ, จิตและกรรมเก่า, ร่างกายนี้เป็นรังของโรคต่างๆ ได้แก่ โรคในตา, โรคในหู, โรคในจมูก, ฯลฯ โรคอุจจาระ, โรคปัสสาวะ (องฺ. ทสก. ๒๔/๖๐/๑๑๗) ปัจจุบันได้มีโรคใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้คงจะไม่มีในสมัยพุทธกาล เช่น โรคเอดส์ โรคมะเร็งเป็นต้น เมื่อกาลล่วงไปๆ ก็อาจจะมีโรคใหม่ๆเกิดขึ้นอีก เพราะมนุษย์ได้ทำลายความสมดุลย์ของธรรมชาติ บรรดาโรคทั้งหลายพระพุทธเจ้าตรัสว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง” (ขุ. ธ. ๒๕/๒๕/๔๒) เพราะเป็นโรคที่ต้องรักษาทุกวันและเป็นกันทุกคน โรคหรือความเจ็บไข้มีหลายอย่างแยกได้ ๒ ประเภท ได้แก่ ปฏิจฉันนพยาธิ และ อัปปฏิจฉันนพยาธิ ใน ๒ ประเภทนั้น ปฏิจฉันนพยาธิ คือความเจ็บไข้ปกปิด หมายถึงความเจ็บไข้ที่รักษาได้ง่าย เพราะเป็นความเจ็บไข้ที่รักษาได้ง่ายนั่นเอง บุคคลผู้เจ็บไข้จึงไม่รู้สึกว่าตัวเจ็บไข้ ความเจ็บไข้ประเภทนี้ได้แก่ความหิวอาหาร เมื่อได้รับประทานอาหารก็หายหิว ความปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะเมื่อได้ขับถ่ายสิ่งเหล่านี้ออกก็หายปวด การอยู่ในอิริยาบถเดียวนานๆ เช่นนั่งนานๆ ก็ปวดเมื่อย เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถก็หายปวดเมื่อยเป็นต้น อาการเหล่านี้เรียกว่าปฏิจฉันนพยาธิ ส่วนอัปปฏิจฉันนพยาธิ คือความเจ็บไข้ที่ไม่ปกปิด เป็นความเจ็บไข้ที่เปิดเผย หมายถึงความเจ็บไข้ที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ต้องให้หมอมาช่วยรักษา เช่นปวดหัว ปวดฟัน เป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคเอดส์ เป็นต้น
จุดมุ่งหมายของการพิจารณาว่าเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็เพื่อจะได้เป็นผู้ไม่ให้ประมาทในความที่ร่างกายยังไม่มีโรค เพราะถ้ายังมัวประมาทในความที่ร่างกายยังไม่มีโรค ยังเป็นปกติอยู่ ก็จะเป็นเหตุให้ประพฤติชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ และเป็นเหตุให้ไม่อยากแสวงหาความเจริญความก้าวหน้าให้ตน ไม่อยากแสวงหาทรัพย์ ทำให้ลืมนึกว่ามนุษย์เราเมื่อเจ็บไข้ขึ้นมาก็จะแสวงหาทรัพย์หรือปฏิบัติธรรมไม่สะดวก มิหนำซ้ำยังอาจต้องเสียทรัพย์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรักษาตัวน้อยบ้างมากบ้าง
การพิจารณาความตาย
ข้อ ๓ มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต. เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เหตุตรงของความตายคือการเกิด เพราะถ้าไม่มีการเกิดก็ต้องไม่มีการตาย เมื่อได้เกิดมาแล้วก็ต้องพกความตายมาด้วย ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายเหมือนเห็ดที่พกฝุ่นมาด้วยฉะนั้น ความตายมี ๒ อย่าง ได้แก่ กาลมรณะและอกาลมรณะ ในสองอย่างนี้ กาลมรณะคือการตายในกาลที่ควรตาย ได้แก่การตายเพราะสิ้นอายุ, ตายเพราะสิ้นกรรม, ตายเพราะสิ้นทั้งอายุและกรรม, ส่วนอกาลมรณะหมายถึงการตายในกาลในเวลาที่ยังไม่สมควรตาย คือตายโหง เช่นถูกยิงตาย ถูกรถชนตาย เครื่องบินตกตาย ถูกงูกัดตายเป็นต้น
อนึ่ง ความตายมีอีก ๒ อย่าง ได้แก่ ปฏิจฉันนมรณะและอัปปฏิจฉันนมรณะ ในสองอย่างนี้ ปฏิจฉันนมรณะคือความตายแบบปกปิด เช่น ผม ขน เล็บ หนังหลุด วัยที่ล่วงไปๆก็จัดเป็นการตายคราวหนึ่งๆ กล่าวคือตายจากความเป็นทารกไปสู่ความเป็นเด็ก ตายจากความเป็นเด็กไปสู่ความเป็นหนุ่มสาว ตายจากความเป็นหนุ่มสาวไปสู่วัยชรา ส่วนอัปปฏิจฉันนมรณะ คือการตายแบบเปิดเผย ความที่ร่างกายปราศจากวิญญาณกลายเป็นศพ เป็นความสิ้นชีวิต
ในขณะที่อยู่ในวัยแก่ชราหรือในขณะที่เจ็บไข้ มนุษย์เราก็ยังพอมีกำลังทำความดีได้บ้าง แต่เมื่อตายแล้วมนุษย์เราก็ทำความดีไม่ได้อีกแล้ว และความตายก็ไม่ได้เลือกว่าจะต้องตายในวัยแก่ชราเท่านั้น ความตายสามารถเกิดได้กับทุกวัยวัยใดวัยหนึ่ง เป็นการยากที่จะรู้ล่วงหน้านานๆว่าจะต้องตายในวัยไหน, จะต้องตายด้วยโรคอะไร, จะต้องตายในกาลเวลาไหน, จะต้องตายที่ไหนและตายแล้วจะไปไหน เพราะการรู้เกี่ยวกับความตายเป็นสิ่งที่รู้ได้ยากเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนบุคคลให้ไม่ประมาทในความตายว่า ความดีพึงรีบทำในวันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้” (ม. อุป. ๑๔/๕๕๑/๓๕๙)
จุดมุ่งหมายของการพิจารณาเนืองๆเกี่ยวกับความตายก็เพื่อจะได้ไม่ประมาทในความเป็นอยู่ เพราะถ้าประมาทก็จะเป็นเหตุให้ประพฤติชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ ลืมที่จะประพฤติชอบปฏิบัติชอบตามทำนองคลองธรรม
การพิจารณาความพลัดพรากจากของรัก
ข้อ ๔ สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราละเว้นเป็นต่างๆ คือว่าจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหมดทั้ง
สิ้นไป สิ่งที่เรารักเราชอบทุกสิ่งทั้งภายนอกเช่น มารดาบิดา ภรรยาสามี พี่น้อง ลูกเป็นต้น และทั้งภายในคือร่างกายของเราเอง สักวันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
จุดมุ่งหมายของการพิจารณาข้อนี้เนืองๆ ก็เพื่อบรรเทาความรัก ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรักตนชอบ ถึงแม้จะคลายความรักไม่ได้หมดเสียทีเดียว ก็ยังรู้ตัวและยอมรับความจริงว่าเราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ซึ่งจะทำให้ไม่เศร้าโศกจนลืมตัวในคราวที่เราได้พลัดพรากจากของรักของชอบใจนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเศร้าโศกย่อมเกิดจากของรัก” (ขุ. ธ. ๒๕/๒๖/๔๓) ความพลัดพรากจากของรักทั้งหลายเป็นทุกข์” (วิ.มหา. ๔/๑๔/๑๙) แสดงว่าถ้าเรารักสิ่งใดมากเราก็จะทุกข์ใจเพราะสิ่งนั้นมาก แต่ถ้าเราไม่มีรัก ไม่ยึดมั่นในสิ่งใด เราก็จะไม่ทุกข์ใจเพราะสิ่งนั้น
มนุษย์โดยมากยังเป็นปุถุชน ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องยังมีสิ่งที่ตนรักตนชอบใจอยู่ ถ้าเขาไม่เคยพิจารณาข้อนี้เลยเขาก็จะเศร้าโศกทุกข์ใจมากในคราวที่เขาได้พลัดพรากจากสิ่งที่เขารัก แต่ถ้าเขาได้เคยพิจารณาข้อนี้อยู่เนืองๆ เมื่อเขาได้พลัดพรากจากสิ่งที่เขารัก เขาก็อาจจะไม่ทุกข์ใจ ไม่เศร้าโศกเลย หรือถึงจะเศร้าโศกทุกข์ใจอยู่บ้างก็ไม่มากจนลืมตัว ข้อที่แสดงว่าปุถุชนผู้ที่ไม่เคยพิจารณาเนืองๆเกี่ยวกับการที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจนี้ เขาก็จะมีความทุกข์ความเสียใจมากในคราวที่เขาได้พลัดพรากจากสิ่งที่เขารักเขาชอบใจ ในข้อนี้มีเรื่องที่จะแสดงต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
พระราชาพระนามว่ามุณฑะทรงครองเมืองปาตลีบุตร พระราชเทวีของพระองค์พระนามว่าพระนางภัททา พระนางเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยของพระองค์มาก ต่อมาพระนางได้สิ้นพระชนม์ เพราะพระนางได้สิ้นพระ
ชนม์จึงเป็นเหตุให้พระราชาทรงทุกข์เศร้าพระทัยมาก ไม่ทรงสนาน ไม่ทรงอยากประกอบพระราชกรณียกิจ พระองค์ได้ตรัสสั่งมหาอำมาตย์ชื่อโสการักขะให้ยกพระศพของพระราชเทวีลงไว้ในรางเหล็กที่เต็มด้วยน้ำมันแล้วปิดด้วยรางเหล็กอันอื่นอีก โดยประการที่พระองค์จะได้เห็นพระศพของพระนางได้นานเท่าไรก็ยิ่งดี มหาอำมาตย์ก็ได้รับสนองพระบรมราชโองการตามที่พระราชาทรงปรารถนาแล้วได้คิดหาบุคคลที่จะช่วยถอนลูกศรคือความเศร้าโศกของพระราชาให้ได้ เขาเห็นว่าท่านพระนารทะผู้เป็นบัณฑิต เป็นพระอรหันต์ มีปฏิภาณโวหารดี สามารถที่จะถอนความเศร้าโศกของพระราชาได้ เขาได้เข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้ามุณฑราชาว่า ขอเดชะ ท่านพระนารทะผู้อยู่ที่กุกกุฏาราม ใกล้พระนครปาตลีบุตร ก็กิตติศัพท์ชื่อเสียงอันดีงามของท่านย่อมฟุ้งขจรไปอย่างนี้ว่าท่านเป็นบัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูตคือรู้มาก มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดีงาม เป็นบุคคลผู้เจริญดีและเป็นพระอรหันต์ ก็ถ้าพระองค์พึงเสด็จเข้าไปฟังธรรมของท่านแล้วไซร้ บางทีพระองค์ก็อาจจะพึงถอนลูกศรคือความเศร้าโศกได้พระเจ้ามุณฑะก็ทรงเห็นดีด้วยกับมหาอำมาตย์ ได้ทรงบอกให้มหาอำมาตย์นั้นไปกราบเรียนท่านพระนารทะว่าพระองค์จะเข้าไปฟังธรรมจากท่าน เมื่อได้เวลาแล้วพระเจ้ามุณฑะก็เสด็จเข้าไปฟังธรรมจากพระนารทะเถระๆได้แสดงธรรมแด่พระราชาว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ฐานะ ๕ ประการนี้อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆในโลกไม่พึงได้ ฐานะ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ฐานะว่า ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราอย่าแก่เลย๑ ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของเราอย่าได้เจ็บไข้เลย๑ ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของเราอย่าได้ตายเลย๑ ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของเราอย่าได้สิ้นไปเลย๑ และขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราอย่าได้ฉิบหายไปเลย๑ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆในโลกไม่พึงได้ ขอถวายพระพรมหาบพิตร สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมแก่ไป เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรดาของเขาแก่ไปแล้ว เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นย่อมแก่ไป โดยที่แท้แม้สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงก็ย่อมแก่ไปเหมือนกัน......ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเขาแก่ไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ทุกข์ใจ ร่ำไรคร่ำครวญ หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษเสียบแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน ขอถวายพระพรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมเจ็บไข้....สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมตายไป.....สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมสิ้นไป..... สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมฉิบหายไป เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเขาฉิบหายไปแล้ว เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นย่อมฉิบหายไป โดยที่แท้ แม้สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงก็ย่อมฉิบหายไปเหมือนกัน.....ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเขาฉิบหายไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ทุกข์ใจ ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษเสียบแทงแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน แต่ว่าสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมแก่ไป เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกนั้นแก่ไปแล้ว ท่านย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นย่อมแก่ไป โดยที่แท้แม้สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงก็ย่อมแก่ไปเหมือนกัน.....ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกนั้นแก่ไปแล้ว ท่านย่อมไม่เศร้าโศก ไม่เสียใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรม ย่อมถอนเสียซึ่งลูกศรคือความโศกที่มีพิษได้ อริยสาวกผู้ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากลูกศรย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง อีกประการหนึ่ง สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมเจ็บไข้.....สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมตายไป......สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมสิ้นไป.....สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมฉิบหายไป เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกนั้นฉิบหายไปแล้ว ท่านย่อมพิจารณาเห็นว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นย่อมฉิบหายไป โดยที่แท้แม้สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงก็ย่อมฉิบหายไปเหมือนกัน....ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกนั้นฉิบหายไปแล้ว ท่านย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้ศึกษาธรรมย่อมถอนเสียซึ่งลูกศรคือความเศร้าโศกที่มีพิษได้ อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศรย่อมดับทุกข์ร้อนได้ด้วยตน ขอถวายพระพรมหาบพิตร ฐานะทั้ง ๕ ประการนี้แลอันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆในโลกนี้ไม่พึงได้” (องฺ. ปญฺ. ๒๒/๕๐/๖๔-๗๐)
เมื่อพระเจ้ามุณฑะได้สดับธรรมปริยายชื่อโสกสัลลหรณะนี้แล้วก็ทรงคลายความเศร้าโศกได้ พระองค์ได้ตรัสสั่งให้มหาอำมาตย์ทำการถวายพระเพลิงพระศพของพระนางภัททาราชเทวีแล้วทรงให้ทำสถูปไว้ ตั้งแต่นั้นไปพระองค์ก็ได้ทรงตั้งใจบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเดิม
การพิจารณาเรื่องกรรม
ข้อ ๕ กัมมัสสะโกมหิ ฯเปฯ ภะวิสสามิ. ควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของๆตน เราทำกรรมดีก็จักได้ดี เราทำกรรมชั่วก็จักได้ชั่ว กรรมคือเจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ เมื่อมีเจตนาแล้ว การกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี ย่อมได้ชื่อว่ากรรม ในบทอภิณหปัจจเวกขณะนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงกรรมไว้ ๒ อย่างคือ กัลยาณัง กรรมดี และปาปกัง กรรมชั่ว กรรมดีคือกรรมที่ทำในขณะที่จิตประกอบด้วยความไม่โลภ ความไม่โกรธ และความไม่หลง ความดีที่ได้กระทำแล้วย่อมก่อให้เกิดความบันเทิงใจ ความสุขใจและอำนวยสิ่งที่น่าปรารถนาแก่ผู้ทำในภายหลังทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ตนของผู้ทำกรรมดีย่อมติเตียนตนไม่ได้ บัณฑิตผู้รู้ดีใคร่ครวญแล้วย่อมสรรเสริญเขา ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาย่อมฟุ้งขจรไปในทิศทั้งหลาย ผู้ทำกรรมดีย่อมจะไม่หลงตาย เมื่อตายไปแล้วเขาย่อมจะเกิดในสุคติภูมิคือภพภูมิที่ดี ส่วนกรรมชั่วคือกรรมที่ทำในขณะที่จิตประกอบด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลง ความชั่วที่ได้กระทำแล้วย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนความทุกข์ใจแก่ผู้ทำในภายหลัง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ตนของผู้ทำกรรมชั่วย่อมติเตียนตนได้ บัณฑิตผู้รู้ดีใคร่ครวญแล้วย่อมติเตียนเขาได้ ชื่อเสียงอันชั่วของเขาย่อมฟุ้งขจรไปในทิศทั้งหลาย ผู้ทำกรรมชั่วมักจะหลงตายและเมื่อตายไปแล้วเขาย่อมจะเกิดในทุคติภูมิคือภพภูมิที่ไม่ดี เป็นภพภูมิที่มีความทุกข์มาก จุดมุ่งหมายของการพิจารณาข้อนี้ก็เพื่อจะได้ละความชั่ว ประพฤติความดี
ถ้าสิ่งที่ควรพิจารณาเนืองๆมีเพียงสี่ข้อข้างต้นว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้, เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้, เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้, และเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหมดทั้งสิ้นไป โดยไม่มีข้อที่ห้าที่ให้พิจารณาเกี่ยวกับกรรม มนุษย์เราก็จะยังคงประมาทอยู่ คงจะมุ่งทำแต่สิ่งที่จะให้ความสนุกสนานแก่ตน โดยไม่พิจารณาว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นไหม เพราะเขาเห็นว่าไหนๆก็จะต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดาอยู่แล้วจะละความชั่วทำความดีเพื่ออะไร ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาข้อที่ห้าว่า กัมมัสสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของๆตน กัมมะทายาโท เป็นผู้รับผลของกรรม กัมมะโยนิ เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุ เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระโณ เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราจักทำกรรมใดไว้ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีหรือชั่ว ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราก็จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
บทที่ว่า กัมมัสสะโกมหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน หมายถึงมีการกระทำเป็นของๆตน เมื่อเป็นของๆตนก็เป็นของผู้อื่นไม่ได้ ให้คนอื่นไม่ได้ พวกวัตถุภายนอก เช่น เพชร เงิน ทอง ที่อยู่อาศัยเป็นต้นที่เราหามาได้ก็เป็นของเรา แต่สิ่งเหล่านี้เราให้คนอื่นได้ มันแตกสลายได้ คนอื่นมาลักปล้นเอาไปได้ แม้อวัยวะส่วนต่างๆที่ว่าเป็นของเรา มีผม เล็บ หนังเป็นต้น ผม เล็บที่ยาวไปเราก็เก็บไว้กับเราไม่ได้ต้องตัดทิ้งไป แม้ผิวหนังเมื่อถึงคราวมันก็หลุดออกจากกายเรา แสดงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของเราแท้จริง แต่กรรมที่เราทำต้องเป็นของเราแน่นอน เราฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ผู้อื่น ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก การฆ่าสัตว์เป็นต้นต้องเป็นของเรา เราให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง การให้ทานเป็นต้นต้องเป็นของเราเช่นกัน เพราะเราให้ใครก็ไม่ได้ รับจากใครก็ไม่ได้ นอกจากตัวเราทำให้เกิดขึ้นเป็นของตัวเราเอง ทั้งกรรมดีทั้งกรรมชั่ว
บทที่ว่า กัมมะทายาโท เป็นผู้รับผลของกรรม หมายถึงถ้าผู้ใดเป็นผู้ทำกรรมแล้ว ผู้นั้นก็ต้องเป็นทายาท คือต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตนทำไว้ เขาจะเป็นคนดีหรือเป็นคนชั่ว จะมีความสุขหรือมีความทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับผลของกรรมที่เขาทำไว้ ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลจะทำให้คนอื่นบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ และคนอื่นจะทำให้เราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ได้เช่นกัน
บทที่ว่า กัมมะโยนิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด คือมีกรรมเป็นผู้นำไปเกิด ถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีก็จะนำให้เราเกิดเป็นคนดี เกิดในสุคติภพภูมิที่ดี แต่ถ้าเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็จะนำให้เราเกิดเป็นคนชั่ว เกิดในทุคติภพภูมิที่ไม่ดี
บทที่ว่า กัมมะพันธุ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์คือสืบเนื่องกันไปเหมือนคนเกิดในตระกูลใดก็เป็นผู้มีเชื้อสายสืบต่อตระกูลนั้น กรรมก็เช่นกัน การเป็นคนดีก็เพราะสืบสายมาจากกรรมดีที่ตนทำไว้ และการเป็นคนชั่วก็เพราะสืบสายมาจากกรรมชั่วที่ตนได้ทำไว้
บทที่ว่า กัมมะปะฏิสะระโณ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าเราทำกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่วก็จะเป็นที่พึ่งอาศัยคือเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อนของเรา ทำให้เราเป็นทุกข์เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ถูกจับติดคุกติดตารางหรือถูกจองจำ ถูกตำหนิจากสังคมเป็นต้น แต่ถ้าเราทำกรรมดี เราก็จะมีผลของกรรมดีเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา ทำให้เราอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทำให้เกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณรูปร่างงดงาม เฉลียวฉลาดเป็นต้น เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรงแสดงต่อไปว่า เราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ถ้าเราได้พิจารณาข้อนี้บ่อยๆก็จะเตือนใจให้ละความชั่ว มุ่งมั่นทำความดี
ตอนท้ายพระพุทธองค์ได้ทรงย้ำว่า อันเราทั้งหลายควรพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล คือทรงให้พิจารณาบ่อยๆ ให้พิจารณาสม่ำเสมอพิจารณาให้มากๆ จนเรายอมรับความจริง เมื่อได้ประสบกับภาวะมีความแก่ ความเจ็บไข้ความใกล้ตาย ความพลัดพรากจากของรัก การรับผลของกรรม เราก็จะทำใจยอมรับได้ ถึงจะทุกข์ก็รู้ตัวและจะทำให้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตดังนี้แล.
                                                                                     โลกธรรม๘
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน ซึ่งเป็นวัดที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้สร้างถวายพระพุทธศาสนาในกรุงสาวัตถี ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงโลกธรรม๘ แก่ภิกษุทั้งหลายมีใจความว่า โลกธรรม ๘ ประการคือ ลาภ๑ อลาภ๑ ยศ๑ อยศ๑ นินทา๑ สรรเสริญ๑ สุข๑ และทุกข์๑ โลกธรรม ๘ นี้แลย่อมหมุนไปตามสัตว์โลก และสัตว์โลกก็หมุนไปตามโลกธรรม๘ อนึ่ง โลกธรรม ๘ นี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วและย่อมเกิดขึ้นแก่อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว แต่มีข้อแปลกกัน มีข้อผิดกัน มีข้อที่ทำให้แตกต่างกันระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ข้อแปลกกันนั้นก็คือ เมื่อโลกธรรม ๘ นี้เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ปุถุชนนั้นย่อมจะไม่พิจารณาเพราะไม่พิจารณาจึงไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า โลกธรรม ๘ นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เราก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้ โลกธรรม ๘ นี้ย่อมครอบงำจิตใจเขา กล่าวคือ เขาจะยินดีกับลาภ ยศ สุข และสรรเสริญที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เขาจะยินร้าย เสียใจในอลาภ ในอยศ ในนินทาและในทุกข์ ปุถุชนเป็นผู้ถึงพร้อมเพียบพร้อมด้วยความยินดีและความยินร้ายเช่นนี้ เขาย่อมไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้
อนึ่งโลกธรรม ๘ นี้ย่อมเกิดขึ้นแก่อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเช่นกัน แต่ว่าอริยสาวกนั้นจะพิจารณา เมื่อท่านพิจารณาอยู่จึงรู้ตามความเป็นจริงว่าโลกธรรม ๘ นี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เมื่อท่านรู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้ โลกธรรม ๘ ย่อมจะไม่ครอบงำจิตใจท่าน กล่าวคือท่านย่อมไม่ยินดีกับลาภ ไม่ยินดีกับยศ ไม่ยินดีกับสรรเสริญ และไม่ยินดีกับสุขที่เกิดขึ้นแล้ว และก็จะไม่ยินร้ายในอลาภ ในอยศ ในนินทาและในความทุกข์ ท่านเป็นผู้ปราศจากความยินดีและความยินร้ายเช่นนี้ ท่านย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว พระศาสดาผู้เสด็จไปดีแล้วครั้นตรัสเนื้อความนี้แล้วลำดับนั้นก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้ว่า
ธรรมเหล่านี้ในหมู่มนุษย์คือ ลาภ, อลาภ, อยศ, ยศ,
นินทา, สรรเสริญ,สุข,และทุกข์, เป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่แน่นอน
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ก็บัณฑิตผู้มีสติมีปัญญาดี
รู้ธรรมเหล่านี้แล้ว พิจารณาเห็นว่าเป็นสิ่งมีความแปร
ปรวนเป็นธรรมดา เหล่าธรรมฝ่ายที่น่าปรารถนาย่อม
ไม่ย่ำยีจิตใจท่าน และท่านก็ไม่ยินร้ายต่อธรรมฝ่ายที่ไม่น่า
ปรารถนา ท่านกำจัดความยินดีและความยินร้ายจนไม่มี
เหลือ อนึ่งท่านรู้พระนิพพานอันปราศจากธุลี ไม่มีความ
เศร้าโศก เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพย่อมทราบชัดตามความ
เป็นจริงดังนี้ (องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๙๖/๑๕๙-๑๖๒)
ความหมายของโลกธรรม ๘
คำว่า โลกธรรมแยกออกได้สองคำคือ โลก+ธรรม คำว่าโลก มีความหมาย ๓ อย่างคือ สังขารโลก โลกคือสังขาร๑ สัตตโลก โลกคือหมู่สัตว์๑ และโอกาสโลก โลกคือแผ่นดินลูกโลกที่สัตว์โลกอาศัยอยู่นี้๑ (วิสุทฺธิ. ๑/๒๖๒) คำว่า โลก ในที่นี้หมายเอาสัตตโลก คือหมู่สัตว์ โดยเจาะจงก็คือหมู่มนุษย์ คำว่า ธรรม หมายถึงสภาพที่ทรงไว้ซึ่งความจริง แต่ธรรมในที่นี้หมายถึงอารมณ์ หรือ ผลที่ได้รับ รวมความแล้วโลกธรรมก็หมายถึงอารมณ์หรือผลที่สัตว์โลกจะต้องประสบ จะต้องได้รับ โลกธรรม ๘ อย่าง จัดได้ ๔ คู่ดังนี้
ลาภและอลาภเป็นคู่๑ ยศและอยศเป็นคู่๑
นินทาและสรรเสริญเป็นคู่๑ สุขและทุกข์เป็นคู่๑
ลาภ หมายถึงสิ่งได้รับ และก็เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาด้วย
อลาภ หมายถึงความเสื่อมลาภ อีกอย่างหนึ่งหมายถึงสิ่งที่ได้รับเช่นกัน แต่เป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา แม้ลาภที่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเสื่อมไป แปรสภาพเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาก็เรียกว่าอลาภ
ยศหมายถึงชื่อเสียง ความรุ่งเรือง มี๓อย่าง คืออิสริยยศ ความเป็นใหญ่๑ เกียรติยศ ความมีชื่อเสียงดีงาม๑ บริวารยศ ความเป็นผู้มีบริวารแวดล้อม หรือถึงจะไม่แวดล้อมแต่ก็มีผู้นับถือมาก แต่เนื่องจากในโลกธรรม๘ มีสรรเสริญด้วย เกียรติยศจึงไปซ้ำกับสรรเสริญ ฉะนั้นยศในที่นี้จึงหมายเฉพาะอิสริยศและบริวารยศ ส่วนอยศคือความไม่มียศ หรือมียศอยู่แต่ก็เสื่อมไป
นินทาหมายถึงการยกโทษที่ไม่มีอยู่จริงของผู้อื่นมากล่าว เป็นการให้ร้ายผู้อื่น ถ้ายกโทษที่มีอยู่จริงของผู้อื่นมากล่าวลับหลังโดยมีเจตนาให้ผู้ถูกว่ากล่าวได้รับความเสียหายก็คงเป็นความหมายของนินทาเช่นกัน แต่ถ้ายกโทษที่มีอยู่จริงมากล่าวต่อหน้าเรียกว่าติเตียน สรรเสริญเป็นความหมายของคำว่าปสังสา หมายถึงการยกคุณที่มีอยู่จริงของผู้อื่นมากล่าวต่อหน้าหรือลับหลัง แต่ถ้ายกคุณที่ไม่มีอยู่จริงมากล่าวไม่เรียกว่าสรรเสริญแต่เรียกว่ายอหรือประจบ
อนึ่ง การนินทาและการสรรเสริญถ้าเป็นของคนพาลก็เอาเป็นประ-
มาณไม่ได้ คือเอาเป็นเกณฑ์ตัดสินที่เป็นมาตรฐานไม่ได้ เพราะคนพาลยังตกอยู่ใต้อำนาจของอคติคือความลำเอียงอยู่ มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดพระเชตวัน อุบาสกคนหนึ่งชื่ออตุละ พร้อมบริวารมีความประสงค์อยากจะฟังธรรม ได้พาบริวารไปยังวัดพระเชตวัน ได้พบพระเรวตะ กราบอาราธนาให้ท่านแสดงธรรม แต่เนื่องจากพระเรวตะท่านไม่ค่อยชอบพูดมาก อยากหลีกเร้นอยู่เงียบๆ จึงไม่ได้แสดงธรรมอะไร
อตุละอุบาสกโกรธ ไม่พอใจ ได้พาบริวารเข้าไปหาพระสารีบุตรแล้วกราบอาราธนาให้ท่านแสดงธรรม เนื่องจากท่านพระสารีบุตรเป็นผู้ชำนาญในพระอภิธรรมคือธรรมอันยิ่ง อันละเอียด ท่านได้รับเอตะทัคคะ คือความยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศทางปัญญา ท่านได้แสดงพระอภิธรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง อตุละอุบาสกเป็นผู้มีอินทรีย์ทางธรรมน้อย ไม่เข้าใจเนื้อหาของพระอภิธรรม จึงเบื่อหน่ายที่จะฟังและโกรธที่พระสารีบุตรแสดงธรรมยาวไป เขาได้พาบริวารเข้าไปหาพระอานนท์และกราบอาราธนาให้ท่านแสดงธรรม ท่านพระอานนท์แสดงธรรมนิดหน่อย อุบาสกนั้นยังไม่อิ่มในการฟังธรรมเลย ท่านก็หยุดแสดงธรรมแล้ว อุบาสกนั้นโกรธอีกได้พาบริวารไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วเล่าเรื่องที่ตนไม่พอใจพระเถระทั้งสาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอตุละ ข้อนี้คนประพฤติกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ชนทั้งหลายย่อมติเตียนคนผู้นิ่งบ้าง ผู้พูดมากบ้าง ผู้พูดน้อยบ้าง ก็คนที่จะพึงถูกติเตียนหรือจะพึงถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียวย่อมไม่มี แม้พระราชาทั้งหลาย แม้แผ่นดินใหญ่ แม้พระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ธรรมชาติทั้งหลายมีอากาศเป็นต้น ชนบางพวกก็นินทา ชนบางพวกก็สรรเสริญ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทสี่ ชนบางพวกก็นินทา ชนบางพวกก็สรรเสริญ ก็การนินทาหรือการสรรเสริญของพวกคนอันธพาลย่อมไม่เป็นประมาณ แต่ผู้ที่ถูกบัณฑิตผู้มีปัญญาติเตียนจึงชื่อว่าเป็นผู้ควรถูกติเตียน ผู้ที่ถูกบัณฑิตสรรเสริญจึงชื่อว่าเป็นผู้ควรสรรเสริญดังนี้
(อตุลอุปาสก วตฺถุ ธมฺมปท. ๖/๑๘๔-๑๘๖)
สุขหมายถึงสุขเวทนา ความสบายกายสบายใจ ทุกข์หมายถึงทุกขเวทนา ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
โลกธรรมทั้ง ๘ นี้แบ่งเป็นสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายอิฏฐารมณ์และฝ่ายอนิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ(ปสังสา) และความสุข ส่วนอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ได้แก่ ความเสื่อมลาภ, ความเสื่อมยศ, นินทาและความทุกข์
อนึ่งโลกธรรมทั้งสองฝ่ายมีลักษณะที่เหมือนกันคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ที่ว่าไม่เที่ยงคือเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป หมายความว่าไม่มีใครจะประสบกับการได้ลาภโดยส่วนเดียวต้องประสบกับความเสื่อมลาภบ้าง และก็ไม่มีใครจะประสบกับความเสื่อมลาภโดยส่วนเดียวต้องประสบกับการได้ลาภบ้าง เพราะทั้งลาภและความเสื่อมลาภเกิด
ขึ้นแล้วก็ต้องดับไป แม้ยศและความเสื่อมยศเป็นต้นก็เช่นกัน ที่ว่าเป็นทุกข์คือทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ กล่าวคือลาภจะคงสภาพเป็นลาภตลอดไปไม่ได้ ต้องมีวิปริณามธรรม คือมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา แม้
อลาภคือความเสื่อมลาภเป็นต้นก็เช่นกัน
อนึ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ นี้เป็นสิ่งที่หมุนไปตามสัตว์โลก คือมีประจำสัตว์โลก สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ทั้งที่เป็นปุถุชนและอริยชนย่อมไม่อาจจะหลีกพ้นจากโลกธรรมได้ แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาเอกของโลก พระองค์ก็ยังต้องประสบกับโลกธรรมทั้งฝ่ายที่น่าปรารถนา และฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา จะแสดงเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ทรงประสบกับโลกธรรมฝ่ายที่ไม่ปรารถนาบางเหตุการณ์ดังนี้
หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชแล้ว คราวหนึ่งพระองค์ได้ทรงทรมานพระวรกายตามคำสอนของคณาจารย์เดียรถีย์ที่เชื่อว่าวิธีนี้จะเป็นทางแห่งการบรรลุธรรมได้ พระองค์ก็ได้ปฏิบัติตามโดยทรงอดอาหาร กลั้นลมหายใจและทรงกดฟันด้วยฟันแล้วเอาลิ้นดันเพดานปากจนแทบจะทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์
อนึ่ง แม้พระพุทธองค์จะตรัสรู้แล้ว พระเทวทัตซึ่งเป็นพี่ชายของพระนางยโสธราหรือพิมพาผู้เคยเป็นมเหสีของพระองค์ในคราวที่พระพุทธองค์ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ ท่านได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับพระองค์ โดยการได้ทูลชวนให้พระเจ้าอชาตศัตรูพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์เมือง
ราชคฤห์ให้ไปปลงพระชนม์พระพุทธองค์ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงทำตามโดยทรงส่งนายขมังธนูให้ไปฆ่าพระพุทธองค์บ้าง ให้ปล่อยช้างนาฬาคิรีเพื่อฆ่าพระพุทธองค์บ้าง แต่ก็ฆ่าพระพุทธองค์ไม่ได้ สุดท้ายพระเทวทัตก็ตั้งใจจะฆ่าพระพุทธองค์ด้วยตนเอง ท่านได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ด้วยหวังจะให้ทับพระพุทธองค์ แต่ก้อนหินใหญ่นั้นได้กระทบกับก้อนหินอื่นแตกเป็นเสก็ดเล็กกระทบพระบาทของพระพุทธองค์จนเกิดพระโลหิตห้อ พระเทวทัตหวังจะฆ่าพระพุทธองค์หลายวิธีแต่ก็ไม่สามารถฆ่าพระพุทธองค์ได้
คราวหนึ่ง นางจิญจมานวิกาซึ่งถูกพวกเดียรถีย์จ้างให้ไปทำลายชื่อเสียงของพระพุทธองค์ นางได้ผูกท่อนไม้หน้าท้องแต่งตัวเหมือนคนตั้งครรภ์ไปด่าพระพุทธองค์ซึ่งกำลังแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงว่าพระองค์ดีแต่แสดงธรรม พระองค์ได้ทำให้นางตั้งครรภ์แล้วไม่รู้จักหาเรือนคลอดให้ แต่ผลสุดท้ายความจริงปรากฏขึ้น ท่อนไม้ที่นางผูกหน้าท้องเกิดหลุดกระทบที่เท้าของนางจนเท้าแตกเลือดไหล
คราวหนึ่ง พระนางมาคัณฑิยาพระมเหสีของพระเจ้าอุเทนกษัตริย์เมืองโกสัมพี พระนางมีความแค้นพระพุทธองค์ที่ไม่ยอมแต่งงานกับพระนาง ซ้ำพระพุทธองค์ยังได้ทรงพูดความจริงโดยทรงตำหนิร่างกายพระนางว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดโดยประการต่างๆ เมื่อพระนางได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทนก็ได้จ้างคนจำนวนมากให้ไปด่าพระพุทธองค์โดยประการต่างๆว่าพระพุทธองค์เป็นอูฐ เป็นลา เป็นแพะ เป็นแกะเป็นต้น
คราวหนึ่ง พวกภิกษุชาวโกสัมพีได้แตกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายพระวินัยธร และฝ่ายพระธรรมธร ถึงแม้พระพุทธองค์จะเกลี้ยกล่อมหลายครั้งเพื่อจะให้พวกภิกษุเหล่านั้นสามัคคีกัน แต่พวกภิกษุเหล่านั้นก็ยังไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระพุทธองค์ๆเกิดความระอาเบื่อหน่ายที่จะทรงแนะนำอีกจึงได้ทรงหลีกไปจำพรรษาพระองค์เดียวที่ป่าปาลิเรยยกะ
อนึ่ง พระเจ้าวิทูฑภะได้โกรธแค้นตระกูลศากยะที่ได้ดูหมิ่นพระองค์ว่าเป็นลูกนางทาสี ตระกูลศากยะนั้นได้เอาน้ำและน้ำนมล้างตั่งที่พระเจ้าวิทูฑภะทรงนั่งเมื่อคราวที่พระองค์ไปเยี่ยมญาติฝ่ายมารดา เมื่อพระองค์ได้เป็นกษัตริย์กรุงสาวัตถีก็ได้ปฏิบัติการฆ่าบุคคลในตระกูลศากยะซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายบิดาของพระพุทธองค์จนเกือบหมด
การปฏิบัติตามโลกธรรมของปุถุชนและของอริยสาวก
คำว่า ปุถุชนหมายถึงชนผู้หนาด้วยกิเลส คือหนาด้วยความโลภ ความโกรธและความหลง เป็นผู้ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า คำว่า อริยสาวกหมายถึงสาวกผู้เป็นอริยะ คือผู้ประเสริฐ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกได้แก่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์
ปุถุชนเมื่อประสบกับโลกธรรมมักจะไม่ตระหนักชัด ไม่อยากพิจารณาจึงไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่าโลกธรรมทั้งแปดเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เมื่อไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงเช่นนี้ โลกธรรมย่อมครอบงำจิตใจเขา กล่าวคือเขาย่อมยินดี ชอบใจ พอใจเพลิดเพลินกับลาภ ยศ สรรเสริญและสุขซึ่งเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในการแสดงความยินดีนั้นบางครั้งก็มีการจัดงานกินเลี้ยงฉลองความสำเร็จกับการได้โลกธรรมที่น่าปรารถนานั้น แต่เขามักจะยินร้าย คือเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจในความเสื่อมลาภ ในความเสื่อมยศ ในนินทา และในความทุกข์อันเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ปุถุชนเป็นผู้ถึงพร้อมเพียบ
พร้อมด้วยความยินดีและความยินร้ายเช่นนี้จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ส่วนอริยสาวกเมื่อท่านประสบกับโลกธรรมก็มักจะตระหนักคือพิจารณา ท่านจึงทราบชัดตามความเป็นจริงว่าโลกธรรมทั้งแปดเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เมื่อท่านทราบชัดตามความเป็นจริงเช่นนี้ โลกธรรมแปดย่อมครอบงำจิตใจของท่านไม่ได้ กล่าวคือท่านจะไม่ยินดี จะไม่เพลิดเพลินกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญที่เกิดขึ้นแล้วและก็จะไม่ยินร้าย ไม่เสียใจ ไม่เศร้าใจ ไม่ทุกข์ใจในความเสื่อมลาภ ในความเสื่อมยศ ในสรรเสริญและในความทุกข์ เมื่อท่านปราศจากความยินดีและความยินร้ายเช่นนี้ท่านจึงหลุดพ้นจากทุกข์ได้
วิธีปฏิบัติตามโลกธรรมที่จะทำให้คลายจากทุกข์ได้
ตามที่ได้อธิบายมาจะเห็นว่าวิธีปฏิบัติต่อโลกธรรมที่จะทำให้คลายจากทุกข์ได้ก็คือให้ปฏิบัติตามแบบพระอริยเจ้า ประเด็นสำคัญคือเมื่อโลกธรรมเกิดขึ้นก็ให้พิจารณา ให้ไตร่ตรองว่าโลกธรรมทั้งฝ่ายที่น่าปรารถนาและฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนาล้วนมีลักษณะที่เหมือนกันคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา อย่ายินดีกับโลกธรรมฝ่ายที่น่าปรารถนาและก็อย่ายินร้ายกับโลกธรรมฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา
มนุษย์โดยมากยังเป็นปุถุชน ยังมีกิเลสกันอยู่ แต่ก็เคยได้ยินได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ เนื่องจากยังไม่ได้เป็นพระอริยะ ฉะนั้นมนุษย์โดยมากจึงยังยินดีในลาภ ในยศ ในสุขและในสรรเสริญ และยังยินร้าย ยังทุกข์ใจในความเสื่อมลาภ ในความเสื่อมยศ ในนินทาและในความทุกข์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าเหล่าปุถุชนที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถึงจะยังยินดียินร้ายอยู่เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็ยังพอจะประทังยับยั้งใจไว้ได้บ้าง ไม่ปล่อยให้ยินดียินร้ายจนเกินไป คนที่ยินดีเกินไปจะมีอาการเหมือนคนบ้าหรืออาจถึงตายก็มี คนที่ยินร้ายเกินไปก็อาจจะสลบหรือช็อคตายก็มี มีเรื่องเล่าว่าคนผู้เป็นคนใช้เขาได้ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่เจ้าตัวยังไม่ทราบว่าตนถูก
ล๊อตเตอรี่ เจ้านายของเขารู้ก่อนและได้สั่งอาหารมาเลี้ยงเขา พอเขากำลังรับประทานอาหารอยู่ เจ้านายก็บอกเขาว่าต่อไปไม่ต้องมาเป็นลูกจ้างเขาอีกแล้ว เพราะถูกล๊อตเตอรี่ได้เงินมาก พอเขาได้ยินเช่นนี้ก็สะอึกสองสามทีแล้วก็ช็อคตายเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขายินดีเกินไป
การที่พระพุทธศาสนาไม่ต้องการให้สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ยินดีกับโลกธรรมฝ่ายที่น่าปรารถนา เพราะถึงแม้มนุษย์เราจะยินดีกับลาภยศสรรเสริญและสุขอันเป็นอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนามากไป แต่สิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เมื่อสิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์แตกดับไปมนุษย์ก็มักจะเศร้าโศกเสียใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเศร้าโศกย่อมเกิดจากของรัก” (ขุ. ธ. ๒๕/๒๖/๔๓) เมื่อเรารักสิ่งใดมากก็ย่อมจะเศร้าโศกเพราะสิ่งนั้นมาก ไม่ได้รักสิ่งใดก็จะไม่เศร้าโศกเพราะสิ่งนั้น แต่การที่ปุถุชนเราจะไม่ยินดีกับลาภ ยศ สรรเสริญและสุขก็เป็นอาการที่เป็นไปได้ยาก เพราะปุถุชนเรายังมีราคะความกำหนัดยินดีอยู่ แต่ก็ไม่ควรจะยินดีจนหลง ได้ลาภยศเป็นต้นแล้วก็ไม่ควรเมา ไม่ควรหลงกับของเก่า ควรจะแสวงหาลาภ ยศ สุข สรรเสริญที่มีค่ายิ่งๆขึ้นไปจะดีกว่า เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ฉลาด ผู้ขยันสามารถสร้างขึ้นได้ ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า ยศย่อมเจริญยิ่งแก่บุคคลผู้ขยัน ผู้มีสติ ผู้มีการงานสะอาด ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ผู้สำรวมแล้ว ผู้เป็นอยู่โดยธรรมและผู้ไม่ประมาทแล้ว
(ขุ. ธ. ๒๕/๑๒/๑๘)
อนึ่งการที่ปุถุชนจะไม่ยินร้าย ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ใจในความเสื่อมลาภ ในความเสื่อมยศ ในนินทาและในความทุกข์อันเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากเช่นกัน แต่เขาก็ควรจะยอมรับความจริงว่า ถึงเขาจะเสียใจ ทุกข์ใจกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนานั้นกลายเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาได้ ทำให้เสียเวลาเปล่า เขาควรจะทำใจยอมรับอนิฏฐารมณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้เกิดจากผลของกรรมชั่วของเขาเอง เขาจึงต้องประสบกับสิ่งนี้ เพราะถึงแม้เขาจะไม่ประสบกับอนิฏฐารมณ์ในคราวนี้ ก็ต้องประสบในคราวต่อไปอยู่ดี กรรมเป็นสิ่งที่ให้ผลโดยยุติธรรมอยู่แล้ว เขาควรจะทำใจยอมรับ เพราะถึงอย่างไรอนิฏฐารมณ์ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงเช่นกัน เมื่อเขาทำใจยอมรับแล้วก็พึงพยายามเลือกทำกรรมที่ดีที่จะทำให้ประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาน้อยลง โดยการเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยการบริจาคและเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยการแสวงหาปัญญา เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ก็จะช่วยทำให้คลายจากทุกข์ได้ตามสมควรแก่การปฏิบัติดังนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น